เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สืออีเหนียงจัดการเรื่องในเรือนเสร็จเรียบร้อย ก็เขียนจดหมายถึงกานฮูหยินขอให้นางช่วยหาหมอให้ชีเหนียง
สวีลิ่งอี๋นั้นยังไม่กลับมา สืออีเหนียงจึงไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินพึ่งกลับมาจากห้องพระ เมื่อเห็นนางมาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เคยเห็นคนดูแลเรือนคนไหนว่างเหมือนเจ้าเลย มานั่งเล่นกับข้าได้ทุกวัน!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เหล่าท่านป้าผู้ดูแลต่างก็มีความสามารถกันทั้งนั้น ย่อมไม่มีอะไรให้ข้าทำแล้วเจ้าค่ะ” ช่วยพยุงไท่ฮูหยินไปนั่งบนเก้าอี้และบอกไท่ฮูหยินเกี่ยวกับเรื่องที่จะไปสกุลหลินในช่วงบ่าย
ไท่ฮูหยินไม่ได้สนใจ เพียงแต่ถามนางว่าจะกลับมาทานข้าวเย็นหรือไม่
“ข้าจะกลับมาทานข้าวเย็นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เพียงแค่ไปเอาภาพวาดมาเท่านั้น”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ถามถึงการจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับนายหญิงเจียง
สืออีเหนียงตอบทีละคำถาม ทานข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ปรนนิบัติไท่ฮูหยินพักผ่อนแล้วค่อยกลับเรือน
กำชับสาวใช้น้อยให้ไปเชิญเหวินอี๋เหนียง ส่วนตัวเองไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องชำระ พอออกมาเหวินอี๋เหนียงก็รออยู่ในห้องแล้ว
นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมแก้วสีเงิน สวมกระโปรงผ้าไหมหังโจวสีฟ้าอ่อน ผมของนางถูกหวีอย่างเป็นระเบียบแล้วเกล้าขึ้น ปักปิ่นปักผมชุบสีทองดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเห็นสืออีเหนียงสวมเสื้อคลุมผ้าไหมแก้วสีขาวดอกบ๊วย สวมกระโปรงผ้าไหมหังโจวสีชมพูลูกท้อ มวยผมสูง ปักปิ่นหงส์สีทอง ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ปกติเวลาอยู่ที่เรือนสืออีเหนียงจะแต่งตัวเรียบง่าย นางกลัวว่าสืออีเหนียงจะแต่งตัวไปเยี่ยมญาติที่สกุลหลินเหมือนกับที่แต่งตามปกติ ดังนั้นจึงตั้งใจแต่งตัวเพื่อที่เวลายืนอยู่ข้างสืออีเหนียงจะได้ไม่ดูโดดเด่นจนเกินไป
สืออีเหนียงแค่รู้สึกว่าวันนี้เหวินอี๋เหนียงดูเรียบง่ายเป็นพิเศษ แม้แต่ต่างหูอลังการที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง วันนี้ก็เปลี่ยนเป็นต่างหูเงินเล็กๆ ธรรมดา
คงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ไปสกุลหลินกระมัง
นางครุ่นคิด
การปิดบังความโง่เขลาของตัวเองมักดีกว่าการทำให้ตัวเองโดดเด่นอย่างไร้เหตุผล
ทั้งสองคนเดินทางไปสกุลหลิน
คุณนายใหญ่สกุลหลินตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นเหวินอี๋เหนียง ต้อนรับสืออีเหนียงไปดื่มชาที่เรือนหลักอย่างเงียบๆ เหวินอี๋เหนียงยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างหลังสืออีเหนียง ท่าทางนอบน้อมเหมือนกับหู่พั่วและคนอื่นๆ
คุณนายใหญ่สกุลหลินกับเหวินอี๋เหนียงพูดคุยกันไม่กี่คำ จากนั้นเซ่าจ้งหรานก็มาถึง
สืออีเหนียงกับเหวินอี๋เหนียงมองดูเขาอยู่หลังฉากกั้น
เมื่อได้มองดูใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าเซ่าจ้งหรานนั้นสดใสและอบอุ่น
ทุกคนในสกุลเซ่าได้ย้ายมาอยู่ในจวนที่ซื้อใหม่แล้ว คุณนายใหญ่สกุลหลินเอ่ยถามเซ่าจ้งหราน “จวนใหม่อยู่สบายหรือไม่” จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ
เมื่อเซ่าจ้งหรานจากไปแล้ว นางก็ส่งภาพวาดให้สืออีเหนียง “ใช้ได้หรือไม่”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอข้านำกลับไปดูก่อน”
คุณนายใหญ่สกุลหลินไม่ได้ถามอะไรอีก นางเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนให้สืออีเหนียงฟัง จากนั้นสืออีเหนียงก็กล่าวลา
“เป็นอย่างไรบ้าง” นางถามเหวินอี๋เหนียงขณะอยู่บนรถม้า
เหวินอี๋เหนียงพึมพำ “คุณชายเซ่ามีมารยาทยิ่งนัก รู้จักการวางตัว เวลายิ้มก็ดูสดใสราวกับนกโบยบินก็ไม่ปาน ไม่เหมือนว่าปกปิดอะไรเอาไว้”
หรือจะบอกว่านางคิดว่านี่เป็นนิสัยที่แท้จริงของเขา!
