สืออีเหนียงสั่งให้โรงครัวเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม จากนั้นก็กลับไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
ชีเหนียงกำลังเล่าเรื่องที่เจอระหว่างการเดินทาง “…มีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่าโรงเตี๊ยมเกาซื่อ ขนมเปี๊ยะแบนเรียบราวกับแผ่นกระดาษ ทานกับเนื้อสับ อร่อยเป็นอย่างมาก แต่ว่าร้านนั้นสกปรกเกินไป ข้าไม่กล้านั่งที่ร้าน จึงจอดรถม้าพักผ่อนที่ลานหนึ่งคืน แต่ตอนออกมาเถ้าแก่กลับเก็บเงินข้า…”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ เด็กๆ สองสามคนก็นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่ออยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ โดยเฉพาะสวีซื่ออวี้ สายตาของเขาเป็นประกาย
ชีเหนียงเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็หยุดพูด ยิ้มแล้วพูดว่า “หารองเท้าไม้ของท่านโหวเจอแล้วหรือยัง”
ในเมื่อสวีลิ่งอี๋หาข้ออ้างเรียกนางออกไป เขาคงจะไม่อยากให้ชีเหนียงรู้ว่าจูอานผิงมา นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “หาเจอแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เร่งเด็กๆ ไปนอน “…สายมากแล้ว”
จุนเกอยังอาลัยอาวรณ์ แต่สวีซื่ออวี้กลับลุกขึ้นคำนับ
สืออีเหนียงบอกให้สวีซื่ออวี้พาสวีซื่อเจี้ยกลับไปที่เรือนลี่จิ่งเซวียน ส่วนตัวเอง ชีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์เดินไปทางทิศตะวันตก จากนั้นก็แยกย้ายกันที่หน้าศาลาปี้อี เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินไปทางเรือนเสาหวา สืออีเหนียงไปส่งชีเหนียงที่เรือนท่าเรือหลิวฟัง
“พี่เขยเจ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ” นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดเบาๆ
ชีเหนียงที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ตัวพลันแข็งทื่อทันที
“ท่านโหวกำลังดื่มสุราอยู่กับเขา” สืออีเหนียงพูด “อีกประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาห้ามออกจากเคหสถานในยามค่ำคืนแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงจะนอนที่ลานข้างนอกกระมัง”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไร
สืออีเหนียงเกลี้ยกล่อม “พี่เขยเจ็ดตั้งใจมาจากเกาชิง ถึงอย่างไรท่านก็ควรจะไว้หน้าเขา ไม่สู้ถือโอกาสนี้คิดให้ดี คิดว่าพรุ่งนี้เจอกันแล้วจะพูดอะไรดี”
“มีอะไรต้องพูดกันอีก” ชีเหนียงก้มหน้าก้มตา “นอกเสียจากว่าข้าจะมีบุตรชาย ไม่เช่นนั้นพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์”
“จะไม่มีประโยชน์ได้เช่นไรกัน” สืออีเหนียงเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ ตะเกียง “ชีวิตขึ้นอยู่กับมนุษย์ หากความสัมพันธ์ของพวกท่านจะพลิกผันไปเพียงเพราะแค่ไม่มีลูก เช่นนั้นท่านก็ต้องพูดกับเขาว่าจะตัดสินใจรับสาวใช้ห้องข้างคลอดบุตรชายเลี้ยงในนามของเขา หรือว่าจะให้พี่เขยเจ็ดให้เวลาท่านอีกสักหน่อย หาหมอมาดู หรือขอร้องอ้อนวอนสวรรค์ ทั้งหมดล้วนดีกว่าเจอเรื่องอะไรก็หนีออกมาเช่นนี้”
