บรรยากาศเหมือนทุกครั้ง เยี่ยนหรงยกเก้าอี้เข้ามาวางหน้าเตียงเตาริมหน้าต่าง เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงแล้วนั่งลง
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ถูกเลือกให้เป็นพระชายาขององค์ชายใหญ่ให้เหวินอี๋เหนียงฟัง
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้คิดอะไร เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ต้องเลือกสกุลจัวและสกุลหลี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ใช่” สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่คุณนายใหญ่สกุลหลินเป็นแม่สื่อให้เซ่าจ้งหรานให้นางฟัง “…ยังไม่ต้องพูดถึงคุณนายใหญ่สกุลหลิน แม้แต่ข้า ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงอยากปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่บังเอิญเจอกับเซ่าจ้งหราน เรื่องที่คุณนายใหญ่สกุลหลินมาเป็นแม่สื่ออีกครั้งให้เหวินอี๋เหนียงฟัง
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ พลันจับกระโปรงของสืออีเหนียงแน่น “เช่นนั้นจะทำอย่างไร” นางสีหน้าซีดเซียว “คุณนายใหญ่สกุลหลินคงจะไม่พูดอะไรเหลวไหลใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่หรอก” สืออีเหนียงไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้ “หากคุณนายใหญ่สกุลหลินมีความคิดเช่นนั้น ก็คงไม่มาพูดกับข้าเช่นนี้ นางแค่อยากจะเชิญแม่สื่อมาสู่ขออย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะเกิดเรื่องพัดขึ้น สถานะของเซ่าจ้งหรานก็ถือว่าเหมาะสม หากท่านโหวเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม เขาคงจะตอบตกลงการแต่งงานครั้งนี้”
เหวินอี๋เหนียงที่เป็นกังวล เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า สืออีเหนียงเฉยเมยต่ออี๋เหนียงสองสามคนมาตลอด ไม่สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่ห่างเหินกับใครเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของความน่าเคารพที่ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ ดังนั้นเมื่อตนได้ยินสืออีเหนียงพูดจากับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ต้องการอยากจะปรึกษาหารือ ก็คิดเพียงว่าสืออีเหนียงมีเรื่องที่เกี่ยวกับบัญชีให้ตนช่วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า นางแค่อยากจะพูดเรื่องเจินเจี่ยเอ๋อร์กับตนเท่านั้น
นางรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของเจินเจี่ยเอ๋อร์ และสองวันก่อนพี่สะใภ้สามส่งจดหมายมาถามเรื่องการแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ความอุ่นใจนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นท่านคิดว่า?” มองไปที่สืออีเหนียงด้วยสายตาที่ระมัดระวัง
สวีลิ่งอี๋ไม่กลับเรือนทั้งคืน ต่อมาก็เผาจดหมายที่หลินปัวนำมาให้ต่อหน้านาง ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ยังหาเวลาไปเจอกับเซ่าจ้งหราน เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับงานแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นอย่างมาก
สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
ความรักของชายหญิงราวกับน้ำดื่ม เย็นหรืออุ่นตัวเองรู้อยู่แก่ใจ คนอื่นไม่สามารถรู้สึกหรือมาแทนที่ได้ ไม่เช่นนั้น บนโลกใบนี้ก็คงจะไม่มีชายหญิงที่จมอยู่ในความรักและความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นเซ่าจ้งหราน หรือว่าหลี่จี้ ก็ล้วนแต่เป็นดอกไม้ในสายตาของทุกคน นางและสวีลิ่งอี๋คิดว่าดี แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์เล่า
