ตอนที่องค์ชายสามเสด็จมาถึง องค์รัชทายาทได้ทูลลาไปแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้เรียกพบเขา
แต่ว่าขันทีจิ้นจงมาอธิบายกับเขาด้วยตนเอง
“ฝ่าบาทมีเรื่องบางอย่างต้องคิด ไม่อาจเบนความสนใจได้” ขันทีจิ้นจงพูดเสียงเบา “หากองค์ชายสามไม่มีเรื่องเร่งด่วน พรุ่งนี้ค่อยเสด็จมาใหม่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามกล่าวขอบคุณขันทีจิ้นจง “พรุ่งนี้ข้ามาใหม่” องค์ชายสามลังเลเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้น “เป็นเพราะข้าทำให้เสด็จพ่อกับองค์รัชทายาทลำบากใจใช่หรือไม่”
องค์ชายห้ากับฮองเฮาถูกฮ่องเต้กักบริเวณเพราะลอบทำร้ายเขา อย่างไรสองคนนี้ก็เป็นสายเลือดตรงขององค์รัชทายาท
เมื่อเห็นใบหน้าองค์ชายสามที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดเล็กน้อย ขันทีจิ้นจงก็อดสงสารไม่ได้ ทั้งที่เขาเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ยังต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” เขารีบพูด “องค์รัชทายาทมีเรื่องขอร้องฝ่าบาท”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ครุ่นคิด กดเสียงต่ำต่อองค์ชายสาม
“เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณหนูตันจู”
องค์ชายสามจับแขนของขันทีจิ้นจงเอาไว้ ถามเสียงเบาด้วยความรีบร้อน “นางเป็นอันใด ระยะนี้นางไม่ได้ก่อเรื่องอันใด เหตุใดนางจึงมีเรื่องกับองค์รัชทายาทได้ เป็นเพราะข้าใช่หรือไม่…”
ทุกคนต่างรู้ว่าองค์ชายสามสนิทสนมกับคุณหนูตันจู หากองค์รัชทายาทต้องการทำร้ายคุณหนูตันจู ย่อมมีความป็นไปได้ที่จะถูกมองว่าแก้แค้นองค์ชายสาม…ขันทีจิ้นจงย่อมไม่อนุญาตให้มีการคาดเดาเช่นนี้ เขารีบพูดขัดองค์ชายสาม “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสามท่านอย่าทรงคิดมาก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวของคุณหนูตันจู เป็นเรื่องเก่าของนางกับพี่เขยของนางตอนที่เมืองอู๋ยังคงอยู่”
เพื่อไม่ให้เกิดการคาดเดาเช่นนี้ อีกทั้งเพื่อผลดีต่อองค์รัชทายาท เขาบอกเรื่องนี้แก่องค์ชายสาม ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางโทษเขา
องค์ชายสามได้ยิน สีหน้าผ่อนคลายลงไม่น้อย เรื่องเก่าที่เกี่ยวข้องกับเฉินตันจู เขาเองก็พอจะรู้มาบ้าง อาทินางสังหารพี่เขยของตนเอง
“เหตุใดจึงพูดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้อีก” เขาถามด้วยความสงสัย “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับองค์รัชทายาท”
ขันทีจิ้นจงไม่พูดมาก “ฝ่าบาทกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ รอคิดได้แล้วค่อยพูด เวลานี้องค์ชายสามอย่าได้ทรงถามเลยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามรู้ขอบเขต กล่าวขอบคุณขันทีจิ้นจงอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
องค์ชายสามจากไปอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะร่างกายหายดีแล้ว ไม่เชื่องช้าเหมือนแต่ก่อนอีก เสี่ยวชวีต้องวิ่งเหยาะตามไป “องค์ชายสาม ท่านจะเสด็จกลับพระตำหนักหรือไปยังตำหนักด้านหน้าพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าซ่งพวกเขาเดินทางมาแล้ว อีกทั้งได้อ่านจดหมายเรื่องคัดเลือกขุนนางตามกลยุทธ์จากทางแคว้นฉี หลังจากองค์ชายตัดสินใจแล้ว พวกเขาจะเตรียมตัวออกเดินทาง…”
องค์ชายสามชะงักฝีเท้าลง “ไปภูเขาดอกท้อ”
เสี่ยวชวีตกใจ “องค์ชาย เวลานี้?”
