อะไรน่ะ ของนั่น แหวนใช่ไหม ทำไมถึงใส่แหวนไว้ที่สร้อยคอล่ะ… …ดูๆ ไปแล้วก็รู้สึกว่าอีอูยอนเองก็สวมแหวนวงใหม่ที่ปรับให้ถูกขนาดแล้ว และคล้ายๆ กับแหวนวงนั้นไว้ที่นิ้วเหมือนกะ…
อินซอบตกใจเพราะกลัวว่าใครจะเห็น และซ่อนแหวนไว้ในเสื้ออีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดของเขาแดงซ่านจนน่าสงสาร นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาถูกเปรียบเทียบเป็นอย่างมากกับใครบางคนที่สวนแหวนไปไหนมาไหนอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่คิดที่จะซ่อนเรื่องที่มีคนรักเลย
ดูเหมือนจะเป็นแหวนคู่สินะ เพราะอย่างนั้นช่วงสองสามวันมานี้ไอ้เจ้าอีอูยอนถึงได้ดูอารมณ์ดีจนน่าขนลุกเหรอ
หัวหน้าทีมชาคิดอย่างไม่สนใจอะไร และจงใจเปลี่ยนเรื่องพูด
“ช่วงนี้ที่มหา’ลัยเป็นยังไงบ้าง”
“อ้อ เรื่องมหา’ลัย กะ ก็เป็นไปได้ด้วยดีครับ”
อินซอบลูบชายเสื้อเชิ้ตพลางเอ่ยตอบ
โธ่เอ๋ย เจ้าเด็กนี่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสดงออกมากกว่านี้สิ
หัวหน้าทีมชาไม่สามารถห้ามความรู้สึกสงสารไว้ได้และพูดต่อ
“มีเพื่อนบ้างไหม”
“ก็…มีนิดหน่อยครับ เป็นพวกน้องๆ ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันที่มหา’ลัยน่ะครับ”
อินซอบเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ถ้าไปไหนมาไหนด้วยกันที่มหา’ลัยก็คือเพื่อนสิ แล้วก็เป็นเพื่อนที่ไปดื่มเหล้าและเที่ยวเล่นด้วยกันด้วย”
หัวหน้าทีมชาติดใจกับคำพูดที่ว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากอีอูยอนที่เกาหลี เขายิ้มกว้างพลางตบไหล่อินซอบ อินซอบหลุบตามองด้านล่างและยิ้มด้วยความโล่งใจ
“ว่าแต่ช่วงนี้นายดูสุขภาพดีขึ้นนะ เหมือนแก้มจะเยอะขึ้นด้วย”
“อ้อ อย่างนั้นเหรอครับ”
อินซอบลูบแก้มของตัวราวกับเขินอาย
“มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ ใบหน้าดูสดใสมากเลยนะ”
นี่ก็เป็นคำพูดที่พูดด้วยบริบทที่คล้ายกับการพูดเรื่องมหาวิทยาลัยด้วยเหมือนกัน มันเป็นแค่การพูดที่ไม่ได้สำคัญอะไร และเป็นเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาพูดเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้นเท่านั้น
แต่…
“ครับ”
พอคำตอบแบบนั้นถูกส่งกลับมา หัวหน้าทีมชาก็ถามซ้ำว่า “หา?” อินซอบหน้าแดงทันทีเพราะเป็นคำตอบที่ตอบออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“เอ่อ…คือว่า…”
อินซอบพูดตะกุกตะกักอย่างหนัก และสีหน้าก็ตื่นตระหนกกว่าตอนที่ถามเกี่ยวกับการไปเที่ยวอเมริกาหลายเท่า
“เพราะมีเรื่องที่ดีเป็นพิเศษ…ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น…”
การพูดวกไปวนมาของอินซอบหยุดลงอย่างกะทันหัน เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในกองถ่าย และเสียงอุทานด้วยความประทับใจที่ถูกกดเอาไว้ก็ดังอยู่รอบๆ เป้าสายตาที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจของทุกคนคืออีอูยอน
