เขาลืมตาขึ้นมาในความมืด
“…”
จากนั้นอินซอบก็ตระหนักได้ว่าเขาเห็นคริสต์มาสแรกที่ได้ใช้เวลาอยู่ที่อเมริกาในความฝัน วันนั้นคุณยายดันหลังของเขาอย่างดื้อดึง
‘ในวันแบบนี้ก็ต้องใช้เวลากับคนที่รักสิ’
‘แต่คุณยาย…’
‘หลานใช้เวลากับยายมาเยอะแล้วนี่ เยอะจนยายรู้สึกขอบคุณมากเลย’
ยายกำมือของหลานที่ลังเลไว้ เธอยิ้มพร้อมกับพูด
‘ควรจะไปหาคนที่รอหลานอยู่สิ สุดท้ายยายเองก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน’
‘อย่าพูดแบบนั้นสิครับ’
ยายจูบหน้าผากของหลานที่สะอื้นอย่างอ่อนโยน
‘ยายจะสวดมนต์ให้หลาน ไว้เจอกันอีกนะ ปีเตอร์’
นั่นคือครั้งสุดท้าย แม้หลังจากนั้นเขาจะไปเยี่ยมคุณยายอีกหลายครั้ง แต่ความทรงจำของคุณยายก็ไม่ครบถ้วน วันหนึ่งเธอจำเขาได้ และในวันหนึ่งก็ทำตัวราวกับเจอกันเป็นครั้งแรก และไม่สามารถแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ครบถ้วนเหมือนกันวันนั้นได้อีกเลย
…คุณยายจะได้เจอคุณตาไหมนะ
อินซอบพลิกตัวและหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเห็นผู้ชายที่นอนหลับและหายใจอย่างสม่ำเสมอ
อ๋อ จริงด้วย คุณอีอูยอนมาหาที่บ้าน จากนั้นก็ออกไปข้างนอกพร้อมกัน…แล้วก็แต่งงานกัน
อินซอบหัวเราะเบาๆ ให้กับตอนจบที่ไม่มีความสมจริงอยู่เลย นี่ควรจะเป็นการกระทำของหนุ่มสาวขี้เมาในลาสเวกัส
เหนือสิ่งอื่นใดคือเราแต่งงานกับอีอูยอนงั้นเหรอ
“…”
เขามองผู้ชายที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ
พวกเขามีเซ็กซ์กันอีกสักพักก่อนจะอาบน้ำ อีอูยอนจูบเขาอีกหลายครั้งในขณะที่สระผมให้ แม้สบู่จะเข้าตาจนทำให้รู้สึกแสบ แต่อินซอบก็ทนไว้และจูบกับอีกฝ่าย หลังจากใช้น้ำอุ่นล้างแชมพูทั้งหมดออก อีอูยอนก็พูดขึ้น
‘ลืมตาได้แล้วครับ’
มีเสียงหัวเราะเจืออยู่ในน้ำเสียงที่พูดแบบนั้น อินซอบลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ อีอูยอนที่ถือฝักบัวอยู่ยิ้มราวกับเด็กหนุ่มที่ซุกซน
‘อินซอบ’
ตอนที่อีอูยอนเรียกตนแบบนั้นในโบสถ์ อินซอบรู้สึกเหมือนหัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาประสานมือทั้งสองข้างและสวดมนต์ต่อพระเจ้าอยู่จนถึงเมื่อกี้ แต่ภายในหัวกลับว่างเปล่า และมีแต่อีอูยอนอยู่ในสายตา ราวกับในโลกนี้มีอีกฝ่ายเพียงแค่คนเดียว
‘วันนี้คุณจะแต่งงานกันผมได้ไหม’
ผมตอบไปว่าจะแต่ง เพราะผมอยากจะทำแบบนั้นกับคุณ ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อไรก็ตาม
อินซอบจ้องมองอีอูยอนที่นอนหลับอยู่ในสภาพที่ผมหน้าม้าแตก
…ไม่อยากจะเชื่อเลย
อินซอบตั้งใจจะหยิกแก้ม แต่แล้วก็หยุดทำเพราะกลัวว่าอีอูยอนจะตื่นขึ้นมาเพราะการขยับของตัวเอง
จะบอกพ่อแม่ยังไงดีล่ะ เราจะสร้างความเดือดร้อนให้คุณอีอูยอนหรือเปล่า แล้วต่อไปจะต้องทำงานในเกาหลียังไง…
วินาทีที่ภายในสมองวุ่นวายไปด้วยความคิดที่ถาโถมเข้ามาภายหลัง อีอูยอนก็ลืมตาขึ้น
“เอ่อ…”
อีอูยอนยิ้มก่อนที่อินซอบจะทันได้พูดอะไร นี่ไม่ใช่รอยยิ้มที่แต่งแต้มขึ้นมาเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็น แต่เป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความไร้เดียงสาในขณะที่สะลึมสะลือ