นางชอบผู้ชายแบบไหนกัน
นางยินดีที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับสามีและลูกไปตลอดชีวิต? หรือว่ายินดีที่จะอดทนกับความเดียวดายแต่กลายเป็นสตรีที่อยู่เบื้องหลังบุรุษที่ประสบความสำเร็จ? ไม่มีใครรู้ และเรื่องนี้ตนก็พูดกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ หนึ่งคือเจินเจี่ยเอ๋อร์ยังเด็ก เรื่องบางเรื่องนางยังไม่เข้าใจ สองคือมันไม่เหมาะสม ตนไม่อยากทำลายความรู้และความเข้าใจที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้รับมา
“เมื่อวานท่านโหวไปเจอเซ่าจ้งหรานมา” นางพูดเบาๆ “เขาก็บอกว่าหน้าตาเหมาะสมกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเรา แต่ทำอะไรไม่หนักแน่นสุขุมเหมือนคุณชายสองสกุลหลี่ บอกให้ข้าหาเวลาไปเจอคุณชายสองสกุลหลี่”
การแต่งงานเป็นเรื่องที่ต้องเหมาะสมกัน หากไม่พอใจเรื่องสถานะและภูมิหลังของครอบครัวของฝ่ายชายก็สามารถปฏิเสธได้ เมื่อมาถึงขั้นที่ต้องเจอหน้ากัน ขั้นตอนนี้ก็คือการเลือกเด็ก แต่ว่ามันคือการเจอกันแค่ระยะเวลาสั้นๆ ปกติแล้วจึงต้องแสดงด้านที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา นอกเสียจากว่าเด็กคนนั้นจะมีข้อบกพร่องทางร่างกายหรือมีนิสัยที่ซุกซนจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะมองออก ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยเจอกับหลี่จี้ แต่นางเคยเจอกับเซ่าจ้งหราน เมื่อพิจารณาจากคำพูดของสวีลิ่งอี๋แล้ว เซ่าจ้งหรานอาจจะหน้าตาดีกว่าหลี่จี้ แต่การวางตัวต่อคนอื่นอาจจะใจเย็นไม่เท่าหลี่จี้ และสาเหตุที่สวีลิ่งอี๋ถูกใจหลี่จี้ก็เพราะความสามารถของหลี่จี้ ไม่ใช่เพราะภูมิหลังของเขา หากนางได้เจอเขา นางก็คงจะไม่สงสัยอะไรอีกกระมัง
ลูกสะใภ้ต้องเชื่อฟังแม่สามี ผู้ชายมีอนุภรรยาคือสัญลักษณ์ความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล และเป็นการแสดงว่าตัวเองนั้นมีความสามารถ ไม่เช่นนั้น ทำไมนักปราชญ์ที่ทนลำบากมาตั้งสิบปี หลังจากที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งใหญ่โตแล้ว เรื่องแรกที่พวกเขาทำก็คือรับอนุภรรยา? แต่ทำไมปัญหาของภรรยาเอกหรือปัญหาของอนุภรรยากลับไม่ใช่ปัญหาในสายตาของผู้ชาย พูดออกมามันอาจจะทำให้ผู้คนคิดว่ามันตลก แต่ การตีค่าตระกูลและภูมิหลังของครอบครัวกลับเป็นเรื่องที่ถูกยอมรับได้มากกว่า
เรื่องพวกนี้ผู้ชายไม่มีทางเข้าใจ แต่ในสายตาของผู้หญิงที่ขลุกตัวอยู่กับผู้ใหญ่ทุกวัน เรื่องนี้คือปัญหาใหญ่ หลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง
หลักการพวกนี้ แน่นอนว่าเหวินอี๋เหนียงรู้อยู่แล้ว
สีหน้าของนางสับสน
คนในสกุลสวีล้วนแต่ดูถูกเหวินอี๋เหนียง เป็นเพราะการยกย่องสกุลนักปราชญ์และดูถูกเหยียดหยามตระกูลพ่อค้าที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ในอดีต แต่สืออีเหนียงไม่มีความคิดเช่นนี้ รวมถึงช่วงนี้นางไปมาหาสู่กับเหวินอี๋เหนียงอยู่บ่อยๆ เห็นว่านางไม่เพียงแต่ฉลาดและมีไหวพริบ แล้วยังขยันขันแข็ง ตั้งใจ ซื่อสัตย์และรักษาคำพูด มีคุณสมบัติของการเป็นผู้จัดการชั้นสูง เมื่อเปรียบเทียบกับฉินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝัง สืออีเหนียงรู้สึกว่าการกระทำของเหวินอี๋เหนียงทำให้นางคุ้นเคยและเข้าใจมากกว่า