อีอูยอนใช้มือข้างขวาเท้าคางและหลับตาลงครึ่งหนึ่ง แม้จะสวมเครื่องประดับที่มีเพชรหรูหราฝังอยู่ แต่ความงามของชายหนุ่มที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัวก็ยังเด่นชัด ดูเหมือนเขาจะรู้เหตุผลที่ช่างภาพบอกว่าการถ่ายทำวันนี้จะเป็นภาพขาวดำแล้ว สร้อยข้อมือที่สวมไว้ที่ข้อมือกับแหวนที่สวมไว้ที่นิ้วที่มีข้อหนา แม้จะเป็นท่าทางที่ทำให้เห็นเครื่องประดับได้อย่างชัดเจน แต่สายตาทุกคู่ก็พุ่งไปที่อีอูยอน
ว้าว ไอ้คนหล่อจนน่าขยะแขยง
หัวหน้าทีมชาที่กลั้นคำด่าไว้ในใจหันหน้ามาเพื่อพูดกับอินซอบ
“…”
สายตาของอินซอบกำลังมองไปทางอีอูยอน ไม่สิ แค่คำว่า ‘มองไปทาง’ ยังไม่พอด้วยซ้ำ สายตาของเขาโดนอีอูยอนขโมยไปต่างหาก ในดวงตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยอีอูยอน อินซอบใช้นิ้วลูบแหวนที่สวมไว้ที่คออย่างไม่รู้ตัว
หัวหน้าทีมชารับรู้ถึงความรู้สึกที่อยู่ในดวงตาที่มีความเขินอายเจืออยู่ทันที ไม่จำเป็นต้องฟังคำตอบก็รู้ว่าเรื่องดีๆ นั่นคืออะไร ต้องเป็นเรื่องดีๆ กับหมอนั่นอย่างแน่นอน
…จนถึงตอนนี้ก็ยังมีความสุขขนาดนั้นอยู่เหรอ
หัวหน้าทีมชากระแอมพลางหันหน้าไป เขารู้สึกเหมือนตัวเองใช้กำลังเข้าไปในสวนดอกไม้ของบ้านคนอื่นที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง
“คุณอินซอบ ฉันขอตัวก่อนนะ”
“ครับ? จะไปแล้วเหรอครับ”
“อื้อ พอดีเป็นเรื่องด่วนน่ะ ต้องไปแล้ว”
เขาไม่ได้ไม่มีเซ้นส์พอที่จะอยู่ตรงกลางระหว่างการคบหากันของคนอื่นที่เต็มไปด้วยกลิ่นดอกไม้
“กลับดีๆ นะครับ แล้วคราวหน้าผมจะติดต่อไปหาครับ”
อินซอบเอ่ยลาอย่างมีมารยาท
“ได้ๆ ไว้เจอกันนะ”
หัวหน้าทีมชายิ้มพลางโบกมือ เขาเดินไปสักพักแล้วหันกลับไปมองอีกครั้ง เมื่อสบตากัน อินซอบก็ค้อมศีรษะให้อีกครั้ง ขณะที่หัวหน้าทีมชาทำมือบอกให้อีกฝ่ายหันกลับไป ส่วนตัวเองก็หันกลับมา อีอูยอนที่กำลังจ้องเขม็งมาทางนี้ก็เข้ามาในครรลองสายตาพอดี
…ฉันล่ะเกลียดแกจริงๆ
หัวหน้าทีมชาเดินออกมาจากกองถ่าย เขาไม่มีแม้กระทั่งความจำเป็นที่จะหันกลับไปมอง
***
[อยู่ไหน]
เขาได้รับข้อความจากกรรมการผู้จัดการคิมหลังจากนั้นไม่กี่วัน
ดูเหมือนว่าวันนี้ไม่เหมาะที่จะกลับบ้านสินะ
หัวหน้าทีมชาจิ๊ปากอย่างไม่ชอบใจพลางขมวดคิ้ว
[จะอยู่ไหนล่ะ ก็อยู่ที่บริษัทน่ะสิ]
พอส่งข้อความตอบกลับไปก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาทันที
[ฮยอนคยยยู]
“มีอะไรอีกล่ะครับ”
[ฟังที่ฉันจะพูดหน่อย นะ?]
บทพูดที่ว่า ‘ฟังที่ฉันจะพูดหน่อย’ มักจะเริ่มด้วยอีอูยอนและจบลงด้วยอีอูยอนเสมอ
[เรื่องไอ้อีอูยอนน่ะ]
“เพิ่งรู้ตอนนี้เหรอครับว่าไอ้หมอนั่นมันเฮงซวย ใครบอกให้คุณต่อสัญญากันเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมเริ่มกรีดร้องด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความแค้นเพราะปฏิกิริยาที่หยาบคายของหัวหน้าทีมชา
[ต่อให้เป็นไอ้เฮงซวยนั่นยังไงก็ยังมีขอบเขตนะ ฉันทำดีกับเจ้านั่นมากแท้ๆ แต่เขาทำแบบนั้นกับฉันได้ยังไง!]