อีอูยอนกอดอินซอบไว้ จากนั้นก็หลับไปอีกครั้ง อินซอบกะพริบตาปริบๆ และผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา
อินซอบรีบหลับตาลงเพราะความรู้สึกอุ่นร้อนที่ดวงตา
‘เด็กน้อย ยายอยากให้หลานมีความสุขนะ’
เขานึกถึงเสียงของคุณยาย
ผมมีความสุขครับคุณยาย…มีความสุขจนไม่น่าเชื่อเลย
อินซอบเก็บคำที่ไม่กล้าพูดออกไปและกอดคนที่ตนรักไว้เต็มอ้อมกอด
คืนนี้เป็นค่ำคืนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดกับใครได้
***
“โอ๊ะ ใช่หัวหน้าทีมชาหรือเปล่าคะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
สตาฟที่เดินผ่านมาจำหัวหน้าทีมชาได้จึงเอ่ยทักทาย
“ครับ สวัสดีครับ”
“ช่วงนี้สีหน้าดูดีนะคะเนี่ย มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเหรอคะ”
“เรื่องดีๆ อะไรกันล่ะครับ ก็เหมือนเดิมทุกวันแหละ”
หัวหน้าทีมชาโบกมือปฏิเสธพลางฉีกยิ้มที่ดูเป็นคนดีไปให้
“วันนี้คุณอีอูยอนมาถ่ายงานใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
“ว่าแต่ทำไมคุณอีอูยอนถึงหล่อขนาดนั้นล่ะคะ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ควรที่จะมีวันที่ไม่หล่อสักวันสิ”
“…ฮ่าฮ่า นั่นสินะครับ”
หัวหน้าทีมชาตอบรับด้วยแววตาที่ไร้วิญญาณ
“ไม่สิ ฉันว่ายิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งหล่อนะ แล้วทำไมร่างกายถึงได้ดีขนาดนั้นล่ะคะ ดูที่ช่างภาพยิ้มจนปากฉีกถึงหูสิคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
หัวหน้าทีมชาหัวเราะอย่างอ่อนแรงและดื่มกาแฟที่ถืออยู่
“คงไม่มีนักแสดงคนไหนดูแลตัวเองดีเท่าคุณอีอูยอนหรอกค่ะ ปกติจะอ้วนขึ้นเล็กน้อยในตอนที่หยุดพักงานกันทั้งนั้น”
“ครับ ใช่ครับ ฮ่าฮ่า…”
หัวหน้าทีมชาฉีกยิ้มคนดีมีมารยาทพลางกลืนกาแฟลงไป
นี่ไม่ใช่คำพูดที่ผิด อีอูยอนชัดเจนกับการดูแลตัวเองจนน่ารังเกียจ เขาไม่มีทางกินอาหารมากเกินไปและออกกำลังกายตามที่กำหนดไว้เสมอ เขาได้รับการดูแลผิวอย่างเป็นพิเศษและใส่ใจกับผมอยู่เสมอ แม้กระทั่งเรื่องเสื้อผ้าก็เป็นทำนองเดียวกัน ถึงขั้นมีการรวบรวมแฟชั่นชุดสูทของอีอูยอนลงเป็นคอลัมน์พิเศษในนิตยสาร สุดท้ายแล้วคำพูดที่ว่าไม่สามารถเห็นภาพลักษณ์ที่ดูไม่หล่อได้แม้แต่วันเดียวก็คือความจริง
“ช่วงนี้คุณอีอูยอนไม่ได้คบใครอยู่เหรอคะ”
คำถามกระมิดกระเมี้ยนของสตาฟทำให้หัวหน้าทีมชาหัวเราะเหอะๆ พลางตอบอย่างกำกวมว่า “ไม่รู้สิครับ”
“หลังจากตอนนั้นก็เหมือนจะไม่มีคนที่คบหาดูใจอยู่เลย เขาทำแต่งานอย่างเดียวเหรอคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่ครับ”
“ถึงจะมาพูดตรงๆ เอาป่านนี้ แต่ฉันเสียดายคุณอีอูยอนเป็นร้อยเท่าเลย เธอนอกใจคุณอีอูยอนไปกับคนแบบนั้นได้ยังไงกันคะ”
หัวหน้าทีมชาหัวเราะแห้งๆ โดยไม่พูดอะไรให้กับคำพูดที่แกล้งทำเป็นเข้าข้างอีอูยอนพร้อมกับหยั่งเชิงไปพร้อมกัน ที่แห่งนี้เป็นที่ที่มีข่าวโดยอาศัยบรรยากาศในการพูด และบอกว่าเป็นคำให้การของคุณเอซึ่งเป็นคนใกล้ชิด จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่หัวหน้าทีมชาผู้ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงนี้มาเกือบยี่สิบปีจะหลงกลกับคำพูดพวกนั้น และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ…