“ข้า…” ชีเหนียงเงยหน้าขึ้น นางปากสั่น ท่าทางลังเลที่จะพูด
สามีภรรยาที่รักกัน ใครจะยอมให้มีคนมาแทรกตรงกลาง แต่นางกลับพูดไม่ออก พูดออกมาก็คือความอิจฉา
สืออีเหนียงเข้าใจอารมณ์ของนางดี จึงพูดอย่างอ่อนโยน “พี่หญิงเจ็ดเจ้าคะ เช่นนั้นท่านถือโอกาสนี้หาหมอที่เยี่ยนจิงมาดูดีหรือไม่ หากสี่ห้าปีแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงตอนนั้นค่อยปรึกษากันว่าจะทำเช่นไรต่อไปก็ยังไม่สาย”
เช่นนี้ก็จะได้มีคำอธิบายให้สกุลจู จะได้ไม่มีคนบอกว่าชีเหนียงหนีออกมาจากจวนสกุลจูเพราะว่าเรื่องของบุตร
ชีเหนียงได้ยินแล้วก็ได้สติขึ้นมา
สืออีเหนียงเห็นว่านางเข้าใจในสิ่งที่ตนอยากจะสื่อก็โล่งใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “หากพี่หญิงเจ็ดเห็นด้วย พรุ่งนี้เช้าข้าจะขอให้ท่านโหวนัดพี่เขยเจ็ดมาที่ห้องหนังสือลานข้างนอก ให้พวกท่านปรับความเข้าใจกัน พี่เขยเจ็ดไม่ได้มาที่เยี่ยนจิงบ่อยๆ ก็รีบปรับความเข้าใจกับเขาเสียเถิด จะได้ไปเยี่ยมญาติๆ กับพี่เขยเจ็ด ไปชมวิวทิวทัศน์และสถานที่ประวัติศาสตร์ในเยี่ยนจิง”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็จิตใจสั่นไหว
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วขอตัวออกไป กลับไปที่เรือนศาลาริมน้ำ
สวีลิ่งอี๋ยังไม่กลับมา นางหาเชือกสีแดงออกมา ไปนั่งถักเชือกดอกเหมยบนเตียงเตาอย่างตั้งอกตั้งใจ
ผ่านไปไม่นาน สวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
สืออีเหนียงวางของในมือลงแล้วลุกขึ้นยืน
“ทำอะไรอยู่” สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา
เขาดูมึนเมา มองดูดอกเหมยสีแดงดอกใหญ่ที่วางอยู่ในตะกร้าหวายเงียบๆ “กำลังถักเชือกอยู่หรือ”
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับสั้นๆ นางเก็บของแล้วเรียกสาวใช้ยกน้ำแกงสร่างเมาเข้ามา
แต่สวีลิ่งอี๋กลับหยิบเชือกขึ้นมาดู “เล็กขนาดนี้ ถักซับซ้อนขนาดนี้ เอาไว้ทำอะไร”
“เอาไว้ใส่ของเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงหยิบเชือกเก็บใส่ในตะกร้าหวาย
สวีลิ่งอี๋เดินไปนั่งบนเตียงเตา
สาวใช้ยกน้ำแกงสร่างเมาเข้ามา
สืออีเหนียงรับน้ำแกงมายื่นให้สวีลิ่งอี๋ “พี่เขยเจ็ดพักผ่อนแล้วหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ยกน้ำแกงดื่มจนหมด จากนั้นก็ถอนหายใจ “ให้เขานอนที่ห้องรับแขกลานข้างนอก”
สืออีเหนียงรับถ้วยน้ำแกงมาวางไว้บนถาดสีแดงในมือของสาวใช้ สะบัดมือให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ บรรดาสาวใช้ก็พากันถอยออกไปอย่าเงียบๆ
“พูดคุยอะไรกันบ้าง” สืออีเหนียงเข้าไปนั่งข้างสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เอนตัวพิงหมอนอิงใบใหญ่สีเหลืองที่อยู่ข้างหลัง “บอกว่าทะเลาะกัน เขาทำให้ชีเหนียงโมโหจนหนีกลับมาสกุลเดิม ทันทีที่ได้รู้ว่านางหนีมาที่เยี่ยนจิง จึงรีบตามมาที่นี่”
แต่ว่าใช้เวลาเพียงสองวันก็มาถึง
ถึงแม่ว่ารถม้าที่หรูหราคันนั้นจะเป็นที่จับตามอง แต่ก็ต้องใช้เวลาในการตามหา!
และสิ่งที่ทำให้สืออีเหนียงแปลกใจก็คือ จูอานผิงยอมรับความผิดเองทั้งหมด!
“เขาพูดอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ได้พูดอะไรอีก” สวีลิ่งอี๋พูด “สามีภรรยาทะเลาะกัน ข้าก็ไม่อยากถามอะไรมาก”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
ชีเหนียงหนีออกจากบ้านมาเพราะเรื่องสาวใช้ห้องข้าง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงจะทำลายชื่อเสียงของนาง จูอานผิงคนนี้ ยังไม่ต้องพูดว่าเขาทำอะไร ดีกับชีเหนียงแค่ไหน แต่เขาปกป้องชีเหนียงต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่รู้หน้าที่ คนเช่นนี้ ส่วนมากมักจะเป็นคนมีเหตุผล พูดคุยง่าย
“ข้าเห็นจูอานผิงพูดจา ทำอะไรตรงไปตรงมาอีกทั้งยังหนักแน่น ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ แล้วยังสามารถตามมาถึงเยี่ยนจิงได้อย่างเงียบๆ” สวีลิ่งอี๋พูด “เจ้าเกลี้ยกล่อมชีเหนียงเถิด อยู่ที่เยี่ยนจิงสักสองสามวันแล้วให้กลับไปเกาชิงกับจูอานผิง”
ต้นตอของความขัดแย้งระหว่างชีเหนียงและจูอานผิงคือเรื่องบุตร แต่หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ถึงแม้ว่าชีเหนียงจะกลับไป ก็รับประกันไม่ได้ว่านางจะไม่หนีออกมาอีก หากเป็นเช่นนี้บ่อยๆ ไม่ว่าจะรักกันแค่ไหนก็คงจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย สามีภรรยาหลายคู่ก็แตกแยกกันเพราะเรื่องเช่นนี้
“เรื่องที่พี่เขยเจ็ดมาหา ข้าบอกพี่หญิงเจ็ดแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “เรื่องบางเรื่องพี่หญิงเจ็ดยังคิดไม่ได้…” นางเล่าเรื่องที่ตัวเองวางแผนให้ชีเหนียงและจูอานผิงยืมห้องลานข้างนอกปรับความเข้าใจกันให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
“ได้สิ!” สวีลิ่งอี๋พูด “พรุ่งนี้ข้าจะนัดจูอานผิงให้ เจ้าก็เชิญคุณหนูเจ็ดมาที่ห้องหนังสือลานข้างนอก”
สืออีเหนียงพยักหน้า รับใช้สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าแปรงฟัน นางลังเลอยู่หลายครั้ง
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็รู้สึกแปลกใจ
สืออีเหนียงไม่ใช่คนชอบลังเลแบบนี้
“มีอะไรหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
ถึงแม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของชีเหนียง แต่หากไม่ถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน สืออีเหนียงรู้สึกว่าเรื่องของชีเหนียงไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก่อนที่พี่เขยเจ็ดจะแต่งงานกับพี่หญิงเจ็ดเขาเคยมีสาวใช้ห้องข้าง เคยเลี้ยงนางรำ ข้าอยากให้ท่านช่วยไปสืบดูว่า บรรดาสตรีพวกนั้นเคยมีบุตรหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินก็เข้าใจทันที “เพราะเรื่องการมีบุตรเช่นนั้นหรือ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “หากรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะใครก็คงจะดีเจ้าค่ะ”
เรื่องเช่นนี้ ทางที่ดีควรถามชีเหนียง แต่ตนไม่แน่ใจว่าชีเหนียงรู้เรื่องจูอานผิงก่อนแต่งงานหรือไม่
“เกรงว่าคงจะไม่ง่าย” สวีลิ่งอี๋ขัดนาง “แม้ว่าจะไม่มีภรรยา และถึงแม้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริง แต่เขาก็คงจะหาทางปกปิดมันเอาไว้”
ก็จริง ไม่เช่นนั้น นายหญิงสองคงไม่มีทางปล่อยให้ชีเหนียงแต่งงานกับสกุลจูแน่นอน
สืออีเหนียงรู้สึกผิดหวัง
แต่สวีลิ่งอี๋กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็นึกว่าเรื่องอันใด หากอีกสองสามปียังไม่มีอะไรเกิดขึ้น รับคนมาอยู่ในเรือนสักคนก็ได้”
พูดเรื่องพวกนี้กับเขา ก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง สืออีเหนียงจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา พูดถึงเรื่องงานเลี้ยงสกุลเจียง “…ตอนแรกเป็นเพราะพิธีขึ้นปิ่นปักผมของข้า หากไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เกรงว่าพวกเขาจะคิดว่าเราไม่สนใจเจ้าค่ะ”
