ตอนที่ 340 นายไม่คู่ควรกับขนมของฉัน
หลินม่ายเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าก็มืดครึ้มลงทันที ถามเสียงขรึม “เธอมาทำอะไรที่นี่?”
ว่านฮุ่ยแสดงอาการวัวสันหลังหวะเมื่อเห็นเธอ รีบลุกขึ้นพลางพูดเสียงเบาว่า “มะ… ไม่มีอะไร ฉันแค่แวะมาหาพี่หมิงเฉิงน่ะ ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ ฉันยังไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนเขาเลย”
จากนั้นก็หันไปพูดกับหลี่หมิงเฉิง “พี่หมิงเฉิง ฉันขอตัวก่อนนะ”
ขณะที่พูดแบบนั้น หล่อนก็ขยิบตาใส่เขาครั้งหนึ่ง เป็นเชิงห้ามไม่ให้เขาบอกหลินม่ายว่าหล่อนมาขอยืมเงินค่าเล่าเรียนจากเขา
หล่อนมีลางสังหรณ์แปลก ๆ ว่าถ้าหลินม่ายรู้เรื่องนี้ เธอจะต้องหาทางทำลายแผนการแน่ ๆ
หลี่หมิงเฉิงหันกลับมาหลังจากเดินออกไปส่งหล่อนถึงหน้าบันได จากนั้นก็เหลือบมองไปที่โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย ถามว่า “ทำไมถึงได้ซื้อของมาให้ฉันเยอะแยะแบบนี้ล่ะ?”
“จะบ้าหรือไง!” หลินม่ายแบ่งถุงบนโต๊ะออกเป็นสามส่วน “ของพวกนี้จั๋วหรานตั้งใจซื้อไปฝากคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง พรุ่งนี้ฝากนายช่วยขนไปส่งให้พวกเขาหน่อย”
จากนั้นก็ชี้ไปที่ถุงที่เล็กที่สุด “ถุงนั้นของนาย”
แล้วก็ชี้ไปยังอีกถุงที่มีขนาดใหญ่กว่า “ส่วนถุงนั้นของพี่เถา ฉันค่อยหิ้วไปฝากหล่อนทีหลัง”
เถาจืออวิ๋นมีฉีฉีอยู่ด้วยทั้งคน ดังนั้นหลินม่ายถุงได้แบ่งขนมไว้ให้หล่อนมากหน่อย
หลี่หมิงเฉิงเป็นคนใจกว้าง แม้ว่าเถาจืออวิ๋นจะมีลูกหรือไม่มี เขาก็ยินดีให้หลินม่ายแบ่งขนมให้หล่อนในจำนวนที่มากกว่าส่วนของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้
เขาจัดการเก็บขนมในส่วนของคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางเข้าที่
หลินม่ายถามไล่หลัง “ว่านฮุ่ยมาหานายทำไม แล้วทำไมต้องคุกเข่าลงกับพื้นแบบนั้นด้วย?”
หลี่หมิงเฉิงไม่ทันสังเกตการขยิบตาที่ว่านฮุ่ยส่งให้เขาเมื่อกี้นี้
ต่อให้เขาสังเกตเห็น ถ้าหลินม่ายถามเขา เขาก็ยินดีจะบอกความจริง
มิตรภาพระหว่างเขากับว่านฮุ่ยเทียบอะไรไม่ได้กับมิตรภาพที่เขามีต่อหลินม่าย
หลี่หมิงเฉิงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังอย่างไม่ปิดบัง
สีหน้าหลินม่ายหม่นหมองลงหลังจากได้ยินแบบนั้น “นายอุตส่าห์บอกหล่อนไปแล้วว่าตัวเองไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อบ้าน แต่หล่อนก็ยังเอาแต่คุกเข่าอ้อนวอนนาย ไม่คิดเหรอว่าหล่อนกำลังใช้อุบายบีบบังคับนายทางอ้อม?”