“ถ้าเป็นระดับคุณอีอูยอน การคบคนที่ดีกว่านี้ไม่สมเหตุสมผลกว่าเหรอคะ เขาควรจะมีความรักที่สวยงามสิคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เขาจัดการเองได้อยู่แล้วล่ะครับ”
คนที่ดีกว่ากับผีน่ะสิ
อีอูยอนเป็นไอ้คนเฮงซวยที่บ้าที่สุดในโลก ถ้าสุ่มขว้างหินใส่ใครสักคนบนถนน ไม่ว่าหินจะไปโดนใครเข้าก็เป็นคนดีกว่าอีอูยอนอย่างแน่นอน แม้จะเจอคนมาหมดทุกรูปแบบแล้วในวงการบันเทิง แต่สาบานเลยว่าเขายังไม่เคยเจอคนที่บ้ากว่าอีอูยอนเลย
หัวหน้าทีมชาไม่สามารถพูดว่าเขาอยากให้อีอูยอนเจอคนดีๆ และมีความรักที่สวยงามได้ แม้จะแค่โกหกก็ตาม
“ช่วงนี้เขาทำแต่งานเพราะเบื่อกับการมีความรักเหรอ น่าเสียดายแย่เลย เขาควรจะได้คบกับคนดีๆ สิ”
สตาฟมองอีอูยอนที่กำลังคุยกับช่างภาพด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยจิตใจที่ปองร้าย
…เบื่อกับการมีความรักกับผีน่ะสิ เพราะคบกับคนที่ดีมากๆ ก็เลยทำตัวบ้าๆ แบบนั้น…
หัวหน้าทีมชาคลายความโกรธที่พุ่งขึ้นมาด้วยกาแฟที่เย็นแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังจากเสร็จงาน อีอูยอนก็รบกวนให้ไปห้างสรรพสินค้า
‘ห้างเหรอ ไปทำไม’
‘ผมจะไปซื้อเสื้อสักหน่อยน่ะครับ’
หัวหน้าทีมชาขับรถไปที่ห้างสรรพสินค้าโดยไม่คิดอะไรเป็นพิเศษ เพราะอีกฝ่ายเป็นพวกที่ชอบเลือกเสื้อผ้าใส่เองโดยไม่มีโคดี้อยู่แล้ว แต่เสื้อผ้าที่อีอูยอนเลือกกลับแปลกไป ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือมันไม่ใช่สไตล์ที่อีอูยอนน่าจะใส่
‘อย่าบอกนะว่านายจะใส่ของพวกนั้น?’
อีอูยอนที่หยิบเสื้อเชิ้ตที่ดูตัวเล็กไปหลายไซซ์ขึ้นมาดูนิ่วหน้าเล็กน้อย
‘จะบ้าเหรอครับ ผมเนี่ยจะใส่เจ้านี่ นี่เป็นเสื้อของคุณอินซอบครับ’
‘…แล้วนายเลือกไปทำไมล่ะ’
‘…เลือกไปทำไมน่ะเหรอครับ ผมก็เลือกเพราะอยากเลือกให้น่ะสิครับ’
อีอูยอนพาดเสื้อเชิ้ตที่หยิบขึ้นมาเมื่อกี้ไว้ที่แขนและไล่สายตาดูเสื้อตัวอื่นพลางพูดต่อ
‘ผมต้องซื้อเสื้อใหม่ให้ใส่ทุกไตรมาสเพราะคุณอินซอบซื้อเสื้อผ้าไม่ค่อยเก่งน่ะครับ’
‘…อ๋อ จริงด้วย’
หลังจากนั้นอีอูยอนก็เลือกเสื้อผ้าต่ออีกสองสามตัว คนที่รวมกลุ่มกันอยู่รอบๆ ร้านค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น
‘ไม่สิ ซื้อทางอินเทอร์เน็ตไม่ได้เหรอ ต้องออกมาซื้อที่ร้านเลยหรือไง’
หัวหน้าทีมชาเอ่ยถามด้วยเสียงที่ติดจะรำคาญอยู่หน่อยๆ หลังจากกันคนสองสามคนที่ขอลายเซ็นออกไป
‘ผิวเขาบอบบางน่ะครับ’
‘…’
‘ถ้าเนื้อผ้าหยาบไปนิดเดียว มันจะเสียดสีกับผิวและทำให้ผิวของเขาแดง ช่วยคิดเงินทั้งหมดนี่ด้วยครับ’
อีอูยอนยื่นเสื้อผ้าที่เลือกไว้ทั้งหมดให้พนักงานของร้าน
น่ารำคาญจริงๆ ขนาดการเลือกซื้อเสื้อผ้าให้ลูกสาวคนเดียวยังไม่ยุ่งยากขนาดนั้น
‘เฮ้อ ให้ตายเถอะ น่าหมั่นไส้ชะมัด’
หัวหน้าทีมชาบ่นพึมพำ แต่อีอูยอนก็ไม่สนใจและยื่นถุงช้อปปิ้งให้ หลังจากเลือกเสื้อผ้าอีกสองสามตัวที่ร้านอื่นเสร็จ การช้อปปิ้งก็จบลง แต่ท่าทีน่าหมั่นไส้ยังไม่จบแค่นั้น
ครั้งหนึ่งอีอูยอนเคยขอให้หยุดแวะสักครู่ในขณะที่ผ่านตัวเมืองของโซล คำขอที่กะทันหันทำให้หัวหน้าทีมชาถามกลับว่า ‘ที่นี่เหรอ?’
