นี่เป็นเรื่องของสกุลสวี ป้าสือไม่อาจพูดได้ เพียงแค่ยิ้มแล้วช่วยฮูหยินห้าหวีผม
ฮูหยินห้าเล่นหวีที่อยู่ในมือไปมา “ก่อนอื่นช่วยพูดเรื่องการหมั้นหมายของอวี้เกอที่ฟังดูดี จากนั้นก็สนับสนุนให้อวี้เกอไปเข้าร่วมการสอบ เด็กน้อยเมื่อเห็นอนาคตของตัวเองสว่างไสวทำให้รู้สึกฮึกเหิม ย่อมตอบตกลงทุกอย่าง เมื่อเขาไปแล้วก็ค่อยสรุปเรื่องการแต่งงานกับสกุลเจียง ขอราชโองการให้จุนเกอเป็น เมื่อถึงเวลานั้น อาจารย์ สหายร่วมชั้นเรียน หรือสหายของอวี้เกอก็ล้วนเป็นคนสนิทของสกุลเจียง หากเขาไม่คิดอยากได้ตำแหน่งก็ดี อย่างไรสกุลเจียงก็ย่อมเป็นกำลังเสริมที่ใหญ่ที่สุด แต่ถ้าหากเขามีความคิดอยากจะได้ตำแหน่ง เกรงว่าคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไปก็คือสกุลเจียง หากเขาเกิดความคับข้องใจเพราะเหตุนี้แล้วจะไปโทษใครได้ เพราะตอนแรกก็เป็นเขาเองที่ตอบตกลง พี่สี่ของเราวางหมากได้ดีจริงๆ!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็นึกถึงการปฏิเสธการหมั้นหมายของสกุลเซี่ยงแล้วแอบยิ้มอย่างเงียบๆ
ขณะนี้สวีลิ่งอี๋กำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างที่เรือนริมน้ำ
สายลมเย็นๆ จากทะเลสาบปี้อีพัดผ่านหน้าต่างที่ปิดด้วยม่านบางๆ ทำให้เขารู้สึกสดชื่น
“…เด็กน้อยรูปร่างหน้าตาดี” สืออีเหนียงปูเตียงพลางพูดพึมพำ “นิสัยก็ร่าเริง นายหญิงเจียงมองดูก็รู้ว่าเป็นคนมีคุณธรรม ข้าว่าการหมั้นหมายครั้งนี้ช่างดีจริงๆ” พูดพลางยืนขึ้นแล้วหันมาถามสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวจะอ่านหนังสือก่อนหรือจะว่าพักผ่อนตอนนี้เลยเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ตอบ มองนางแล้วยิ้มพราย ดวงตาดุจแสงจันทร์กระจ่างใส
“มา มานั่งข้างๆ ข้า” เขากวักมือเรียกสืออีเหนียง น้ำเสียงทุ้มต่ำหนักแน่น
ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย
หรือว่าเป็นเพราะการหมั้นหมายของจุนเกอเป็นไปอย่างราบรื่น?
สืออีเหนียงครุ่นคิดพลางหย่อนกายนั่งลงข้างๆ สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋กอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน “นั่งเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” ใบหน้าแนบกับมวยผมของนาง
ในตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็น แต่ลมหายใจของเขากลับอุ่น
สืออีเหนียงโอบเอวสวีลิ่งอี๋แล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอย่างเงียบๆ
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาเล็กน้อย แสงเทียนภายในห้องส่องสว่างพลิ้วไหว ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงัดยิ่งขึ้น
“วันนี้เป็นวันที่สิบหกใช่หรือไม่” สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมา เอื้อมมือไปลูบแก้มนางเบาๆ
แสงจันทร์ส่องกระทบไปที่แผ่นหลังกว้างของเขา ดวงตาที่สุกใสของเขาส่องแสงราวกับอัญมณีก็ไม่ปาน
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพยักหน้า ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋ถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “จุนเกอร่างกายมีข้อบกพร่อง นักพรตฉังชุนยังบอกอีกว่าเขามี ‘สามภัยพิบัติ’ ข้ากับพี่หญิงของเจ้ากลัวว่าเขาจะอายุสั้น ไม่อาจได้รับพรอีกมากมาย” น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายลงแต่ยังคงความหนักแน่นไว้ “เคยปรึกษากันไว้ว่าเมื่อเขาอายุครบสิบสองปีค่อยขอราชโองการแต่งตั้งให้เป็น…”
หากสกุลสวีและสกุลเจียงต้องหมั้นหมายกัน แล้วจุนเกอมีตำแหน่งเป็น เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะแตกต่างกัน