หลี่หมิงเฉิงเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
แต่พอคิดว่าค่าเล่าเรียนของเธอเป็นเงินค่ายี่สิบหยวนต่อภาคการศึกษา เขาก็คิดว่าเงินจำนวนดังกล่าวยังไม่ถือเป็นภาระหนักสำหรับเขาในตอนนี้
เขาโบกมือ “แค่เทอมละยี่สิบหยวนเอง ช่วยแค่ครั้งเดียว ไม่ได้ช่วยไปตลอดชีวิต เธอออกจะน่าสงสารขนาดนั้น”
หลินม่ายแค่นเสียงเย้ยหยัน “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเงินเดือนทั้งหมดของนายจะถูกหักลบหนี้กับเงินทั้งหมดที่ยืมฉันไป? นายอยากเป็นคนดีและให้ว่านฮุ่ยยืมเงินเรียนก็ไม่ผิดหรอก แต่นายจะไปเอาเงินมาจากไหนล่ะ?”
หลี่หมิงเฉิงจ้องมองเธอด้วยสายตาแห้งแล้ง
เขาตั้งใจว่าจะขอยืมเงินจากเธอเพื่อเอาเงินไปให้ว่านฮุ่ยยืม แต่พอเห็นท่าทางของหลินม่ายแล้ว เขาก็ไม่กล้าขอยืมเงินจากเธอตรง ๆ
เขาเกาศีรษะด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา “งั้นฉันขอยืมเงินจากเธอได้ไหมล่ะ?”
ใบหน้าหลินม่ายเปลี่ยนเป็นมืดมน “ว่านฮุ่ยใส่ร้ายฉัน นายยังคิดจะยืมเงินจากฉันไปช่วยหล่อนอีกเหรอ?”
ดวงตาหลี่หมิงเฉิงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ใส่ร้ายเธอเนี่ยนะ? เป็นไปไม่ได้ เธอเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
หลินม่ายขึ้นเสียงด้วยความโกรธ “เข้าใจผิด? เพื่อนร่วมชั้นทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมด หล่อนเองก็ยอมรับและขอโทษฉันแล้วด้วยซ้ำ นายยังเข้าข้างหล่อนว่าเป็นแค่การเข้าใจผิดอีกหรือ?”
หลี่หมิงเฉิงตกตะลึง “ผู้หญิงคนนั้นใส่ร้ายเธอว่ายังไงบ้าง?”
“หล่อนบอกว่าฉันพยายามเข้าหาจั๋วหราน! แถมยังบอกด้วย ว่าคนที่ปล่อยข่าวลือเรื่องนี้คือนาย!”
หลี่หมิงเฉิงพูดอย่างอารมณ์เสีย “ทำไมหล่อนถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้!”
หลินม่ายเตะตัดขาจนเขาล้มลงกับพื้น “มีแค่คนงี่เง่าอย่างนายแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่คิดว่าหล่อนน่าสงสาร แถมยังอาสาจะช่วยหล่อนอีก!”
ยิ่งพูดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งโมโห เธอคว้าถุงขนมทั้งของเถาจืออวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงมาถือไว้ ก่อนจะเดินสะบัดออกไป “นายมันโง่ ไม่คู่ควรกับขนมของฉัน รีบ ๆ ขายทุกอย่างที่มีแล้วเอาเงินไปช่วยว่านฮุ่ยเถอะ ในเมื่อหล่อนน่าสงสารขนาดนั้น ใช้แสงแห่งธรรมอันบริสุทธิ์ของนายปกป้องหล่อนให้เต็มที่เลย!”