“ย่อมต้องเป็นเวลานี้ คุณหนูตันจูยังไม่รู้เรื่องนี้” องค์ชายสามพูด “ต้องไปบอกนาง”
เสี่ยวชวีเดินขึ้นหน้ารั้งเอาไว้ “องค์ชาย ท่านเพิ่งได้ข่าวก็เสด็จไปบอกคุณหนูตันจู องค์รัชทายาทจะทรงคิดอย่างไร ฝ่าบาทจะทรงคิดอย่างไร”
เวลานี้ องค์ชายสามมีชื่อเสียงโด่งดัง อีกทั้งยังเพิ่งถูกองค์ชายห้าและฮองเฮาลอบทำร้าย ตามหลักแล้วเป็นเวลาที่ได้รับความสำคญและโปรดปรานจากฮ่องเต้ที่สุด แต่บนความเป็นจริงแล้วไม่แน่ ดู ฮ่องเต้เรียกองค์รัชทายาทเข้าพบมากขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังปฏิเสธองค์ชายสามไว้นอกประตู
เวลานี้ไม่อาจทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยได้
องค์ชายสามยิ้ม “ข้าทำเช่นนี้ไม่ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย ข้าทำเช่นนี้ถึงจะเป็นไปตามที่ฝ่าบาทคาดคิด ได้ข่าวเช่นนี้ไม่รีบไปบอกคุณหนูตันจูยิ่งดูไม่เหมือนข้า”
เขาไม่เหมือนตนเองมาเป็นเวลานานมากแล้ว
เขาเร่งฝีเท้า เสี่ยวชวีทำได้เพียงวิ่งตามอยู่ด้านหลังอีกครั้ง
เฉินตันจูยังไม่ได้กลับไปยังภูเขาดอกท้อ หลังจากบอกลาหลิวเวยและหลี่เหลียนแล้ว นางปีนออกมาจากคันรถมาขี่ม้าขององครักษ์
“คุณหนูตันจู ท่านจะไปค่ายทหารหรือ” จู๋หลินถามเมื่อเห็นหญิงสาวควบม้าอย่างเร่งรีบ
ม้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ราษฎรบนถนนต่างหลบหลีก เห็นหญิงสาวที่ควบม้าอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ก็ไม่ได้มีความขุ่นเคืองมากมาย พวกเขาต่างคุ้นชินกับคุณหนูตันจู
เฉินตันจูไม่ได้ตอบคำถามของจู๋หลิน เพียงแค่เคลื่อนตัวไปด้านหน้า ในไม่ช้าก็เห็นค่ายทหารที่ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ ประตูที่สูงตระหง่าน ป้อมสังเกตการณ์ รวมทั้งธงทหารที่พลิ้วสะบัด…
ทหารที่อยู่ไกลออกไปเห็นหญิงสาวที่เคลื่อนเข้าใกล้ พวกเขาเตรียมจะเปิดทาง เพื่อให้คุณหนูตันจูเดินทางเข้าไปได้อย่างราบรื่น
แต่เฉินตันจูกลับดึงม้าให้หยุดลงในระยะไกล
“คุณหนูตันจู?” จู๋หลินถามด้วยความสงสัย
เฉินตันจูไม่พูด เพียงแต่มองไปด้านหน้า
จู๋หลินมองนาง รู้สึกถึงความผิดปกติ หญิงสาวที่สวมชุดงดงามตรงหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการควบม้าบนถนนตลาดหรือว่าเดินเท้าอยู่ในพระราชวัง สีหน้าของนางล้วนหยิ่งยโส อีกทั้งยังสามารถแสร้งทำเป็นอ่อนแอน่าสงสารได้ทุกที่ทุกเวลา…อาทิตอนพบเจอกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
แต่เวลานี้ คิ้วเรียวของนางตกลงมา ใบหน้าของนางซีดขาวดุจหิมะ ดวงตาของนางดำขลับ สีหน้าของนางเงียบสงบ…
เฉินตันจูไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมาที่นี่ อาจเป็นเพราะความเคยชิน ตอนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมก็วิ่งมาร้องไห้กับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่ครานี้ ร้องไห้ไม่มีประโยชน์
นางเอื้อมมือลูบลำคอ บาดแผลที่ถูกสาวรับใช้ของเหยาฝูใช้มีดจี้คอนางนั้นสมานไปนานแล้ว ไม่เหลือร่องรอยใดๆ
ตอนนั้นแม่ทัพหน้ากากเหล็กขัดขวางนางไม่ให้นางสังหารเหยาฝู เวลานี้เหยาฝูที่ยืนอยู่ข้างองค์รัชทายาทสามารถไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กยิ่งไม่อาจทำอันใดได้
หากพูดจากใจ เหยาฝูเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบที่แท้จริงของราชสำนัก นางเพียงแค่แย่งชิงโอกาสนี้มาเท่านั้น
เฉินตันจูหันม้ากลับ จากไปตามทางเดิมที่มา
อันใดกัน จู๋หลินสงสัย หันหน้าส่งสัญญาณให้สหาย ก่อนที่ตนเองจะไล่ตามเฉินตันจูไป ส่วนสหายของเขาเดินเข้าไปในค่ายทหาร
“คุณหนูตันจูมาหรือ” เฟิงหลินถาม “จากนั้นไปแล้ว?”
องครักษ์หลวงนี้พยักหน้า “อาจเป็นเพราะระลึกถึงท่านแม่ทัพ แต่ก็กลัวรบกวนท่านแม่ทัพ”
เฟิงหลินยังไม่ทันพูด ด้านหลังก็มีเสียงหัวเราะของแม่ทัพหน้ากากเหล็กดังขึ้น
“นางไม่มีความคิดมากมายเช่นนี้” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด นิ้วของเขาเคาะลงบนโต๊ะ มองไปยังองครักษ์หลวงนั้น “คุณหนูตันจูมีเรื่องอันใด”
องครักษ์หลวงส่ายหน้า “หลายวันนี้ไม่มีเรื่องอันใดขอรับ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กครุ่นคิด ถาม “ก่อนหน้านี้คุณหนูตันจูมาจากที่ใด ไม่ใช่มาจากบนภูเขาใช่หรือไม่”
ท่านแม่ทัพพูดถูก องครักษ์หลวงรีบพยักหน้า “มาจากพระราชวังขอรับ วันนี้องค์หญิงจินเหยาทรงเชิญคุณหนูตันจู คุณหนูหลิวเวยและคุณหนูหลี่เหลียนเข้าวังไปเที่ยวเล่น แต่ในพระราชวังไม่ได้เกิดเรื่องอันใด เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน จากนั้นออกจากพระราชวัง คุณหนูตันจูก็กลายเป็นเช่นนี้…”
เขายังพูดไม่ทันจบ แม่ทัพหน้ากากเหล็กลุกขึ้นยืน พูด “เตรียมรถ ข้าเข้าวังไปดูเอง”
เข้าวังไปดูอันใด องครักษ์หลวงไม่เข้าใจ หากเป็นห่วงคุณหนูตันจู ไม่ควรไปดูที่ภูเขาดอกท้อหรือ
…
เฉินตันจูยังคงไม่กลับไปยังภูเขาดอกท้อ นางขี่ม้ากลับเข้าเมืองอีกครั้ง จู๋หลินติดตามอย่างระอา เมื่อเห็นเฉินตันจูเดินทางมายัง...จวนด้านข้างจวนตระกูลเฉินในอดีต จวนกวนเน่ยโหวในปัจจุบัน
เฉินตันจูมาจวนแห่งนี้น้อยครั้งมาก บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูดีใจอย่างมาก แต่คุณหนูตันจูยังคงไม่สนใจเขาที่แนะนำการดูแลรักษาจวนได้ดีอย่างไร หากแต่ให้เขายกบันไดมาวางทาบบนกำแพงที่สวนด้านหลัง