นางค่อยๆ นั่งตัวเหยียดตรง “ท่านโหวหมายความว่าอยากจะแต่งตั้งล่วงหน้าหรือ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“หากเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าดีที่สุดแล้ว” สืออีเหนียงพูดพึมพำ “เมื่อรู้สถานะของตัวเองจึงจะรู้ได้ว่าตัวเองควรทำอะไรบ้าง!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อยแล้วจับมือนาง “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องในอนาคต ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าจะจัดการให้ดี”
สืออีเหนียงคิดไปคิดมาก่อนจะเข้าใจว่าสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘เรื่องในอนาคต’ นั้นหมายความว่า ถ้าหากพวกเขามีบุตรชายด้วยกัน…
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง นึกถึงเรื่องสามีภรรยาที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากพิธีปักปิ่นอายุครบสิบห้าปี พวกเขาไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ
ถ้าเกิดว่า…
จู่ๆ สืออีเหนียงพลันรู้สึกสับสน
การมีลูกแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดี ตัวเองก็มีคู่แล้ว แต่ถ้าหากมีลูกขึ้นมาจริงๆ ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันจะทำให้ทุกอย่างซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็เม้มปากแน่นโดยไม่รู้ตัว พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านโหว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้ท่านรีบเข้าวังไปขอราชโองการจะดีกว่า เมื่อพวกเราไปขอหมั้นหมายกับสกุลเจียงก็จะได้มีหน้ามีตาอยู่บ้าง”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้ตนให้กำเนิดบุตรชายตำแหน่งซื่อจื่อก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ความขัดแย้งก็จะน้อยลง!
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร เขากุมมือนางไว้แน่น
ในใจรู้อย่างชัดเจน แต่พอคิดว่าอาจจะมีการตั้งครรภ์ สืออีเหนียงก็อดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
นางไม่สบายใจมาสองวันแล้ว กานฮูหยินมาพบนางพอดี
“มีหมอแซ่หันคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่ตรอกจิ่งเอ้อร์ทางตะวันตกของเมือง” นางนั่งลงข้างๆ สืออีเหนียงบนเตียงเตา พูดเสียงเบาว่า “พี่สะใภ้ของข้าแนะนำมา มีชื่อเสียงมาก ว่ากันว่าภรรยาของใต้เท้าจินแห่งสำนักฮั่นหลินเคยไปรักษากับเขา ปีที่แล้วก็ได้ให้กำเนิดเด็กน้อยตัวอ้วนอีกด้วย”
เพราะเหตุนี้กานฮูหยินจึงได้เดินทางมาด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก “วันนี้พี่หญิงเจ็ดกับพี่เขยไปที่วัด พอพวกเขากลับมาแล้วข้าจะบอกพวกเขาทันที”
กานฮูหยินถามขึ้นมาว่า “อยากให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือไม่ ข้าคุ้นเคยกับที่นั่น”
แต่กานฮูหยินเป็นคนดูแลเรื่องของกินของใช้ในเรือน การจะออกจากจวนแต่ละครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
สืออีเหนียงจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากพวกเขาไปไม่ถูกก็ค่อยเชิญพี่หญิงกานให้ไปเป็นเพื่อนก็ได้เจ้าค่ะ”
กานฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับหยุดชะงักไป
สืออีเหนียงรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่หญิงเห็นข้าเป็นดั่งน้องสาว มีอะไรก็พูดมาเถิด”
กานฮูหยินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เจ้าอยากไปดูด้วยกันหรือไม่”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็หน้าแดง
กานฮูหยินรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าก็ไม่ได้มีความหมายอื่นใด เพียงแต่คราวที่แล้วได้ยินว่าเจ้าใช้ยามาตลอด…หากไปหาหมอหลายๆ ท่านก็จะทำให้มีโอกาสมากขึ้น”
นี่คือคำพูดที่ออกมาจากใจ