หลี่หมิงเฉิงเจ็บปวดไม่น้อยจากการโดนหลินม่ายเตะ ตอนที่เขาล้มลง ศีรษะก็ดันไปกระแทกเข้ากับมุมตู้พอดี ทำให้เขาเจ็บแทบตาย
เขารีบลุกขึ้นจากพื้น วิ่งตามเธอออกจากบ้าน พร้อมกับโก่งคอเรียกสุดเสียง “ม่ายจื่อ ฉันจะไม่ช่วยว่านฮุ่ยอีกต่อไปแล้ว”
ไม่ว่าว่านฮุ่ยจะน่าสงสารแค่ไหน แต่ถ้าหล่อนคิดร้ายกับหลินม่าย เขาไม่มีวันช่วยหล่อนเด็ดขาด
เขาแค่อยากช่วยหล่อนเพราะสิ่งที่หล่อนพบเจอค่อนข้างคล้ายคลึงกับประสบการณ์ของหลินม่าย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้สึกเห็นใจหล่อนมากขนาดนี้
เขาไม่มีไหวพริบเลยแม้แต่น้อย แถมยังโง่โดนละครตบตาหลอกเข้าเต็มเปา ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีจิตสำนึกรู้ว่าใครกันที่ดีกับเขา
หลินม่ายไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกของหลี่หมิงเฉิง พอมาถึงบ้านของเถาจืออวิ๋นพร้อมกับถุงขนมสองใบในมือ ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว
เถาจืออวิ๋นโผล่ศีรษะออกมาจากประตูห้องอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เพื่อสังเกตท่าทางของครอบครัวแม่ว่าน
พอเห็นว่าพวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะออกมา ก็ตั้งท่าเตรียมเขย่งเท้าเพื่อย่องออกไปทำงาน
ทันทีที่เห็นว่าหลินม่ายมาหา หล่อนก็ทำท่าทางเป็นเชิงสั่งให้เงียบ ไม่ลืมเตือนให้อีกฝ่ายพูดเบา ๆ
หลินม่ายไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ยอมทำตามที่หล่อนบอก ผลุบเข้าไปในบ้านของหล่อนเหมือนกับขโมย
เถาจืออวิ๋นรีบปิดประตู จากนั้นก็กลับมาใช้น้ำเสียงปกติ ถามว่า “เลยเที่ยงมาแล้วนะ ทำไมถึงไม่งีบหลับอยู่ที่บ้าน ออกมาที่นี่ทำไม?”
หลินม่ายวางถุงขนมสองห่อลงบนโต๊ะ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อตามใบหน้า “ฉันควรถามพี่มากกว่า ว่าทำไมพี่ถึงได้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนั้น?”
เถาจืออวิ๋นรินน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วให้เธอหนึ่งแก้ว “โอ๊ย! อย่าพูดถึงมันเชียว ฉันโดนแม่ว่านที่อยู่ข้างบ้านตามรังควานน่ะสิ เพื่อหลีกเลี่ยงหล่อน ฉันก็ต้องย่องเข้าย่องออกเหมือนเป็นขโมยนี่แหละ”
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เถาจืออวิ๋นเล่าว่าตั้งแต่หล่อนย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ แม่ว่านก็มักจะมายุ่งวุ่นวายและถามซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของหล่อนอยู่บ่อย ๆ
หล่อนจึงตอบส่ง ๆ ไปว่าตัวเองเป็นแม่ม่าย ไม่มีงานทำ แถมยังไม่มีบ้าน
