“เพราะว่าเป็นห้องหนังสือของท่านโหว จะเดินไปไหนตามอำเภอใจไม่ได้ จึงต้องเชิญท่านโหวและฮูหยินมาที่ห้องรับแขก” จูอานผิงโค้งคำนับสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด “ท่านโหวและฮูหยินอย่าได้ถือสาขอรับ” จากนั้นก็โค้งคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงมองไปที่ชีเหนียงที่ใบหน้ายิ้มแย้ม นางจึงยิ้มอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ย่อเข่าคำนับกลับ
สวีลิ่งอี๋สะบัดมือ “คุณชายจูไม่ต้องพิธีรีตองหรอก” จากนั้นก็ชี้ไปที่เก้าอี้ไท่ซือข้างหลัง “ทุกคนนั่งลงคุยกันก่อนเถิด”
“ท่านโหวเรียกข้าว่าอานผิงเถิด” จูอานผิงยิ้มแล้วนั่งลง “ตามอายุแล้ว ท่านโตกว่าข้า”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างแผ่วเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ” พูดจบเขาก็นั่งลง
ชีเหนียงที่เดิมทีก้มหน้าก้มตานั่งอยู่ข้างล่างจูอานผิง เห็นเช่นนี้ก็เบะปากใส่สืออีเหนียงที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ
สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องที่นางบอกว่าจะเรียกสวีลิ่งอี๋ว่าน้องเขย…แต่หากจูอานผิงเรียกเขาว่าน้องเขยจริงๆ ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋จะมีสีหน้าเช่นไร
คิดเช่นนี้ สายตาของนางก็เป็นประกายราวกับดอกไม้ไฟที่งดงาม ในความเป็นประกายนั้นมีความขบขันแฝงไว้อยู่ แต่ก็กลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะสังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเอง จึงรีบเม้มปากแล้วก้มหน้าลงจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เป็นระเบียบ เมื่อสาวใช้ยกน้ำชาและของว่างเข้ามา นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วนั่งตัวตรง
เยี่ยนหรงพาสาวใช้ในห้องออกไปหมดแล้ว จูอานผิงกล่าวขอบคุณสวีลิ่งอี๋ “…ขอบคุณท่านโหวที่คอยดูแล ถึงได้มาถึงเยี่ยนจิงได้อย่างราบรื่น ต่อมาก็ได้รับความเมตตาจากฮูหยิน ข้าขอขอบคุณจริงๆ”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้ว
สืออีเหนียงเห็นว่ามันตลก แต่สวีลิ่งอี๋กลับสังเกตไม่เห็น หนึ่งคือชีเหนียงคือพี่หญิง เขาจะเสียมารยาทไม่ได้ สองคือเขากำลังพูดคุยกับจูอานผิง
“ทุกคนล้วนแต่เป็นญาติกัน ไม่ต้องพูดเช่นนี้”
“ข้าหัวโบราณเองขอรับ!” จูอานผิงยิ้มแล้วตอบกลับ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “จะว่าไปแล้ว ท่านโหวและฮูหยินก็ไม่ใช่คนนอก เรื่องบางเรื่อง เราก็ไม่อยากปิดบังพวกท่าน มันคงจะทำให้เราห่างเหินกันเกินไป” พูดถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบมองไปยังชีเหนียง
ชีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
ดูออกว่า เรื่องที่จูอานผิงจะพูดคือเรื่องที่พวกเขาสองคนได้ปรึกษากันไว้แล้ว
“…ข้าเป็นลูกคนเดียวของตระกูล เราแต่งงานกันมาได้สักระยะแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ผู้ใหญ่ที่บ้านก็รีบร้อน ครั้งนี้มาที่เยี่ยนจิง จึงอยากถือโอกาสไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่วัด หาหมอที่มีชื่อเสียงมาช่วยจับชีพจร”