“เกิดเรื่องขึ้นพร้อมกัน” สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พูดว่า “หากสามารถจัดการเรื่องของคุณหนูเจ็ดได้ภายในสองวันนี้ ก็กำหนดไว้วันที่สิบห้าเถิด แต่หากเกิดการพลิกผัน เจ้าก็ส่งป้ารับใช้ไปคารวะก่อน จากนั้นค่อยนัดเวลาใหม่ ยื้อไปสักสองสามวัน”
สืออีเหนียงตอบรับ
“แล้วยังมีสกุลหลี่” สวีลิ่งอี๋พูด “จะล่าช้าไม่ได้แล้ว สองวันนี้หาเวลาไปดู หากเจ้าคิดว่าไม่เลว ก็ตอบตกลงเถิด เช่นนี้จะได้ปฏิเสธสกุลหวังเร็วๆ หน่อย ยื้อไปยื้อมาจะกลายเป็นศัตรูกันได้”
ตัดสินใจอนาคตของเจินเจี่ยเอ๋อร์เร็วเช่นนี้ สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะลังเล
“ทำไมหรือ” สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หรือเจ้าไม่พอใจที่สกุลหลี่ไม่ค่อยร่ำรวย?”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “บิดามี มารดามี ก็ไม่สู้ตัวเองมี ข้าแค่ยังไม่เคยเจอเขาจึงยังไม่มั่นใจ”
สวีลิ่งอี๋พลันนึกถึงก่อนหน้านี้ที่นางพูดถึงเรื่องที่คุณนายใหญ่สกุลหลินเป็นแม่สื่อให้ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า เจ้าเคยเจอคุณชายสกุลเซ่าแล้วเช่นนั้นหรือ”
“เคยเจอตอนที่นำของขวัญไปให้คุณนายใหญ่สกุลหลินครั้งหนึ่ง” สืออีเหนียงพูด “รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา เหมาะสมกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเราอยู่ไม่น้อย”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ลังเลใจ
สืออีเหนียงทำอะไรรอบคอบเสมอ ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ ก็ต้องมีเหตุผลของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเจินเจี่ยเอ๋อร์ตัวสูงกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไป
เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดว่า “รอให้เจ้าเจอกับคุณชายสกุลหลี่แล้วค่อยว่ากันดีกว่า” เขาพูดช้าลง
ก็จริง ตัวเองยังไม่เคยเจอหลี่จี้เลยด้วยซ้ำ ตัดสินใจตอนนี้ มันคงจะเร็วเกินไป
“เช่นนั้นข้าจะหาเวลาไปเจอคุณชายสองสกุลหลี่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน รับใช้สวีลิ่งอี๋พักผ่อน
สวีลิ่งอี๋เห็นเชือกสีแดงในเสื้อของนาง เขารู้ว่านางได้ห้อยป้ายหยกที่ตัวเองมอบให้ไว้ตรงหน้าอก ก็ยิ้มพราย หอมแก้มนางแล้วนอนลง
เช้าวันต่อมา หลังจากคารวะไท่ฮูหยินเสร็จแล้ว สืออีเหนียงก็พาชีเหนียงไปที่ห้องหนังสือลานข้างนอก
สวีลิ่งอี๋และจูอานผิงนั่งดื่มชาอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง ข้างหลังจูอานผิงนั้นมีหญิงสาวตัวเล็กๆ ยืนอยู่คนหนึ่ง
สืออีเหนียงตกใจ
เมื่อมองดูดีๆ แล้ว ที่แท้ก็คือเซียงอวิ๋น
นางมองไปที่ชีเหนียง
ใบหน้าของชีเหนียงซีดเซียว
“คุณนายใหญ่เจ้าคะ” เซียงอวิ๋นคุกเข่าลง “ท่านเข้าใจคุณชายใหญ่ผิดแล้วเจ้าค่ะ…” นางร้องไห้ “ข้ารับท่านมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เชื่อข้า แต่ท่านก็ไม่เชื่อคุณชายใหญ่หรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รีบมองไปที่จูอานผิง
ในหน้าของจูอานผิงนิ่งสงบ หางตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย
“เซียงอวิ๋น” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้าออกไปก่อนเถิด! มีเรื่องอันใดประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ข้ามีเรื่องจะพูดกับคุณชายใหญ่และคุณนายใหญ่ของเจ้า!”
“ฮูหยินเจ้าคะ!” เซียงอวิ๋นยืนขึ้นทั้งน้ำตา สีหน้าเศร้าเสียใจ
สืออีเหนียงขยิบตาให้หู่พั่ว
หู่พั่วพยักหน้าอย่างรู้ทัน รีบเดินเข้าไปประคองเซียงอวิ๋น “พี่เซียงอวิ๋นไปล้างหน้าล้างตากับข้าก่อนเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ก็ลุกขึ้นยืน อ้างว่ามีเรื่องจะพูดกับสืออีเหนียง จากนั้นก็พาสืออีเหนียงออกไป
หลินปัววิ่งพรวดเข้ามา
“ท่านโหวขอรับ” เขาหอบหายใจก่อนที่จะพูดเบาๆ “กำหนดพระชายาขององค์ชายใหญ่แล้วขอรับ!”