หัวหน้าทีมชาเอาโทรศัพท์ออกจากหูครู่หนึ่ง และใช้นิ้วแคะหู หลังจากรออยู่อย่างนั้นสักพัก เขาก็เริ่มคุยโทรศัพท์ใหม่ด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“กรรมการผู้จัดการอยู่ที่ไหนครับ”
[บ้าน]
“ให้ไปที่บ้านเหรอ”
[อื้อ]
“จะให้ซื้ออะไรเข้าไปไหมครับ ซื้อแค่โซจูพอไหมครับ”
[…ซื้อมาแค่สี่ขวดพอ ฉันมีเบียร์อยู่แล้ว]
“กับแกล้มล่ะ?”
[อะไรก็ได้]
“ผมจะซื้อตีนไก่ไปครับ”
แถวบริษัทมีร้านขายตีนไก่ที่กรรมการผู้จัดการคิมชอบอยู่ กรรมการผู้จัดการคิมตอบรับด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ว่า “เออ” หัวหน้าทีมชาห่อตีนไก่กับไก่ย่างเสียบไม้ในปริมาณที่พอกินและไปที่บ้านของกรรมการผู้จัดการคิม พอเขานั่งลง กรรมการผู้จัดการคิมก็เริ่มบ่นอย่างจริงจัง
“ฉันน่ะทำดีกับไอ้คนเฮงซวยอีอูยอนนั่นมากเลยนะ แต่มันไม่รู้จักบุญคุณเลย ถ้าเก็บหมามาเลี้ยง มันยังจำเจ้าของตัวเองได้เลย ถึงฉันไม่คิดจะเป็นเจ้าของไอ้คนเฮงซวยนั่นเด็ดขาดก็เถอะ แต่ยังไงก็ตาม ไอ้เจ้าอีอูยอนมันทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!”
หัวหน้าทีมชาดื่มเหล้าพลางตอบรับอย่างส่งๆ ว่า “ครับ ครับ ใช่ครับ”
ทำได้ยังไงอะไรล่ะ ก็เขาเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วน่ะสิ
อีอูยอนปฏิบัติกับทุกคนยกเว้นอินซอบอย่างเท่าเทียม เขาทำแบบนั้นกับทุกคน และจะเป็นคนแบบนั้นต่อไปในอนาคตด้วย
“แต่งงานงั้นเหรอ? แต่งงาน! บ้าไปแล้วหรือไง ตอนนี้ยังอยู่ในยุคทองแท้ๆ จะมาแต่งงานอะไรล่ะ ไม่สิ เขาจัดงานสำคัญในชีวิตแบบนั้นโดยไม่พูดอะไรเลยได้ยังไง ฉันถามว่าเขาจัดงานแบบนั้นโดยไม่มีแม้แต่คำพูดสั้นๆ ให้กรรมการผู้จัดการของต้นสังกัดได้ยังไง!”
“ครับ? แต่งงานเหรอครับ หมายความว่ายังไงครับ”
หัวหน้าทีมชาถามซ้ำตาโต
“อีอูยอนมันบอกว่าแต่งงานกับชเวอินซอบแล้วน่ะสิ! ที่อเมริกา!”
“จริงเหรอครับ แต่งจริงๆ เหรอครับ”
“ก็จริงน่ะสิ! คิดว่าแต่งปลอมๆ เหรอ! โธ่เว้ย”
“ไม่สิ ผู้ชายด้วยกันจะแต่งงานกันได้ยังไง…”
“ก็พวกเขาเป็นคนอเมริกาไงล่ะ!”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ยกโซจูทั้งขวดขึ้นซดกัดฟันพลางพูดต่อ
“คงนึกว่าฉันจะอยู่เฉยๆ! ถ้าคิดอย่างนั้นละก็ ผิดมหันต์เลย ฉันเป็นคนน่ากลัวมากนะ”
“…คุณจะทำอะไรเหรอครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมยกตกตีนไก่ขึ้นมาแทะเสียงดังพลางยิ้มเย็น
“หมอนั่นบอกว่าจะถ่ายละครอีกแค่สิบเรื่อง”
“ครับ?”