จู๋หลินมองเฉินตันจูที่ปีนขึ้นไปอย่างระอา ต้องการพบโจวเสวียนก็ไม่ต้องลับๆ ล่อๆ เช่นนี้กระมัง มีเรื่องใดที่ให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้ อืม…ระยะนี้ข่าวลือของโจวเสวียนกับเฉินตันจูให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้เสียจริง
คุณหนูตันจูต้องการทำอันใด เดี๋ยววิ่งไปหาแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เดี๋ยววิ่งมาหาโจวเสวียน ตกลงนางต้องการพบผู้ใด
เฉินตันจูนั่งลงบนกำแพง มองลานกว้างในจวนทางนั้นด้วยความเหม่อลอย
เฉินตันจูครุ่นคิด หากพบโจวเสวียน นางบอกเขาว่านางจะร่วมมือกับเขา เขาสังหารฮ่องเต้ นางสังหารเหยาฝู…
ฮ่องเต้ตายไป นางสามารถสังหารเหยาฝูได้ แต่คนในครอบครัวจะมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือ
ย่อมไม่ได้ วิธีนี้ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้
เฉินตันจูมองลานที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตาด้วยความเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง เมื่อถึงเวลา จวนแห่งนี้อาจถูกยึด เผาทำลายจนกลายเป็นผุยผงเหมือนเดิม
เฉินตันจูลุกขึ้นปีนตามบันไดลงไป
…
“คุณชาย คุณชาย” ชิงเฟิงพุ่งเข้ามาในห้องตำราของโจวเสวียน ไม่สนใจแขกและรองแม่ทัพที่นั่งอยู่เต็มห้อง “คุณหนูตันจูมาขอรับ!”
โจวเสวียนที่นั่งเอียงอย่างขี้เกียจรีบนั่งหลังตรงขึ้นมา “นางมาได้อย่างไร” ก่อนจะหันออกไปมองด้านนอก คนก็ลุกขึ้นยืน “อยู่ที่ใด”
ชิงเฟิงพูดอีกครั้ง “ไปแล้วขอรับ”
อันใดกัน! โจวเสวียนขมวดคิ้ว เขาทิ้งคนทั้งห้องเอาไว้ ลากชิงเฟิงเดินออกมา “เจ้าเสียสติหรือว่าเฉินตันจูเสียสติ”
ชิงเฟิงหัวเราะ “คงเป็นคุณหนูตันจูที่เสียสติ ก่อนหน้านี้นางนั่งมองมาทางนี้อยู่บนกำแพงด้านหลัง มองอยู่สักพักก็จากไป”
เนื่องจากไม่รู้ว่าคุณหนูตันจูต้องการอันใด เมื่อเหล่าองครักษ์เห็นจึงรับมือไม่ถูก ยังไม่ทันคิดว่าจะรับมืออย่างไร คุณหนูตันจูก็ไปแล้ว
มาจริงหรือ โจวเสวียนปล่อยมือออก ภายในใจราวกับมีมดปีนป่ายไปทั่ว มาเพื่อหาเขา? อยากพบเขาหรือ?
“คุณหนูตันจูย่อมต้องอยากพบคุณชายอย่างแน่นอน” ชิงเฟิงโน้มตัวกระซิบ “แต่เขินอาย กลอนบทนั้นกล่าวไว้ว่าอย่างไร นอนพลิกหงายพลิกคว่ำแต่ไม่อาจข่มตาให้หลับ…”
โจวเสวียนผลักใบหน้าที่เข้าใกล้ของชิงเฟิงออกไปอย่างรังเกียจ “เหลวไหลอันใดกัน เฉินตันจูจะคิดมากเพียงนี้?”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่มุมปากของเขากลับฉีกยิ้ม
บางที อาจจะ…