“พวกเราคงออกไปไม่ได้” สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ผู้บัญชาการหลี่ไม่อยู่เรือน ต่อให้ท่านโหวออกหน้าก็ต้องมีเหตุผลที่เป็นทางการจึงจะเหมาะสม”
เหวินอี๋เหนียงรู้ว่านางกำลังพูดถึงเรื่องที่ไปพบคุณชายหลี่จึงอดปวดหัวขึ้นมาไม่ได้
ทั้งสองคนเงียบไปในชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อกลับมาถึงเรือนเหวินอี๋เหนียงก็ตามสืออีเหนียงไปที่เรือนศาลาริมน้ำ
เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังนั่งทำงานเย็บปักอยู่กับปินจวี๋ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง สีหน้าของนางสงบนิ่ง งดงามดุจไข่มุก
เมื่อเห็นสืออีเหนียงกับเหวินอี๋เหนียงเดินมาพร้อมกัน เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปคำนับ
สืออีเหนียงถามปินจวี๋ “ท่านโหวยังไม่กลับมาอีกหรือ”
“ยังเลยเจ้าค่ะ” ปินจวี๋ตอบอย่างนอบน้อม
สืออีเหนียงถามถึงสถานการณ์ของเจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็ไปที่เรือนหลัก
เหวินอี๋เหนียงเดินตามมา เห็นสืออีเหนียงสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย จึงพูดปลอบใจเบาๆ ว่า “ฮูหยินไม่ต้องกังวล เมื่อก่อนท่านโหวก็เคยไม่กลับจวน ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพราะมีเรื่องด่วนในราชสำนัก…” ยังไม่ทันพูดจบ ใบหน้าของทั้งสองก็เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
“อย่างนั้นหรือ” สืออีเหนียงรีบตอบกลับเพราะเกรงว่าเหวินอี๋เหนียงจะพูดประโยคทำนองนี้ขึ้นมาอีก แล้วพูดอีกว่า “เรื่องคุณชายหลี่คงต้องรอให้ท่านโหวกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน คนสกุลหลี่รอข่าวจากพวกเราอยู่ตลอด หากทำอะไรบุ่มบ่ามแล้วเกิดความเข้าใจผิดจะทำให้ลำบาก ในเมื่อท่านโหวไม่อยู่เรือน เหวินอี๋เหนียงก็กลับไปก่อนเถิด”
ก่อนหน้านี้แววตาของเหวินอี๋เหนียงเผยให้เห็นถึงความไม่สบายใจ แต่เมื่อสืออีเหนียงพูดจบ นางก็กลับคืนสู่ท่าทางปกติ ยิ้มพลางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงแล้วถอยออกไป
หลังจากนั้น สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาตอนกลางคืน
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋มองสีหน้านางออกอย่างชัดเจนแต่กลับไม่มีคำอธิบายใดๆ
สืออีเหนียงเล่าเรื่องในวันนี้ให้เขาฟัง
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็ตกใจแล้วถามต่อว่า “แล้วเหวินอี๋เหนียงว่าอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงเล่าคำพูดของเหวินอี๋เหนียงให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่ใหญ่
สืออีเหนียงลองเสนอให้เขานัดพบหลี่จี้
“ข้าจะลองดู” เขาตอบตกลงอย่างลังเล
บ่ายวันต่อมา ในขณะที่สืออีเหนียงกำลังสั่งรายการอาหารในงานเลี้ยงกับป้าหลีที่ดูแลห้องครัว หลินปัวก็วิ่งพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ฮูหยิน ท่านโหวเชิญท่านกับเหวินอี๋เหนียงไปคุยที่ห้องหนังสือเรือนนอกขอรับ”
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ให้สาวใช้น้อยไปเรียกเหวินอี๋เหนียง ทั้งสองคนพบกันที่ศาลาปี้อีแล้วไปที่ห้องหนังสือเรือนนอกด้วยกัน
ประตูเก๋อซ่านที่ห้องรับแขกถูกเปิดกว้าง เมื่อเข้าไปจะเห็นบรรยากาศในห้องโถงได้อย่างชัดเจน
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ด้านหน้ามีเด็กหนุ่มสวมเสื้อสีเขียวยืนอยู่