สืออีเหนียงเรียบเรียงคำพูดก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่เคยรักษาร่างกายอย่างจริงจังเลย เกรงว่าอายุยังน้อยจะไม่สามารถรักษาเด็กในครรภ์ไว้ได้อาจจะเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูก อีกทั้งยังกลัวจะทำให้การรักษาล่าช้าออกไป ถึงเวลานั้นพออยากจะมีก็มีไม่ได้…ในใจสับสนวุ่นวายมาหลายวันแล้ว”
นี่ก็เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจเช่นกัน
“เจ้าอย่าเรียงลำดับความสำคัญผิดสิ” กานฮูหยินพูดอย่างจริงใจ “ก็อย่างที่เจ้าบอก หากตอนนี้ไม่รักษาร่างกายให้ดี เมื่อถึงเวลานั้นหากต้องการก็มีไม่ได้แล้ว เจ้าต้องรักษาร่างกายให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน การที่สตรีคลอดลูกนั้นเดิมก็เป็นเรื่องที่อาจนำไปสู่ความตาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะวางแผนได้…ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่อยากคลอดลูกก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี”
สืออีเหนียงพลันรู้สึกตื่นเต้น
ตั้งแต่แต่งงานมา ความรู้ของเรื่องพวกนี้ก็ฟังเอาจากคำบอกเล่าที่มีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ นางไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องหรือไม่ มักจะรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ คิดว่าหากมีคนที่มีประสบการณ์มาคอยชี้แนะตัวเองก็คงจะดี แต่ว่าความต้องการที่แท้จริงของตัวเองกลับไม่สามารถบอกใครได้…คิดไม่ถึงว่าวันนี้จู่ๆ ก็ได้รับโอกาสเช่นนี้
“พี่หญิงกาน…” นางเม้มริมฝีปาก ที่หางตามีน้ำตาคลอ
ทันใดนั้นกานฮูหยินก็คิดถึงตัวเองตอนที่อายุเท่านี้…ดวงตาของนางก็รื้นไปด้วยน้ำตา แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้ม นางตบมือสืออีเหนียงเบาๆ แล้วกระซิบข้างหูสืออีเหนียง “ข้าจะบอกเจ้า…”
ทั้งสองคนคุยกระซิบกระซาบกันตลอดทั้งบ่าย จากนั้นกานฮูหยินก็เดินทางกลับจวน
สืออีเหนียงพาชีเหนียงไปรักษาที่ตรอกจิ่งเอ้อร์
สวีลิ่งอี๋ยุ่งอยู่กับเรื่องของจุนเกอ
เขาไปปรึกษากับไท่ฮูหยินก่อน จากนั้นก็ไปสกุลเจียงเพื่อบอกกับใต้เท้าเจียงเรื่องที่ตัวเองจะขอราชโองการเพื่อแต่งตั้งให้จุนเกอเป็นซื่อจื่อก่อนที่จะหมั้นหมายกับสกุลเจียงอย่างเป็นทางการ ความมีหน้ามีตาเช่นนี้ใต้เท้าเจียงย่อมยินดีที่จะให้พบ เขาไม่เพียงตอบตกลงในทันที ทั้งยังเป็นฝ่ายเสนอว่าจะเป็นคนจัดการอำนวยความสะดวกทางฝั่งด้านกรมพิธีการให้เอง
สวีลิ่งอี๋สนิทกับคนในกรมพิธีการเป็นอย่างดี แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะต้องไปดำเนินการในวัง ถ้าหากมีใต้เท้าเจียงช่วยปูทางฝั่งกรมพิธีการได้ก็จะได้ไม่ต้องวิ่งทั้งสองทาง จึงรีบตอบตกลงในทันที กลับไปเขียนฎีกาถวายแด่ฮ่องเต้และกรมพิธีการตามลำดับ เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ส่งผู้ดูแลจ้าวไปหาขุนนางฝ่ายในเพื่อยื่นป้ายขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนในจวนล้วนรู้ว่าจุนเกอจะได้เป็นซื่อจื่อ ทายาทสืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว
สาวใช้น้อยที่ติดตามข้างกายป้าเถากำลังรอกล่องข้าวอยู่ในครัว ตั้งแต่ที่ป้าเถาถูกส่งให้ไปดูแลเรือนของหยวนเหนียง ทุกคนต่างก็รู้แล้วว่าป้าเถาสูญเสียความโปรดปรานไปแล้ว แม้ว่าจะกลัวอำนาจที่สั่งสมมาจึงไม่กล้าทำอะไรป้าเถา แต่ทุกคนกลับค่อยๆ ไม่ไว้หน้าสาวใช้น้อยที่อยู่ข้างกายนาง
ทั้งๆ ที่รู้ว่าป้าเถาเป็นคนสั่งมา แต่ผู้ดูแลในครัวกลับตักเนื้อตุ๋นกับไข่ไก่ใส่กล่องข้าวของสาวใช้น้อยอีกคน ทั้งยังกำชับสาวใช้น้อยคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ระวังอย่าให้หกล้มล่ะ จะกินอะไรก็บอกข้ามาได้เลย”