สืออีเหนียงพยักหน้า
“แต่ว่าข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับเยี่ยนจิง” จูอานผิงพูดแล้วลุกขึ้นยืน โค้งคำนับสืออีเหนียง “รบกวนฮูหยินช่วยแนะนำหน่อยเถิด”
หากรับปาก ช่วงนี้สืออีเหนียงคงจะต้องออกจวนบ่อยๆ แต่ยังมีเรื่องแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ และการพบปะกับสกุลเจียง
สืออีเหนียงคำนับกลับ แล้วมองไปที่สวีลิ่งอี๋
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พูดขึ้นว่า “เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของนาง อานผิงไม่ต้องเกรงใจ แต่แค่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าวางแผนไว้เช่นไร ถึงตอนนั้นข้าจะได้เตรียมรถม้าและผู้คุ้มกัน”
จูอานผิงได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ
เขาเกิดมาจากกองทัพอยู่แล้ว มีสหายมากมาย รู้จักขุนนางแม่ทัพไม่น้อย ผู้บัญชาการและหัวหน้าแม่ทัพก็เคยรู้จัก เขารู้นิสัยคนเหล่านั้นดี หากไม่พอใจกันแล้ว เผา ฆ่า ปล้น เรื่องพวกนี้ทำได้ชำนาญยิ่งกว่าโจรเสียอีก รับเงินแต่ไม่ยอมทำงาน ก็ต้องถูกฆ่าปิดปากอย่างโหดเหี้ยม ยิ่งไปกว่านั้น สวีลิ่งอี๋คือแม่ทัพที่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินชีเหนียงเล่าว่านางเจอกับสวีลิ่งอี๋เช่นไร ก็ทั้งตกใจและดีใจ ตกใจก็คือชีเหนียงทำอะไรบุ่มบ่าม มีเงินมากมายแล้วยังเย่อหยิ่งไปทั่ว เจอกับขุนนางทหารยังกล้าพูดจายั่วยุ ดีใจก็คือนางเจอกับสวีลิ่งอี๋ อย่างน้อยเขาก็แค่ให้คนนำเงินมาซื้อม้า ถึงแม้ว่าชีเหนียงจะได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย แต่เพราะเช่นนี้ถึงได้รู้จักกันแล้วมีคนคอยดูแลตลอดทาง ไม่เช่นนั้น เกรงว่า ชีเหนียงเดินทางออกไปไม่ถึงร้อยลี้ก็คงจะมีคนจับตามอง เสียเงินเป็นเรื่องเล็ก แต่หากมีใคร…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็เหงื่อตกทันที
แต่ชีเหนียงกลับเล่าให้ตนฟังอย่างภาคภูมิใจว่านางหยาบคายกับสวีลิ่งอี๋เช่นไรบ้าง สวีลิ่งอี๋ต้องเอือมระอากับนางเช่นไร…ตอนนั้นตนทั้งโมโหทั้งตลก
หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเป็นญาติ สวีลิ่งอี๋จะยอมทนนางได้อย่างไร
ความคิดนี้วาบขึ้นมา จู่ๆ เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นญาติกัน แต่สวีลิ่งอี๋ก็ไม่จำเป็นต้องประนีประนอมขนาดนี้ เขาสามารถทิ้งชีเหนียงไว้ที่ตรอกกงเสียนหรือว่าตรอกเหล่าจวินถังก็ได้ แต่เขาไม่เพียงแต่ไม่ทิ้งชีเหนียงไว้ แล้วยังอดทนกับชีเหนียง ส่งนางมาถึงจวนหย่งผิงโหวตามที่นางบอก…ด้วยสถานะและตำแหน่งของเขา หรือเขายังจะกลัวว่าสกุลหลัวและสกุลจูจะว่าเขาเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นก็มีแค่เหตุผลเดียว สวีลิ่งอี๋ หย่งผิงโหวให้ความสำคัญกับฮูหยินของตัวเองเป็นอย่างมาก กังวลว่าชีเหนียงที่เย่อหยิ่งจะไม่พอใจแล้วพูดจาเหลวไหลต่อหน้าฮูหยินของตัวเอง ทำให้ฮูหยินรู้สึกแย่ ทำให้สามีภรรยาต้องแตกร้าวกัน!