‘ครับ แวะร้านตรงนั้นแป๊บหนึ่ง’
ที่ที่อีอูยอนใช้คางชี้คือร้านโดนัทที่กำลังมีชื่อเสียงใน SNS ช่วงนี้
‘แวะที่นั่นทำไม’
‘ผมจะไปซื้อโดนัทสักหน่อยน่ะครับ เพราะคราวก่อนคุณอินซอบบอกว่าอยากกินโดนัท’
‘…’
ไอ้ห่าเอ๊ย
หัวหน้าทีมชากลืนคำที่อยากพูดลงไป และตอบว่า ‘ได้’ พร้อมกับยิ้มให้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้กรรมการผู้จัดการคิมเพิ่งจะให้โบนัสจำนวนมากมา ผ่านไปไม่นานอีอูยอนก็กลับขึ้นมาบนรถอีกครั้งด้วยมือเปล่า
‘ทำไมถึงออกมาเฉยๆ ล่ะ’
‘เพราะเขาบอกว่าต้องรออีกสองชั่วโมงถึงจะออกมาอีกรอบครับ’
‘ว่าไงนะ สองชั่วโมงเหรอ โดนัทอะไรกันถึงต้องสองชั่วโมงเพื่อจะได้กิน’
‘แม่งเอ๊ย นั่นน่ะสิครับ โดนัทเหี้ยนั่นไม่ได้หุ้มทองซะหน่อย’
อีอูยอนพึมพำด้วยน้ำเสียงปนรำคาญ หัวหน้าทีมชาจับพวงมาลัยเพื่อที่จะออกรถอีกครั้ง
‘ทำอะไรน่ะครับ’
เขาได้ยินเสียงทุ้มต่ำจากทางด้านหลัง
‘หา? ก็จะกลับบ้านน่ะสิ’
‘ที่ว่าจะกลับน่ะ กลับไปที่ไหนเหรอครับ เราต้องรออีกสองชั่วโมงต่างหาก’
‘…’
หัวหน้าทีมชาอึ้งจนพูดไม่ออก นายจะรอถึงสองชั่วโมงเพื่อซื้อโดนัทอะไรกันแน่
‘…ปะ ไปร้านโดนัทร้านอื่นไม่ได้เหรอ ถ้าตรงไปข้างหน้านั่นมีร้านขนมปังอยู่นะ’
‘ไม่ได้ครับ’
อีอูยอนหยิบหนังสือที่อ่านอยู่ออกมากางพลางเอ่ยตอบ นี่เป็นหนึ่งในสองกิจกรรมที่อีอูยอนมักทำเวลาที่ต้องรอนานๆ ในรถ
‘ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ได้’
หัวหน้าทีมชาเอ่ยถามอย่างอ่อนหวานและนุ่มนวลที่สุด เขาอดกลั้นความอยากเอ่ยถามว่า ‘กะอีแค่โดนัท จะที่ไหนก็ไม่ต่างกันมากนักหรอกโว้ย ทำไมจะต้องรออยู่ข้างถนนถึงสองชั่วโมงด้วย’
‘เขาบอกว่าอยากกินโดนัทแบบอเมริกันครับ ของที่อยากกินก็ต้องได้กินสิ’
‘…’
ลักษณะการพูดนั้นเหมือนกับสามีที่มีภรรยาแพ้ท้องอยากจะกินราสเบอร์รี่กลางฤดูหนาว สุดท้ายวันนั้นพวกเขาต้องรอที่หน้าร้านถึงสองชั่วโมงเพื่อซื้อ ‘โดนัทเหี้ยๆ ที่ไม่ได้หุ้มทอง’ ที่อีอูยอนว่า