“เขาบอกว่าจะถ่ายละครอีกแค่สิบเรื่องก่อนจะออกจากวงการและกลับไปที่อเมริกา เขาบอกว่าสัญญากับอินซอบไว้แบบนั้นน่ะ ไหนลองดูสิ ฉันน่าจะให้เขาถ่ายละครทั้งสิบเรื่องนั้นช้าที่สุด ช้ามากๆ จะต้องถ่ายละครแค่หนึ่งเรื่องต่อปี ไม่สิ ต้องถ่ายหนึ่งเรื่องต่อสองปี ถ้าทำให้ฉันหงุดหงิดก็สามารถถ่ายแค่เรื่องเดียวต่อสามปีได้! ลองดูสิ!”
เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ทำสัญญากับอีอูยอนได้อย่างน้อยที่สุดยี่สิบปี…โอ๊ย ไอ้สารเลวนี่…
“หนึ่งเรื่องต่อปีบ้าอะไรล่ะ! เล่นสามเรื่องต่อปีไปเลย! ไม่สิ เล่นสี่เรื่องต่อปี แล้วก็ไล่เขาออกไปตอนนี้เลยครับ!”
หัวหน้าทีมชาทนไม่ไหวอีกต่อไปและตะโกนออกมา
“ไม่เอา! ไม่ได้! ไม่ทำ! ฉันไม่ทำแบบนั้นแน่! ใครบอกว่าอยากจะทำ!”
กรรมการผู้จัดการคิมเทโซจูพรวดๆ ใส่แก้วก่อนจะดื่มเข้าไปรวดเดียว จากนั้นก็ถลึงตา
“ไอ้คนอกตัญญูที่ไม่เชิญฉันไปงานแต่ง ไม่สิ ไอ้คนไม่มีน้ำใจ ฉันน่าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กิน ฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วเชียว!”
“…”
สุดท้ายเพราะไม่ได้รับเชิญในงานแต่งงานของอีอูยอนเลยทำเป็นบ้าเป็นบออยู่ตอนนี้…
“ไอ้พวกคนชั่ว มันเป็นโมฆะ งานแต่งงานที่แต่งกันสองคนโดยไม่มีพยานเรียกว่าเป็นโมฆะ! มีงานแต่งงานแบบนั้นที่ไหนล่ะ!”
ดูเหมือนตอนที่ไปอเมริกาคราวนี้ทั้งสองคนจะจัดพิธีกันอย่างเรียบง่าย แหวนก็ด้วย…ใช่แล้ว เป็นแบบนั้นเองสินะ
“ถ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมขนาดนั้น สุดสัปดาห์นี้ก็จองสถานที่ที่แพงที่สุดในชองดัม แล้วกรรมการผู้จัดก็จัดงานแต่งงานให้เลยไหมล่ะครับ ไม่เลวเลยนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ยกโซจูทั้งขวดขึ้นมาดื่มถลึงตา เพราะการเหน็บแนบที่มีจิตใจชั่วร้ายปนอยู่ของหัวหน้าทีมชา
“ว่าไงนะ? บ้าไปแล้วเหรอ? ถ้ามีข่าวลือออกไป เขาจะถูกคว่ำบาตรในวงการนี้นะ จะให้อีอูยอนลาออกจากการเป็นนักแสดงเหรอ”
“ถ้าลาออกแล้วจะเป็นยังไงเหรอครับ พูดกันตรงๆ กรรมการผู้จัดการเองก็หาเงินได้เยอะพอและตั้งหลักได้แล้วด้วย ปั้นเด็กคนอื่นเอาก็ได้”
“ไม่เอา ไม่ได้ ไม่มีใครทำอย่างอีอูยอนได้แล้ว ไม่ว่าจะตั้งใจหายังไงก็ไม่มีคนที่จะทำอย่างหมอนั่นได้แล้ว! ไอ้คนเฮงซวยซังกะบ๊วย ทำไมถึงได้หล่ออย่างไม่มีเหตุผลขนาดนั้นนะ!”