นางรู้ว่าสาวใช้น้อยผู้นี้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายสาวใช้ใหญ่ของฮูหยินสี่อย่างหู่พั่ว
เมื่อเห็นเช่นนี้นางก็รีบวิ่งกลับไปหาป้าเถา
ป้าเถาสวมเสื้อสีดำ ผมของนางถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเป็นระเบียบ ผมที่เคยดำขลับตอนนี้มีเส้นสีขาวปะปนอยู่ด้วย นางกำลังคัดลอกคัมภีร์หัวใจพระสูตรบนโต๊ะตัวใหญ่ริมหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อเห็นสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามา ป้าเถาก็มีสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย
สาวใช้คนนั้นปรนนิบัตินางมาตั้งแต่ยังเด็ก ไหนเลยจะไม่รู้ถึงอารมณ์ของนาง เพียงแต่ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าความโกรธของเป้าเถา เมื่อป้าเถาได้ฟังจะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ป้าเถา ป้าเถา ท่านโหวจะแต่งตั้งให้คุณชายน้อยสี่เป็นซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อป้าเถาได้ฟังกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าไปฟังใครพูดจาเหลวไหลมา”
“ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลนะเจ้าคะ” สาวใช้น้อยรีบพูดต่อว่า “ตอนนี้ข่าวได้แพร่สะพัดไปทั่วจวนแล้ว หากท่านไม่เชื่อก็ออกไปถามได้เลย”
ป้าเถาขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่ว่าคุณหนูใหญ่บอกว่าจะขอราชโองการตอนอายุครบสิบสองปีหรือ” นางพูดพึมพำ “ตราบใดที่ยังไม่แต่งตั้งซื่อจื่อ สืออีเหนียงก็จะเข้าใจผิดคิดว่าท่านโหวไม่พอใจในตัวจุนเกอ ในใจอาจจะคิดว่าเมื่อตัวเองให้กำเนิดบุตรชายแล้วค่อยวางแผน แต่ตอนนี้ท่านโหวกลับเปลี่ยนใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน…” นางนึกถึงพิธีปักปิ่นอันยิ่งใหญ่ของสืออีเหนียง ในใจรู้สึกหวาดหวั่น “หรือว่านี่จะเป็นความคิดของสืออีเหนียง นางทำเช่นนี้มีประโยชน์อันใดกัน”
นางอดคิดไม่ได้
สาวใช้น้อยกลับไม่ได้คิดมากอย่างป้าเถา พูดอย่างเบิกบานใจว่า “ป้าเถา ถ้าหากคุณชายน้อยสี่ถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อแล้ว ก็จะมีเรือนของตัวเองแล้วใช่หรือไม่ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราก็จะต้องไปคอยรับใช้ข้างกายคุณชายน้อยสี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ป้าเถาได้ฟังดังนั้นก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
ใช่แล้ว ตามกฎแล้ว หากแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ ก็ต้องแยกเรือนออกไปอยู่คนเดียว ตัวเองลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกันนะ
เมื่อก่อนนางยังพอมีความมั่นใจว่าเมื่อจุนเกอแยกเรือนออกไปตัวเองก็จะได้ตามไปด้วย แต่ตอนนี้…หากสืออีเหนียงอยากจะเปลี่ยนบ่าวรับใช้ในเรือนให้กลายเป็นคนของนาง เช่นนั้นก็ช่างง่ายดายนัก
ป้าเถาร้อนใจขึ้นมา
สิ่งที่คุณหนูใหญ่กังวลก่อนหน้านี้คืออะไร
คือการกลัวว่าจุนเกอจะอยู่ไม่ถึงตอนที่ได้แต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ
ป้าเถาคิดได้ดังนั้นก็อดหัวเราะอย่างเยือกเย็นไม่ได้ กำชับสาวใช้น้อยว่า “ไปดูสิว่าฮูหยินสี่อยู่ที่ไหน”
นางคิดที่จะขอลางานอย่างเปิดเผยเพื่อไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่ที่ตรอกกงเสียน จากนั้นก็อาศัยโอกาสนี้รายงานเรื่องนี้กับคุณชายใหญ่หลัวเจิ้นซิ่ง
สาวใช้น้อยได้ยินแต่กลับไม่ขยับไปไหน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฮูหยินสี่พาคุณหนูเจ็ดไปพบหมอเจ้าค่ะ”
ป้าเถาประหลาดใจ “ข้าก็ว่าอยู่ อยู่ดีๆ ท่านโหวก็แต่งตั้งจุนเกอเป็นซื่อจื่อ ที่แท้นางคิดจะให้กำเนิดบุตรชายแล้ว ความคิดนี้ของนางเร็วเกินไปหรือไม่”