นึกไม่ถึงว่าแม่ว่านจะผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา อย่างเช่นต้องการแนะนำน้องชายตัวเองให้หล่อนรู้จัก ซึ่งทำให้หล่อนรำคาญมากจนต้องคอยหลบหน้า
หลินม่ายถามซุบซิบ “แล้วน้องชายของแม่ว่านเขาหน้าตาดีไหม? ทำงานที่ไหน? ถ้าโดยรวมแล้วไม่ได้เลวร้ายอะไร พี่จะเก็บเขาไว้พิจารณาหลังจากเซ็นใบหย่ากับหม่าเทาก็ได้นะ แต่ถ้าพี่ไม่ได้วางแผนว่าจะแต่งงานใหม่ งั้นก็ทำเหมือนว่าฉันไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน”
เธอเคยมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่สังคมเปิดกว้าง ตราบใดที่ฝ่ายชายเข้ากับฝ่ายหญิงได้ดี การแต่งงานใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
เถาจืออวิ๋นไม่คิดจะแต่งงานใหม่ เป็นเพราะหล่อนเกิดในยุคสมัยนี้ ความคิดด้านการเลือกคู่ครองจึงไม่ค่อยก้าวหน้านัก
หล่อนแสดงท่าทางไม่พอใจ “ต่อให้น้องชายแม่ว่านจะหล่อแค่ไหน ดูจากนิสัยของแม่ว่านแล้ว ฉันไม่มีทางเก็บเขาไว้พิจารณาแน่”
หลินม่ายเองก็ไม่ชอบแม่ว่านเหมือนกัน หล่อนทั้งขี้นินทา แถมยังชอบฉวยโอกาส สร้างความอึดอัดให้กับคนอื่น
“ในเมื่อไม่สนใจก็ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าแม่ว่านยังมาก่อกวนอีก ก็ไปขอให้ครอบครัวของพี่มาช่วยจัดการเสียเลย หรือถ้าไม่อยากให้พวกเขาเป็นกังวล พี่ก็จ้างคุณป้าสักคนมารับบทแทนก็ได้”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า หยิบขนมออกมาจากถุงแล้วเริ่มกัดกิน
หล่อนสังเกตว่าขนมในถุงทั้งสองใบมีหน้าตาเหมือนกันทุกประการ ต่างก็แต่ถุงหนึ่งมีมากกว่า ส่วนอีกถุงหนึ่งมีน้อยกว่า
หล่อนถามอย่างนึกสงสัย “ทำไมเธอถึงแบ่งขนมให้ฉันเป็นสองถุงล่ะ?”
หลินม่ายตอบ “อีกถุงเป็นของหลี่หมิงเฉิง”
เถาจืออวิ๋นตกตะลึง “แล้วทำไมถึงหอบเอามาให้ฉันถึงที่นี่?”
หลินม่ายจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบ้านของหลี่หมิงเฉิงให้หล่อนฟัง
จากนั้นก็สะบัดเสียง “ในเมื่อเขาสงสารว่านฮุ่ยดีนัก ถึงขั้นอยากช่วยเหลือหล่อน งั้นก็อย่าได้กินขนมของฉันเลย”
เถาจืออวิ๋นแค่นเสียงหึ ก่อนจะพูดด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ว่านฮุ่ยไม่ได้น่าสงสารเลย หล่อนแค่แสร้งทำตัวให้ดูน่าสงสาร ถึงพ่อแม่ของหล่อนจะเป็นคนประหลาด แต่ตัวหล่อนก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขา ทุกครั้งที่รู้สึกว่าพวกเขาลำเอียง ก็มักจะหาเรื่องทะเลาะกับแม่ ตรงกันข้าม พี่สาวคนสวยของหล่อนเป็นคนมีเหตุผล แถมยังเชื่อฟังคำพูดของแม่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่ถึงได้รักพี่สาวมากกว่า”
พอเห็นว่าเถาจืออวิ๋นพูดไปพลางกินขนมไปพลางอย่างเอร็ดอร่อย หลินม่ายก็ถามว่า “พี่กินข้าวกลางวันหรือยัง?”