“ข้าเห็นว่าคุณชายเซ่าคนนั้นมีความสุภาพอ่อนโยนที่เป็นเอกลักษณ์ของบุตรหลานสกุลขุนนาง แล้วข้าได้ยินคุณนายใหญ่สกุลหลินพูดถึงเหตุผลที่มาสู่ขอให้สกุลเซ่า” สืออีเหนียงครุ่นคิด แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “ในเมื่อเขาสามารถมองเห็นความดีของเจินเจี่ยเอ๋อร์ผ่านเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ไม่เพียงแต่เป็นคนใส่ใจ แต่ยังมีทัศนคติที่เป็นมิตรใจกว้างต่อผู้อื่น ต้องรู้ว่า วันนั้นเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งกายเรียบง่าย แล้วยังมีเด็กผู้หญิงที่งดงามอย่างฟังเจี่ยเอ๋อร์อยู่ด้วย หากเขาเป็นคนที่ไม่ดี คงจะคิดว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังเอาใจฟังเจี่ยเอ๋อร์ ตระกูลเป็นเช่นไรก็สั่งสอนลูกหลานออกมาเช่นนั้น ข้าคิดว่าสกุลเซ่าคงจะเป็นตระกูลที่ดี ต่อมาได้ยินท่านโหวพูดถึงคุณชายสกุลหลี่ คิดว่าคุณชายสกุลหลี่ก็เป็นคนที่มีความสามารถ ข้าจึงลังเล สุภาษิตว่าเอาไว้ คนโง่เขลาสามคน หากร่วมแรงร่วมใจกันก็สามารถเอาชนะขงเบ้งได้ ข้าตัดสินใจไม่ได้ จึงมาปรึกษากับเจ้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร ก็พูดมาเถิด”
เหวินอี๋เหนียงมองไปที่สืออีเหนียง ลังเลที่จะพูด
ระหว่างพวกนางสองคน ไม่ว่าจะเป็นสถานะ ตำแหน่ง หรือว่าอำนาจล้วนแต่มีความแตกต่าง แล้วยังเป็นเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ หากนางพูดอะไรออกไปอย่างไม่คิด อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้
สืออีเหนียงค่อยๆ จิบชา รอให้นางพูด
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหวินอี๋เหนียงก็พูดขึ้นอย่างติดๆ ขัดๆ “ฮูหยิน ให้ข้า..เจอกับคุณชายทั้งสองคนก่อนได้หรือไม่”
สืออีเหนียงมองไปที่เหวินอี๋เหนียงด้วยความตกใจ
แต่สายตาของเหวินอี๋เหนียงมีความแน่วแน่
“ข้ารู้ว่าไม่ควรพูดเช่นนี้” นางพูดเบาๆ แต่กลับมีความหนักแน่นในน้ำเสียง ฟังออกว่านางได้ใคร่ครวญคิดอย่างรอบคอบแล้ว “เรื่องบางเรื่อง พูดออกมาแล้วก็ไม่กลัวว่าท่านจะหัวเราะเยาะ ตอนที่ข้าอยู่ที่สกุลเหวิน ท่านปู่ชอบข้ามากที่สุด ตอนนั้นข้ายังเด็ก มักจะอยู่กับท่านปู่ตลอด บางครั้งก็ออกไปดูร้านกับเขา แล้วยังเคยไปจวนเซวียนถงครั้งหนึ่ง ไม่กล้าบอกว่ารู้จัก แต่ข้าเคยรับคำสั่งสอนของเขา หากได้เจอกับคุณชายทั้งสองคน ข้าคงจะสบายใจขึ้นไม่น้อย”
สืออีเหนียงตกใจอีกครั้ง
อย่างนี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ!
เหวินอี๋เหนียงจะไม่รู้ได้เช่นไร
นางมองไปที่สืออีเหนียงด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมา “ทุกคนล้วนแต่บอกว่า ทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ แต่ข้าคิดว่า ไม่ว่าคนจะฉลาดและมีความสามารถมากแค่ไหนก็ล้วนมีดวงชะตา หากเลือกถูกคน ก็นับว่าคือโชคชะตาที่ดี”
สืออีเหนียงเงียบ
นึกถึงเรื่องที่เหวินอี๋เหนียงเคยเจอ
หรือนางจะบอกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับนางเช่นนั้นหรือ
“ไม่ว่าจะคุณชายเซ่าหรือว่าคุณชายหลี่ ล้วนแต่เป็นสกุลขุนนาง” เหวินอี๋เหนียงพูดอย่างอ่อนโยน “คนที่เกิดจากสกุลเช่นนี้ ตอนเด็กก็ต้องฝึกประสบการณ์ที่ค่ายทหารมาก่อน แล้วที่ค่ายก็ไม่สามารถพาคนในครอบครัวไปด้วย…นอกจากจะได้เป็นรองเจ้ากรมกลาโหมหรือว่าอาลักษณ์”
และรองเจ้ากรมกลาโหมหรือว่าอาลักษณ์ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของขุนนางนักปราชญ์ รองเจ้ากรมคือขุนนางทหาร อาลักษณ์คือเกียรติยศ
เช่นนั้นต้องรออีกกี่ปี!
