ตอนที่ 339 ว่านฮุ่ยขอยืมเงิน
ถึงหลี่หมิงเฉิงจะมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว แต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง เหตุผลหลักเป็นเพราะการทำอาหารคนเดียวยุ่งยากเกินไป
เขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากแวะกินอาหารมื้อเย็นที่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วเสร็จ และคิดว่าจะงีบหลับสักหน่อย ก่อนไปที่ตลาดสดเพื่อเรียนขับรถบรรทุก
ตอนนี้เขาได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการให้ทำงานในตลาดสด ภายใต้การบริหารงานของเฉินเฟิง
เฉินเฟิงบอกว่าการขับรถแทรกเตอร์ช้าเกินไป ไม่สามารถเดินทางไปที่ไกล ๆ ได้ ดังนั้นจึงมอบหมายให้ลูกน้องคนหนึ่งสอนเขาขับรถบรรทุก
หลี่หมิงเฉิงเพิ่งจะเอนหลังนอนลงบนเตียงไม้กระดานได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น จึงต้องลุกขึ้นไปเปิด
คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือว่านฮุ่ยที่กำลังร้องไห้เหมือนดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ทำให้หลี่หมิงเฉิงรู้สึกใจเสียเล็กน้อย และเกิดความเห็นอกเห็นใจ
เขาถามขึ้น “เป็นอะไรไป ทำไมเธอถึงได้ร้องไห้แบบนี้ล่ะ?”
ว่านฮุ่ยเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา ก่อนจะขอร้องเขา “พี่หมิงเฉิง ให้ฉันเข้าไปหน่อยได้ไหม?”
หลี่หมิงเฉิงรีบเบี่ยงตัวไปด้านข้างทันที “เข้ามา เข้ามาก่อน ฉันเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ก็ลืมไปสนิทเลยว่าต้องเชิญเธอเข้ามา”
เขาหัวเราะแหะ ๆ เป็นเชิงขอโทษว่านฮุ่ย
ว่านฮุ่ยเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงตรงหน้าโต๊ะอาหารขนาดเล็ก กวาดตามองไปรอบห้องนั่งเล่นซึ่งมีพื้นที่โดยรวมมากกว่าสิบตารางเมตร
ครอบครัวหล่อนมีกันอยู่ห้าคน แต่มีห้องแค่สองห้อง ห้องของพ่อแม่ไม่ได้เป็นแค่ห้องนอนเท่านั้น แต่ยังปรับเป็นห้องอาหารและห้องนั่งเล่นในเวลาเดียวกัน
ส่วนสามพี่น้องต้องใช้ห้องนอนร่วมกัน ไม่ว่าจะอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่มีความเป็นส่วนตัว
แต่หลี่หมิงเฉิงที่เป็นชายหนุ่มจากชนบท กลับอาศัยอยู่ในห้องที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ตามลำพัง
ว่านฮุ่ยทั้งอิจฉาและไม่สบอารมณ์
บ้านหลังนี้ไม่คู่ควรกับคนบ้านนอกอย่างเขา มันควรเป็นบ้านของหล่อนต่างหาก!
หนุ่มโสดสาวม่ายอยู่ด้วยกันในห้องๆ หนึ่ง ถ้าหล่อนเป็นผู้ชายก็ไม่เป็นไรหรอก
แต่ว่านฮุ่ยเป็นเด็กสาวอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปี หล่อนจะยอมถูกคนติฉินนินทาไม่ได้
หลี่หมิงเฉิงเปิดประตูแง้มไว้อย่างใช้ความคิด ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหารตัวเล็ก แล้วนั่งลงตรงข้ามกับว่านฮุ่ย “หยุดร้องไห้เถอะ ค่อย ๆ เล่ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
หล่อนไม่ได้อยากร้องไห้ ทว่ามีแต่น้ำตาอย่างเดียวเท่านั้นถึงจะสร้างความสะเทือนใจให้กับชายหนุ่มไร้สมองและซื่อบื้อแบบเขาได้อย่างง่ายดาย จนสามารถโกงเงินจากเขาได้
ว่านฮุ่ยร้องไห้สะอึกสะอื้น บ่นว่าตัวเองสอบเรียนต่อชั้นมัธยมปลายได้ แต่พ่อแม่กลับปฏิเสธที่จะจ่ายเงินส่งเสียค่าเล่าเรียนให้หล่อน ยืนกรานว่าจะเก็บเงินไว้จ่ายค่าเล่าเรียนให้พี่สาวกับน้องชายหัวทึบ
หล่อนไม่ได้พูดถึงความโชคดีที่ว่านเสียนได้รับสักคำ ไม่ยอมบอกว่าหล่อนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทางไกลของเจียงเฉิงที่เปิดรับสมัครเป็นครั้งแรก
แต่กลับโกหกว่าที่พี่สาวตัวเองสามารถเรียนต่อในมหาวิทยาลัยทางไกลได้ ก็เพราะพ่อแม่หาเงินมาสนับสนุน
หล่อนบ่นพึมพำ “ผลการเรียนของฉันอยู่ในเกณฑ์ดี แต่พ่อแม่กลับไม่อยากให้ฉันเรียนต่อมัธยมปลาย แถมยังบังคับให้ฉันทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในโรงงาน เพื่อหาเงินส่งพี่สาวกับน้องชายเรียนหนังสือ ฉันไม่ว่าน้องชายหรอก เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว การที่เขาเป็นที่รักของพ่อแม่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ทำไมฉันกับพี่สาวถึงได้รับการปฏิบัติแตกต่างกันขนาดนี้ ฉันเองก็เป็นลูกสาวของพวกเขานะ เป็นเพราะหล่อนทั้งสวย พูดจาฉอเลาะเก่ง ช่างเอาใจพ่อแม่ ผิดกับฉันที่เกิดมาหน้าตาธรรมดา ไม่มีทักษะในการพูดมากพอ และไม่รู้วิธีเอาอกเอาใจพ่อแม่อย่างนั้นเหรอ?”