ปกติเธอพาฉีฉีไปส่งที่บ้านป้าติงทุกวัน จากนั้นก็ไปรับมากินข้างที่บ้านหลินม่ายทุกเที่ยง แล้วค่อยไปรับอีกทีหลังเลิกงานในตอนบ่าย
หลินม่ายกังวลว่าการที่เถาจืออวิ๋นย้ายออกมาอยู่คนเดียวจะเหนื่อยจนไม่เข้าครัวทำอาหารมื้อกลางวัน
เธอกำชับอย่างจริงจัง “ต่อให้พี่ไม่อยากเข้าครัวทำอาหารกลางวันเอง อย่างน้อยพี่ก็ควรซื้ออาหารกลับมากินหน่อย เกิดหิวจนเป็นลมแล้วเป็นอะไรไปจะทำยังไง ฉีฉียังดูแลตัวเองไม่ได้นะ”
เถาจืออวิ๋นตอบรับยิ้ม ๆ “ฉันซื้อซาลาเปาไส้เนื้อสองสามลูกมากินแล้ว แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนยังไม่ได้กินก็ไม่รู้”
หลินม่ายหัวเราะ “ก็เพราะซาลาเปาไม่ใช่อาหารหลักน่ะสิ หลายคนก็รู้สึกแบบนี้กันทั้งนั้น อาจเป็นเพราะพฤติกรรมการกินก็ได้ แค่ตักข้าวเข้าปากคำเดียว สมองก็จำว่าเรากินข้าวแล้ว แต่ถ้ากินซาลาเปา สมองจะไม่ตอบสนอง จนทำให้พี่รู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่ได้กินอะไร”
เถาจืออวิ๋นรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ขณะที่พูด หล่อนก็กัดขนมกินอีกคำหนึ่ง “ขนมพวกนี้รสชาติไม่เหมือนของว่างในท้องถิ่นของเราเลย อย่าบอกนะว่าคุณหมอฟางซื้อกลับมาจากฮ่องกง?”
หลินม่ายพยักหน้า
เถาจืออวิ๋นพูดอย่างจริงใจ “คุณหมอฟางใจดีกับเธอจังเลยนะ เธอต้องรักษาเขาไว้ให้ดี”
หลินม่ายเขินอายเล็กน้อย “ฉันรู้แล้วน่า…”
จากนั้นก็ถามต่อ “หม่าเทายังไม่ติดต่อมาเรื่องเซ็นใบหย่าอีกเหรอ?”
ถึงหม่าเทาจะไม่รู้ว่าตอนนี้สองแม่ลูกหนีมาอาศัยอยู่ที่ไหน แต่เขาสามารถถ่ายทอดเจตนารมณ์ในการหย่าผ่านทางสถานที่ทำงานเก่าของเถาจืออวิ๋น หรือติดต่อผ่านครอบครัวของเถาจืออวิ๋นก็ยังได้
ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังไร้ความเคลื่อนไหวใด ๆ จากทางหม่าเทา เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขากับแม่ของเขาเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากหย่าขึ้นมา?
เถาจืออวิ๋นรินน้ำเย็นให้ตัวเองหนึ่งแก้วก่อนจะยกขึ้นดื่ม “ไม่หรอก แต่ครั้งล่าสุดที่ฉันไปลงบันทึกประจำวันไว้ สองแม่ลูกคู่นั้นคงรู้แล้วว่าฉันยังไม่ถูกล่วงละเมิด ก็เลยเปลี่ยนใจเอาตอนหลัง”
หลินม่ายเสนออย่างหมดหนทาง “งั้นคงทำได้แค่ฟ้องหย่าแล้วล่ะ”
เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า “ฟ้องหย่าไปก็ไม่มีประโยชน์ รุ่นพี่ในหอพักที่ฉันรู้จักเคยฟ้องหย่าสามีหลายครั้ง แต่ทางศาลทำได้แค่ช่วยไกล่เกลี่ย ไม่งั้นฉันคงไม่หาทางหย่ากับผู้ชายสารเลวคนนั้นด้วยกระบวนการทางกฎหมายหรอก”
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายขมวดคิ้ว หล่อนก็คลี่ยิ้ม “อย่ากังวลไปเลย ฉันทำเรื่องขอพักงานโดยไม่รับค่าจ้างไปแล้ว ที่ทำงานเก่าของฉันจ่ายค่าจ้างทุกวันที่สิบของเดือน พรุ่งนี้ก็วันที่สิบแล้ว พอหม่าเทาไม่ได้รับเงินเดือนของฉัน เขาจะรู้ทันทีว่าฉันไม่ได้รับค่าจ้างจากที่ทำงานเดิมอีก หลังจากนี้ครอบครัวของเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ จากฉันอีก พวกเขาต้องติดต่อขอหย่ากับฉันโดยเร็วแน่ อดใจรออีกไม่นาน”