ความสูงของเขาพอๆ กันกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ ร่างกายผอมบางตามวัยของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นหลี่จี้
สืออีเหนียงลังเลเล็กน้อย
อย่าบอกนะว่าจะให้เดินเข้าไปโต้งๆ เช่นนี้?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็เห็นหลินปัวรีบวิ่งเข้าไปคำนับ “ท่านโหว ฮูหยินมาขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นยืน สืออีเหนียงเห็นเด็กหนุ่มชุดเขียวเบี่ยงตัวหลบถอยไปหลายก้าว ก้มหน้าลงเล็กน้อย ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างเสาสีดำ
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไป แต่สายตากลับเหลือบมองหลี่จี้อยู่ตลอดเวลา ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋เอ่ยปากนางก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านโหวมีแขก ขอท่านโหวโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ เพราะมีเรื่องด่วนต้องขอให้ท่านโหวตัดสิน จึงเดินเข้ามาโดยพลการ” พูดจบก็ยื่นรายการอาหารที่ป้าหลีเขียนเมื่อครู่ให้เขา
คงบอกไม่ได้ว่าถูกสวีลิ่งอี๋เรียกมา
สวีลิ่งอี๋รับรายการอาหารมา แนะนำหลี่จี้ให้สืออีเหนียงรู้จัก “บุตรชายคนรองของผู้บัญชาการหลี่นามว่าหลี่จี้”
เขาคำนับสืออีเหนียงอย่างไม่รีบร้อน ดูสง่างามสุขุม
“คุณชายหลี่” สืออีเหนียงยิ้มทักทาย ดวงตาของนางลอบสำรวจใบหน้าของเขา
ผิวพรรณขาวผ่อง คิ้วเรียวยาว จมูกโด่ง รูปลักษณ์ไม่ด้อยไปกว่าเซ่าจ้งหรานเลย แต่บุคลิกของทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างมาก นางสามารถมองเห็นมุมที่เป็นธรรมชาติของเซ่าจ้งหรานได้ แต่หลี่จี้ที่อายุยังน้อยกลับดูเก็บตัวมาก ขาดลักษณะเฉพาะตัวไปบ้าง ดังนั้นดูแล้วไม่โดดเด่นเท่าเซ่าจ้งหราน
เขาโค้งคำนับ
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงออกไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก เหวินอี๋เหนียงยังคงต้องรักษาสถานะของอนุภรรยาจึงยืนอยู่หน้าประตูอย่างเงียบๆ
สืออีเหนียงอดถามสวีลิ่งอี๋ที่กำลังดูรายการอาหารอย่างตั้งใจไม่ได้ “ทำไมท่านถึงเรียกคุณชายหลี่มาได้ ใช้ข้ออ้างอะไรหรือเจ้าค่ะ”
สายตาของสวีลิ่งอี๋จับจ้องไปที่รายการอาหารพลางตอบสืออีเหนียงว่า “เป็นผู้บัญชาการหลี่ที่เขียนจดหมายถึงข้า ขอคำชี้แนะจากข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ในราชสำนัก จึงตั้งใจส่งคุณชายหลี่มาพบข้าโดยเฉพาะ”
สืออีเหนียงถามอย่างมีนัยยะว่า “ผู้บัญชาการหลี่มักจะเขียนจดหมายถึงท่านเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในราชสำนักหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก” สวีลิ่งอี๋ตอบอย่างมีนัยยะว่า “บางครั้งคนเราก็ต้องใช้วิธีการบางอย่าง” จากนั้นก็หารือกับนางเกี่ยวกับรายการอาหาร “อาหารเจียงซีส่วนใหญ่มีน้ำมันมาก รสชาติจัดจ้านและเผ็ดร้อน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหาวัตถุดิบมาทำไก่ตุ๋นหน่อไม้ได้”
สืออีเหนียงรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาพูดคุยเรื่องนี้ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามเขา “ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะทำออกมาได้รสชาติเหมือนกับคนท้องถิ่นทำหรือไม่ คงทำได้เพียงทำให้ดีที่สุด”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เช่นนั้นก็ทำตามนี้ไปก่อนเถิด”
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไปพร้อมกับเหวินอี๋เหนียง