ทุกประโยคที่พูดมา หล่อนพยายามเน้นย้ำถึงความลำเอียงของพ่อแม่และความเหนือกว่าของพี่สาวอยู่ตลอด เพราะรู้ดีว่าหลี่หมิงเฉิงมีจุดอ่อนกับเรื่องที่ว่า
จริงอย่างที่คิด พอหลี่หมิงเฉิงได้ยินหล่อนตัดพ้อ เขาก็มองหล่อนด้วยความเห็นใจสงสาร
ว่านฮุ่ยอดดีใจไม่ได้ ผู้ชายงี่เง่าคนนี้ต้องปริปากเสนอเงินให้หล่อนยืมอย่างแน่นอน
ครั้งล่าสุดที่หล่อนไปร้องไห้กับเขา เขาก็เป็นฝ่ายให้เงินห้าหยวนกับหล่อนด้วยตัวเอง
ในเมื่อผู้ชายงี่เง่าคนนี้เป็นฝ่ายริเริ่มที่จะให้เงินหล่อนก่อน หล่อนก็ยินดียอมรับมันอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ให้คำสัญญาปากเปล่ากับเขาว่าจะหาเงินมาคืนให้ แต่ต้องรอหล่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยและได้งานทำเสียก่อน
หล่อนไม่จำเป็นต้องคบกับเขาก็ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตโดยไม่จำเป็น แถมยังได้เงินไปเรียนต่อฟรี ๆ
ส่วนอีกหน่อยจะหาเงินมาคืนเขาได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ถ้าหลี่หมิงเฉิงเริ่มหลงเชื่อจนโงหัวไม่ขึ้น หล่อนจะหาทางบ่ายเบี่ยงไม่คืนเงินเสีย บางทีถ้าแกล้งทำท่าทางน่าสังเวชอีก เขาอาจจะยอมยกหนี้ทั้งหมดให้หล่อนเปล่าๆ ก็ได้!
ถ้าตกลงกันไม่ได้ อย่างน้อยหามาจ่ายสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี
ว่านฮุ่ยร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะเดียวกันก็ดีดลูกคิดคำนวณอยู่ในใจ
เมื่อเห็นหล่อนร้องไห้น้ำตานองหน้า หลี่หมิงเฉิงก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้หล่อน
ก่อนจะเกลี้ยกล่อม “เธอกลับไปขอร้องพ่อแม่ดี ๆ เถอะ ให้เขายอมจ่ายเงินส่งเธอเรียน ถ้าทำขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้ผล ก็ลองไปขอความช่วยเหลือจากญาติที่เขาให้ความนับถือ ขอให้พวกเขาช่วยเจรจากับพ่อแม่เธออีกแรง”
พอว่านฮุ่ยได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกเหลือเชื่อจนแทบลืมร้องไห้
แผนการที่หล่อนจินตนาการไว้ไม่ใช่แบบนี้ หลี่หมิงเฉิงต้องเสนอตัวเข้าช่วยเหลือหล่อนถึงจะถูก
ทำไมผู้ชายงี่เง่าคนนี้ถึงไม่ยอมออกตัวช่วยหล่อนกัน?
หล่อนระงับความประหลาดใจที่ฉายผ่านแววตา จากนั้นก็แสดงละครต่อไป
หล่อนส่ายหน้าด้วยความกล้ำกลืน “เปล่าประโยชน์ ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปอ้อนวอนปู่ย่าตายายกับผู้อาวุโสที่เคารพนับถือมาแล้ว พวกเขาเอาแต่เข้าข้างพ่อแม่ฉันตลอด นอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้ยังดุด่าซ้ำเติมฉันอีกว่าไม่มีเหตุผล ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่คนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น…”
หล่อนเอื้อมไปจับมือเขา พร้อมกับขอร้องทั้งน้ำตา “พี่หมิงเฉิง พี่ช่วยฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากเรียนต่อจริง ๆ”
เนื่องจากผู้ชายงี่เง่าคนนี้ไม่ยอมทำตามแผน หล่อนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดออกไปตรง ๆ
หลี่หมิงเฉิงรีบชักมือออกด้วยอาการราวกับถูกไฟฟ้าช็อต มองไปที่เด็กสาวหน้าตาธรรมดาตรงหน้าด้วยความทุกข์ใจ
ทุกครั้งที่เขาได้ยินหล่อนเล่าเรื่องความอยุติธรรมของพ่อแม่ให้ฟัง รวมถึงเรื่องของพี่สาวจอมเจ้าเล่ห์ ทำให้เขาอดนึกถึงประสบการณ์อันเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับหลินม่ายไม่ได้ เขาถึงได้รู้สึกสงสารหล่อน
เขาอยากช่วยเหลือหล่อนมาก แต่ตัวเขาเองยังติดหนี้หลินม่ายอยู่หลายร้อยหยวน แล้วแบบนี้เขาจะช่วยหล่อนได้อย่างไร!