หลินม่ายตะลึงงัน “พี่หมายความว่าเดือนที่แล้ว พี่ยังต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ครอบครัวของหม่าเทาอยู่เหรอ?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ครอบครัวของหม่าเทายากจนมาก สาเหตุหลักที่เขายอมแต่งงานกับฉัน ก็เพราะว่าฉันได้รับเงินเดือนสูง แถมยังมีบ้านให้อยู่อาศัย”
ว่าแล้วหล่อนก็เงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้หลินม่าย “ฉันโง่ใช่ไหมล่ะ? แต่งงานทั้งทียังต้องอุปการะคนยากจนอีก”
หลินม่ายรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเถาจืออวิ๋นช่างคล้ายคลึงกับชีวิตในชาติก่อนของเธอ
ถ้าไม่ใช่เพราะรัก ผู้หญิงคนหนึ่งจะโง่งมถึงขั้นยอมเสียสละซึ่งทุกสิ่งเพื่อเขาหรือ
หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “ก็โง่จริง ๆ นั่นแหละ”
เถาจืออวิ๋นหัวเราะ จากนั้นก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกา เห็นว่าสายมากแล้ว หล่อนต้องรีบกลับไปทำงาน
หลินม่ายเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน พลางพูดว่า “ใช่ว่าในโรงงานไม่มีห้องครัวซะหน่อย ฉันจำได้ว่าในห้องพี่มีซึ้ง เอาไว้ใช้นึ่งข้าวหรือผักก็ได้ ในเมื่อพี่ไม่คุ้นชินกับการกินซาลาเปาเป็นอาหารหลัก ถ้าอย่างนั้นพี่ก็นึ่งข้าวนึ่งผักกินรองท้องไปก่อนแล้วกัน”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้าพร้อมตอบรับในลำคอ
หลินม่ายเคยคิดว่าจะตั้งโรงอาหารสำหรับพนักงานในโรงงานเสียเลย
แต่ทั้งโรงงานมีพนักงานรวมกันแค่ร้อยกว่าคน หกสิบเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดต่างก็มีบ้านอยู่ในละแวกใกล้เคียงทั้งนั้น
คนที่บ้านอยู่ไกลอาจไม่ชอบกินข้าวในโรงอาหาร พวกเขาชอบหุงข้าวและต้มผักในห้องครัวกันเอง ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ดังนั้นโรงอาหารจึงยังไม่จำเป็น
เธอวางแผนว่าจะรอให้โรงงานขยายใหญ่ขึ้นกว่านี้ แล้วค่อยคิดว่าจะเปิดโรงอาหารฟรีสำหรับพนักงานดีหรือเปล่า
เธอต้องคิดอย่างรอบคอบว่าจะตั้งโรงอาหารฟรีอย่างไรเพื่อไม่ให้ไม่สิ้นเปลืองอาหารโดยใช่เหตุ และอำนวยความสะดวกให้พนักงานแบบไม่เสียเปล่า
ขณะที่สองสาวกำลังจะเดินออกจากประตูหลักที่ใช้ร่วมกันกับอีกหลายบ้าน แม่ว่านก็เดินพรวดออกมาจากบ้านของตัวเองอย่างรวดเร็ว แทบรอไม่ไหวที่จะหยุดเถาจืออวิ๋นไว้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เออ ต้องสอนบทเรียนให้สักหน่อย อย่าโง่ซ้ำโง่ซากนะไอ้หนุ่ม ไม่มีม่ายจื่ออยู่ด้วยนี่แกจะใช้ชีวิตในสังคมนี้รอดไหมเนี่ย
ยัยป้าว่านนี่มาขวางอะไรอีก อยากโดนม่ายจื่อถลกหนังกลางที่สาธารณะเหรอ
ไหหม่า(海馬)