หลังจากที่เขาได้เจอกับสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋มีมารยาทต่อตนเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่มาเจอที่ห้องหนังสือ แล้วยังมาต้อนรับด้วยตัวเอง ตอนที่ดื่มสุรา เขาก็เอาแต่พูดเกลี้ยกล่อมตน แล้วเช้าวันนี้ก็ยังให้พวกตนสามีภรรยามาเจอกันอีก…
จูอานผิงคิดว่าการคาดเดาของตัวเองสมเหตุสมผล เมื่อครู่ถึงได้ลองพูดเช่นนั้น
ไม่ได้ส่งผู้ดูแลมารับใช้พวกเขา แต่กลับเตรียมรถม้าและผู้คุ้มกันของสกุลสวีให้พวกเขา ในอีกแง่มุมหนึ่ง สวีลิ่งอี๋ไม่เพียงแต่เห็นว่าพวกเขาเป็นญาติ แต่ยังเห็นเป็นแขกคนสำคัญ
เขาระงับความดีใจในใจเอาไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “จะกล้าใช้รถม้าและคนคุ้มกันของท่านโหวได้เช่นไรขอรับ ท่านโหวส่งผู้ดูแลมาให้เราก็พอแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทีที่เป็นมิตร “เราก็แค่ไปเดินเล่นที่วัด”
“เจ้าไม่คุ้นเคยกับเยี่ยนจิง ภรรยาของข้าก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน” สวีลิ่งอี๋พูด “ใช้รถม้าและคนคุ้มกันสะดวกกว่า”
เขาพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว
จูอานผิงก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป ยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็เล่าแผนการที่ตัวเองคิดไว้ “…ยังไม่รู้จักน้องชายภรรยาคนอื่นๆ เลยขอรับ พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมพวกเขา ตอนที่พี่เขยสิบเสียชีวิตข้าก็มอบเครื่องสังเวย แต่ยังไม่ได้บูชา จึงต้องไปเยี่ยมพวกเขา คิดดูแล้วคงต้องใช้เวลาสามถึงห้าวัน ต่อจากนั้นค่อยให้ฮูหยินเป็นคนจัดการ”
สวีลิ่งอี๋มองไปที่สืออีเหนียง ถามความคิดเห็นของนาง
“ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ” สืออีเหนียงยิ้ม “พวกท่านไปเยี่ยมญาติๆ ข้าคงจะไม่ไปด้วย ถือโอกาสนี้ ข้าจะติดต่อหมอหลวงมาให้พวกท่าน รอให้พวกท่านจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะได้ให้หมอหลวงตรวจดูอย่างสบายใจ”
จูอานผิงพยักหน้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็รบกวนฮูหยินแล้ว”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าจูอานผิงเกรงใจตัวเองมากเกินไปแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาพึ่งเคยเจอกันครั้งแรก ยังไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าไร นางจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พูดว่า “เช่นนั้นก็ทำความสะอาดเรือนฉงเซียงที่ลานข้างนอก เดินออกไปจากเรือนฉงเซียงก็คือประตูเตี้ย พวกเจ้าจะได้ไปไหนมาไหนได้สะดวก”
จูอานผิงได้ยินแล้วก็กระแอมเบาๆ แล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านโหวขอรับ ข้ากำลังจะพูดเรื่องนี้อยู่พอดี” จากนั้นเขาก็หยุดพูดแล้วมองไปที่ชีเหนียง “ในเมื่อมาแล้ว เกรงว่าเราคงจะอยู่ที่เยี่ยนจิงต่ออีกสักระยะ ถึงตอนนั้นจะเชิญหมอหลวงหรือซื้อยาก็ไม่สะดวก อยากจะขอให้ท่านช่วยหาเรือนหลังเล็กบริเวณใกล้ๆ ให้เราสักหนึ่งหลัง หนึ่งคือเราจะได้มีที่พึ่งพา มีเรื่องอันใดก็ไปมาหาสู่กันสะดวก สองคือเราอยู่ใกล้กัน พวกนางสองพี่น้องก็จะได้ไปมาหาสู่กัน จะได้ครึกครื้น”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า
ในสมัยโบราณมีธรรมเนียม คนที่กำลังทานยาอยู่ไม่ควรไปที่บ้านของคนอื่น จะถูกรังเกียจว่าเป็นคนป่วย
“ประเดี๋ยวข้าบอกให้ผู้ดูแลไปช่วยดู” สวีลิ่งอี๋ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ไม่อยากรั้งไว้ “ตอนนี้พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ให้สบายใจก่อนเถิด”
จูอานผิงยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็บอกว่าจะไปขอคารวะไท่ฮูหยิน
ทุกคนยิ้มแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
จูอานผิง มอบหยกหยางจืออวี้และลูกปัดไม้จันทน์ให้แก่ไท่ฮูหยิน มอบจานฝนหมึกตวนเอี้ยนให้สวีซื่ออวี้ มอบที่ทับกระดาษหินสุ่ยจิงให้จุนเกอ มอบตุ๊กตาล้มลุกไม้จื่อถานให้สวีซื่อเจี้ย มอบหวีไม้ของฉังโจวให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ มอบกล่องพร้อมถาดให้สวีลิ่งควน มอบหยกจินเซียงแกะสลักลายดอกไม้ให้ฮูหยินห้า และมอบกลองป๋องแป๋งสีแดงให้ซินเจี่ยเอ๋อร์
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็ชอบใจเป็นอย่างมาก บอกให้สวีลิ่งอี๋ต้อนรับจูอานผิง สวีลิ่งควนพึ่งไปเฝ้ายามที่พระราชวังเมื่อคืนกลับมา เห็นกล่องนั้น ข้างล่างลงไปสองนิ้วมีรอยแตก ถาดก็หักที่ปลาย มันคือกรงเลี้ยงตั๊กแตนที่ดี ก็รู้ว่าเจอกับคนที่มีความรู้และน่าสนใจ จึงรีบไปเอ่ยปากขอบคุณ จากนั้นก็ไปที่ลานข้างนอกด้วยกัน
ไท่ฮูหยินบอกให้ชีเหนียงอยู่ทานข้าวด้วยหัน ฮูหยินห้าก็มานั่งด้วย
สืออีเหนียงพาเยี่ยนหรงนำป้ายคู่ไปบอกพ่อบ้านไป๋ลานข้างนอกให้ส่งคนไปทำความสะอาดเรือนฉงเซียง กลับมาก็เห็นชีเหนียงและฮูหยินห้านั่งข้างกัน ชีเหนียงกำลังออกความคิดเห็นให้ฮูหยินห้า “…ข้าเห็นว่าสถานการณ์คล้ายๆ กับซินเจี่ยเอ๋อร์ ประเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปถาม”
ฮูหยินห้าทำท่าทีดีอกดีใจ รีบพูด “ไปๆ มาๆ ใช้เวลากว่าครึ่งเดือน ไม่สู้พาคนมาด้วย ดูได้ก็ดู ดูไม่ได้ก็ไม่ต้องดู ให้เงินนาง นางก็ไม่ได้มาเสียเที่ยว”
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” ชีเหนียงยิ้ม “แต่กลัวว่าฮูหยินห้าจะคิดว่ามันบุ่มบ่าม ข้าจึงไม่กล้าพูดออกมา”
“ไอ๊หยา ไม่กล้าพูดอะไรกัน!” ฮูหยินห้ายิ้ม “เจ้าหวังดี!” จากนั้นก็พูดอย่างเป็นกันเอง “หากเจ้าอยากไปเดินเล่นที่วัด เช่นนั้นก็ต้องไปวัดฉือหยวน ที่นั่นคือสำนักของพระโพธิสัตว์กวนอิม ตอนที่ข้าแต่งเข้ามาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสองสามปี ไปขอร้องไต้ซือจี้หนิง แต่ว่า ข้าได้ยินมาว่านักพรตฉังชุนก็เก่งเหมือนกัน แต่ข้าไม่ได้นับถือลัทธิเต๋า คำสอนของเขามีมากมาย แต่ข้าไม่เคยลอง เจ้าไม่สู้ไปหาไต้ซือจี้หนิงที่วัดฉือหยวนก่อน หากไม่ได้ ก็ค่อยไปหานักพรตฉังชุนก็ไม่สาย”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “น้องหญิงสิบเอ็ดของข้าตั้งแต่เด็กก็ไม่ค่อยชอบออกไปไหน ตอนเด็กก็อยู่ที่ฝูเจี้ยนกับท่านลุงใหญ่ ต่อมาก็กลับไปไว้ทุกข์ที่อวี๋หัง เกรงว่าคงจะคุ้นเคยกับเยี่ยนจิงน้อยกว่าข้าเสียอีก ข้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงของไต้ซือจี้หนิงและนักพรตฉังชุน แล้วยังเคยไปเดินเล่นที่วัดฉือหยวนกับท่านแม่ แต่แค่ไม่เคยได้ยินว่าไต้ซือจี้หนิงเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ฮูหยินห้าหัวเราะคิกคัก “ตอนนั้นเจ้าอยู่แต่ในเรือนจะรู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร ตอนที่ข้ายังไม่ได้แต่งงาน ข้าก็ยังไม่เคยเห็นนักพรตฉังชุนจับผี เรื่องพวกนี้ก็พึ่งมารู้หลังจากที่แต่งงานแล้ว”
พวกนางสองคนพูดคุยถูกคอกันอย่างมาก
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแตะหน้าผากตัวเอง แต่ก็เอ่ยห้ามไม่ได้ ได้แต่ภาวนาในใจว่า พวกนางสองคนอยู่ด้วยกันอย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเลย! โดยเฉพาะซินเจี่ยเอ๋อร์ อย่าทำให้เจตนาดีกลายเป็นเรื่องเลวร้ายเลย