ภาพการถ่ายนิตยสารที่เห็นเมื่อไม่กี่วันก่อนผ่านเข้ามาในหัวของหัวหน้าทีมชา ภาพของอินซอบที่จ้องมองสิ่งนั้นก็ด้วย
“…ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เลยนะครับ”
“ไม่รู้ๆ ไอ้สัตว์หัวดำ เก็บมาเลี้ยงอย่างเปล่าประโยชน์แท้ๆ…ให้ตายเถอะ”
กรรมการผู้จัดการคิมน้ำตาคลอพลางดื่มโซจูอีกครั้ง หัวหน้าทีมชาช่วยตบหลังกรรมการผู้จัดการคิมพลางพูดว่า “งั้นตอนนี้ก็ปล่อยสัตว์ตัวนั้นไปดีไหมครับ” และยิ้มอย่างมีเมตตา
“ไม่เอา! ใครบอกว่าจะทำ! ไอ้เจ้าคนที่แย่ซะยิ่งกว่าสัตว์! แถมยังไม่รู้จักบุญคุณอีก!”
กรรมการผู้จัดการคิมชกอกตัวเองพลางคร่ำครวญราวกับเจ็บใจ สรุปแล้วนี่ก็เป็นแค่การกระทำที่ขาดสติในเวลาที่ดื่มเหล้าเท่านั้น
หัวหน้าทีมชาทำสมองและหัวใจให้ว่างเปล่าก่อนจะรินเหล้าใส่แก้วที่วางอยู่ตรงหน้า กรรมการผู้จัดการคิมสงสารอินซอบที่แต่งงานกับสัตว์หัวดำที่ไม่รู้จักบุญคุณและเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ
“อินซอบที่น่าสงสาร ชีวิตคงจะพินาศย่อยยับแน่ๆ เพราะแต่งงานกับคนแบบนั้น!”
“หย่าได้ครับ”
“คนบ้าแบบนั้นจะหย่าให้เหรอ”
“…นั่นสินะครับ”
“อินซอบที่น่าสงสาร ไอ้หนูที่น่าสงสาร”
หัวหน้าทีมชานึกถึงภาพของอีอูยอนที่ลูบแหวนราวกับเคยชินและอินซอบที่ลูบแหวนที่สวมอยู่ที่คออย่างไม่รู้ตัว
จนถึงตอนนี้ก็ยังมีความสุขขนาดนั้นอยู่จริงๆ…
“ทำยังไงดี ฉันสงสารอินซอบ ทำไมถึงได้คบกับคนแบบนั้นจนแต่งงาน…”
“หยุดสนใจเรื่องความรักของคนอื่นเถอะ เอ้า ดื่มครับ”
หัวหน้าทีมชารินเหล้าจนเต็มแก้วของกรรมการผู้จัดการคิมแทนคำพูดว่า “ชีวิตของคุณที่ยังพึ่งพาอีอูยอนอยู่น่าสงสารที่สุดแล้ว”
“การคบกันกับการแต่งงานน่ะต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะ อินซอบที่น่าสงสาร มันไม่ใช่แค่การตายแล้วไปนรกนะ!”
หัวหน้าทีมชายิ้มพลางริมเหล้าใส่แก้วเหล้าที่ว่างเปล่าของกรรมการผู้จัดการคิม ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงไม่อยากสนับสนุนการพูดซ้ำๆ ว่า ‘อินซอบที่น่าสงสาร’ เขารู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ…
‘มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ ใบหน้าดูสดใสมากเลยนะ’
‘ครับ’
ตนนึกถึงตอนที่อินซอบพยายามจะกุเรื่องราวกับว่าการไปกินข้าวด้วยกันสองคนหลังเสร็จงานไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเผลอแสดงความสุขของตัวเองออกมา
บางทีเขาคงจะมีความสุขมากจนไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกของตัวเองที่ล้นออกมาได้
หัวหน้าทีมชากลืนคำที่อยากพูดลงไปพลางกระดกแก้วเหล้า
เขาคิดถึงภาพของอินซอบที่มองอีอูยอนอย่างกระตือรือร้น
ต่อให้ยืนอยู่กลางสวนดอกไม้ก็ไม่น่าจะมีกลิ่นที่หอมหวานขนาดนั้นลอยออกมา
…แค่พวกเขามีความสุขก็พอ
หัวหน้าทีมชาดื่มเหล้าที่รินไว้เต็มแก้วจนหมดอีกครั้ง เหล้าที่ค่อยๆ กลืนลงไปหวานเป็นพิเศษ แล้วคืนนั้นก็กลายเป็นคืนที่ชายวัยกลางคนสองคนเมาจนหน้าแดง