แต่ทุกคนล้วนมีจุดบอดในการมองปัญหา
สืออีเหนียงตัดสินใจหาวิธีพาเหวินอี๋เหนียงไปเจอกับเซ่าจ้งหรานและหลี่จี้ทันที
นางพูดเบาๆ “แอบไปเจอคุณชายเซ่ายังพอคิดหาวิธีได้ แต่แอบไปเจอคุณชายหลี่…” จากนั้นก็นึกถึงใบหน้าของหลี่ฮูหยิน “คงจะไม่ง่าย”
เห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้ตำหนิที่นางคิดอะไรแปลกๆ แบบนี้ เหวินอี๋เหนียงก็ดีใจ แต่หลังจากนั้นก็เป็นกังวล “เช่นนั้น…เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
สืออีเหนียงก็ยังคิดไม่ออก
“ถ้าอย่างนั้นเราแอบไปเจอคุณชายเซ่าก่อน ส่วนคุณชายหลี่…ค่อยคิดอีกที”
มันคงจะดีว่าการนั่งกังวลอยู่แบบนี้
สืออีเหนียงเรียกหู่พั่วเข้ามา “เจ้าไปบอกคุณนายใหญ่สกุลหลี่ บอกว่าอยากให้คุณชายเซ่าวาดภาพดอกซ่อนกลิ่นให้ข้า พรุ่งนี้ยามบ่ายข้าจะไปรับภาพด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าเขามีเวลาหรือไม่”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป เวลาผ่านไปประมาณสองก้านธูป นางก็กลับมารายงาน “คุณนายใหญ่สกุลหลินบอกว่า ถึงตอนนั้นท่านไปรับได้เลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เหวินอี๋เหนียงจึงลุกขึ้นเอ่ยขอตัวลา
ชิวหงเห็นว่านางท่าทางดีอกดีใจ จึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับแล้วพูดเบาๆ “เมื่อครู่คุณนายสามส่งคนมาอีกแล้วเจ้าค่ะ มาถามเรื่องแต่งงานของคุณหนูใหญ่ แล้วยังบอกว่า ตอนนี้กิจการของสกุลเหวินเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เงินก็มากขึ้นเรื่อยๆ หากเรื่องแต่งงานสำเร็จ ฝั่งชายสัญญาว่าจะมอบเงินหนึ่งล้านตำลึงให้สกุลเหวินเป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่มีดอกเบี้ย เช่นนี้ เงินหนึ่งแสนแปดหมื่นตำลึงที่ติดค้างท่านอยู่ก็จะคืนให้ท่านทันทีเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็หัวเราะอย่างเย็นชา ขัดจังหวะพูดของชิวหง “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ไม่ว่าสกุลเหวินจะยากจนแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่มีทางขาดแคลนเงินหนึ่งแสนแปดหมื่นตำลึงของข้า หากพวกเขาพูดถึงแค่เรื่องแต่งงานของคุณหนูใหญ่ ข้าเกรงว่ายังจะคิดว่าพวกเขามีความจริงใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับพูดสองเรื่องนี้ด้วยกัน พวกเขาต้องการอะไร ถึงแม้ข้าจะเป็นคนตาบอดก็ยังมองออก ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีข้าเห็นว่าฮูหยินไม่ธรรมดา กลัวว่านางจะขัดขวางเรื่องแต่งงานของคุณหนูใหญ่…” พูดจบ นางก็พูดเสียงเบาลง “แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า นางเป็นคนแยกแยะออก เป็นมิตรง่าย!”
ชิวหงได้ยินนางพูดเป็นนัย นางพูดด้วยความแปลกใจ “ฮูหยินพูดอะไรกับท่านหรือเจ้าคะ”
ถึงแม้จะเห็นอกเห็นใจนาง แต่เรื่องนี้สำคัญเกินไป เหวินอี๋เหนียงจึงไม่ตอบนาง เพียงแค่พูดกับชิวหงว่า “พรุ่งนี้เจ้าอย่าลืมเขียนจดหมายไปให้คุณนายสามสกุลเหวิน บอกว่า เรื่องแต่งงานของคุณหนูใหญ่ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ บอกให้นางไปหาท่านโหวและฮูหยินแทนเถิด”
เหวินอี๋เหนียงมีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะสกุลเหวิน
ชิวหงได้ยินเช่นนี้ก็เป็นห่วง “หากคุณนายสาม…”
เหวินอี๋เหนียงโบกมือขัดจังหวะนาง “หากคุณหนูใหญ่ได้แต่งงานกับคนดี ข้ายังมีเรื่องอันใดที่ต้องร้องขอสกุลเหวินอีก สำหรับคุณนายสามสกุลเหวิน เจ้าทำตามที่ข้าบอกเถิด”
“เจ้าค่ะ” ชิวหงยิ้มหน้าบาน “เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าบ่าวจะไปรายงานคุณนายสามสกุลเหวินเจ้าค่ะ”