“ฮูหยิน คุณชายหลี่…” เมื่อมาถึงประตูฉุยฮวา เหวินอี๋เหนียงก็เอ่ยอย่างลังเลว่า “ตั้งแต่ต้นจนจบคุณชายหลี่ไม่ได้มองท่านกับท่านโหวเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย”
โดยทั่วไปแล้ว คนที่อยากรู้อยากเห็นมักจะชอบมองสิ่งแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวพวกเขา
“ถึงแม้ว่าคุณชายหลี่จะอายุเพียงสิบหกปี แต่คาดว่าเขาคงมีความอดทนสูง” น้ำเสียงของเหวินอี๋เหนียงแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าคิดว่าไม่ดีหรือ”
แววตาของเหวินอี๋เหนียงฉายแววสับสน “บอกไม่ถูก…แค่รู้สึกว่าเขาสงบนิ่งเกินไปเจ้าค่ะ”
มากไปก็ไม่เหมาะสม น้อยไปก็ไม่ดี
สืออีเหนียงเองก็มีความรู้สึกแบบนี้เช่นกัน
เหวินอี๋เหนียงพูดอีกว่า “ฮูหยิน ท่านโหวพอใจคุณชายหลี่หรือเจ้าคะ”
“เรื่องพวกนี้คุยกันง่าย” สืออีเหนียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่แน่นอน ย่อมหาข้อบกพร่องมาเกลี้ยกล่อมท่านโหวได้เสมอ เพียงแค่ไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่” พูดด้วยเสียงกระซิบ
เหวินอี๋เหนียงเม้มริมฝีปากแน่น ทั้งสองเดินไปถึงศาลาปี้อี
คนหนึ่งไปทางตะวันออก กลับไปที่เรือนศาลาริมน้ำ อีกคนหนึ่งไปทางตะวันตก กลับไปที่เรือนหนงเซียง
เหวินอี๋เหนียงไม่ได้คำนับสืออีเหนียงแต่กลับหยุดฝีเท้าลง
“ฮูหยิน ข้าว่าท่านควรไปสืบรายละเอียดของคุณชายเซ่าอย่างละเอียดดีหรือไม่ หากเขาไม่ใช่คนที่เราต้องการ ไม่สู้พวกเราค่อยๆ ช่วยคุณหนูใหญ่หาคนที่เหมาะสมใหม่”
หมายความว่าไม่เลือกหลี่จี้!
สืออีเหนียงประหลาดใจกับความเด็ดเดี่ยวของเหวินอี๋เหนียงในเรื่องนี้
เหวินอี๋เหนียงพูดเสียงเบาว่า “บางครั้งความอบอุ่นเล็กน้อยของบุรุษก็เหมือนเป็นพรแก่สตรีไปตลอดชีวิต”
นี่นางกำลังเปรียบเทียบกับตัวเองอยู่อย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงยืนอยู่ที่ศาลาปี้อีอยู่นานโดยไม่พูดอะไร
ต่อมาสวีลิ่งอี๋ก็ถามนางว่า “เป็นอย่างไร เด็กสกุลหลี่ผู้นั้นไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
“ท่านโหวตัดสินใจแล้วหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงถามสวีลิ่งอี๋กลับ
สวีลิ่งอี๋ฟังแล้วอึ้งไปเล็กน้อย
“ข้าคิดว่าสกุลหลี่นั้นใจร้อนเกินไป อีกทั้งคุณชายหลี่ก็สุขุมเกินไป” สืออีเหนียงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อเรื่องการหมั้นหมายเป็นเช่นนี้ เกรงว่าเรื่องอื่นก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็ขมวดคิ้ว แต่วันต่อมากลับส่งคนไปสืบเรื่องของเซ่าจ้งหราน
สืออีเหนียงไม่ได้สนใจอะไรมาก ยุ่งอยู่กับการเปิดคลังเพื่อนำเครื่องใช้ในครัวออกมา แล้วส่งป้ารับใช้ผู้ดูแลไปสกุลเจียงเพื่อตกลงเวลาที่นายหญิงเจียงกับคุณหนูเก้าสกุลเจียงจะมาถึง จากนั้นก็ต้องไปขอลาหยุดหนึ่งวันกับอาจารย์จ้าว บอกจุนเกอเพียงแค่ว่าจะมีญาติจากทางไกลมาหา เมื่อถึงวันที่สิบหกทุกคนก็ไปต้อนรับนายหญิงเจียงกับคุณหนูเก้าสกุลเจียงด้วยรอยยิ้ม
นายหญิงเจียงรูปร่างปานกลาง มองดูแล้วเหมือนอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ท่าทางสะอาดสะอ้าน ดวงตางดงามดุจหงส์ จมูกโด่งเป็นสัน เวลาไม่ปริปากพูดสีหน้าดูเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่เวลาพูดนั้นมีลักยิ้ม ไม่เพียงแต่ทำให้นางดูอ่อนโยน ทั้งยังดูขี้เล่นขึ้นไม่น้อยอีกด้วย
คุณหนูเก้าสกุลเจียงมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านแม่ของนางมาก เพียงแต่นางอายุยังน้อย ใบหน้าอ่อนเยาว์ น่าเอ็นดูอย่างมาก