เขาตอบกลับด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ฉันเพิ่งยืมเงินก้อนหนึ่งมาซื้อบ้านหลังนี้ ยังไม่ได้ชำระหนี้คืนเลยสักงวด ฉันคงช่วยอะไรเธอไม่ได้ ต้องขอโทษจริง ๆ”
สีหน้าว่านฮุ่ยเรียบเฉย มองเขาด้วยความสงสัย สงสัยว่าเขากำลังหาข้ออ้างมาโกหกเพราะไม่ต้องการช่วยเหลือหล่อน
ก่อนหน้านี้เขาอาศัยอยู่ในบ้านของหลินม่ายฟรี ๆ
เขาไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเช่าเลยสักเฟิน แถมยังสามารถอยู่ที่นั่นได้ตลอด จะไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อบ้านหลังนี้ทำไมกัน นอกเสียจากว่าเขามีเงินพอซื้อบ้าน
แต่หล่อนจะหักล้างคำโกหกของเขาก็ไม่ได้…
หล่อนคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักข้อขึ้น “พี่หมิงเฉิง ได้โปรดช่วยฉันด้วย ถ้าพี่ไม่ช่วยฉัน ก็คงไม่มีใครยอมช่วยฉันอีกแล้ว”
“ลุกขึ้น ลุกขึ้นเถอะ!”
หลี่หมิงเฉิงกระวนกระวายมากจนเหงื่อไหลโซม ต้องการฉุดดึงว่านฮุ่ยให้ลุกขึ้น แต่เขาขี้อายเกินไป ดังนั้นจึงทำได้แค่พยายามเกลี้ยกล่อมหล่อนต่อไปด้วยถ้อยคำเดิม ๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก
ถึงอย่างนั้นว่านฮุ่ยก็ไม่ยอมลุกขึ้น เอาแต่ร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่อย่างนั้น ขู่ว่าถ้าหลี่หมิงเฉิงไม่ยอมช่วย หล่อนจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ให้ตายกันไปข้าง
หลี่หมิงเฉิงไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน เขาสับสนจนหัวปั่น
จากนั้นก็กัดฟันถาม “ค่าเล่าเรียนชั้นมัธยมปลายเทอมหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไหร่?”
พอเห็นว่าเขายอมใจอ่อน ว่านฮุ่ยก็ดีใจมาก แต่ยังพยายามรักษาสีหน้าให้ดูน่าสงสาร
พูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ “ไม่มากหรอก แค่เทอมละยี่สิบหยวน”
มุมปากหลี่หมิงเฉิงถึงกับกระตุก เงินยี่สิบหยวนไม่ใช่น้อย ๆ เลย ค่าเทอมของโรงเรียนในชนบทยังตกอยู่ที่สิบห้าหยวนต่อเทอมเท่านั้น
สิ่งที่แพงยิ่งกว่าสำหรับโรงเรียนมัธยมไม่ใช่แค่ค่าเทอมและค่าที่พัก แต่เป็นค่าครองชีพ
เขาถามต่อ “แล้วเธออยากเรียนต่อที่ไหน?”
ว่านฮุ่ยส่ายหน้า “ฉันอยากเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมในเครือของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ โรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน ฉันไม่จำเป็นต้องเช่าหอพักอยู่”
หลี่หมิงเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเมื่อหล่อนไม่ต้องเช่าหอพักอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาไปหากู้เงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนให้หล่อนคงได้ ลำพังยี่สิบหยวนยังถือว่าหนักหนาเกินไปสำหรับเขา
“ลุกขึ้นเร็วเข้า ฉันจะไปหายืมเงินมาจ่ายค่าเทอมให้เธอเอง”
“ขอบคุณพี่หมิงเฉิง ฉันรู้ว่าพี่หมิงเฉิงดีกับฉันที่สุด!”
ว่านฮุ่ยดีใจจนลิงโลด ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นจากพื้น ประตูที่เปิดแง้มอยู่ครึ่งหนึ่งก็ถูกผลักเข้ามา หลินม่ายปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งสองพร้อมกับถุงใบใหญ่และใบเล็ก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขอบคุณสวรรค์มากค่ะที่ม่ายจื่อเข้ามาพอดี ไม่อย่างนั้นไอ้หนุ่มซื่อบื้อนี่ก็โดนสนตะพายจมูกล่ามกับคันไถให้ไถนาฟรีไปแล้ว มาหว่านล้อมถูกคนด้วยนะนังว่านฮุ่ย
ไหหม่า(海馬)