เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้ดีว่าอวิ๋นปี้ลั่วคิดอะไรอยู่
นางอยากให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนหยัดปกป้องนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มน้อยๆ นางตัดสินใจแล้วว่านางจะตอบโต้ทุกคนที่สนับสนุนคนพวกนี้ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ตาม
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เงยหน้าขึ้น แต่แล้วก็สบเข้ากับสายตาไร้อารมณ์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่มองมา
หัวใจของนางบีบเข้าหากันเล็กน้อย แต่นางก็ยังยิ้มต่อ
นางไม่ควรถอย ยิ่งในเวลาเช่นนี้แล้วด้วย
สมัยยังเด็ก เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยทำความดีกับคนอื่นเขาเหมือนกัน นางบังเอิญเจอโทรศัพท์ตกอยู่ ดังนั้นนางจึงเอามันไปคืน แต่นางกลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหัวขโมยและถูกควบคุมตัวอยู่ในสถานีตำรวจประจำถนนสายหนึ่งของประเทศจีน
นางได้รับการปล่อยตัวหลังจากนั้น แต่ผู้หญิงที่พ่อของนางแต่งงานด้วยกลับไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไป
นางมักจะขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทุกครั้งเพื่อตำหนินาง และใส่ร้ายป้ายสีว่านางเป็นพวกชอบลักขโมย
ในเวลานั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมทนกับเรื่องพวกนั้นมาโดยตลอด
นางจะไม่มีวันลืมว่ามันรู้สึกอย่างไร นางหวาดกลัว แต่หัวใจของนางกลับว่างเปล่า
นางกลับถูกลงโทษ ทั้งที่นางเป็นคนถูกใส่ร้าย
เพียงเพราะตัวตนของนางนั้นไร้ความสำคัญเสียจนนางไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเพื่อตัวเองเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นนางจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองสามารถที่จะต่อสู้กับอำนาจอันบิดเบี้ยวนั้นได้
องค์ชายสามแล้วอย่างไร ก็ลองพูดปกป้องอวิ๋นปี้ลั่วดูสิ!
นางเคยประมือกับเขาทั้งที่รู้ว่าเขามีกิเลนอัคคีคอยช่วยเหลืออยู่ และเขาเองก็เคยเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของนาง แต่เรื่องพวกนั้นไม่มีความหมายในศึกครั้งนี้!
ไม่มีใครสามารถกลั่นแกล้งนางได้อีกแล้ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังเดินมาทางนาง ดังนั้นนางจึงกำมือเข้าหากันแน่น แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ทั่วทั้งร่างของนางเริ่มแผ่พลังปราณออกมา แต่พลังอันรุนแรงนั้นก็ค่อยๆ ลดลงทีละน้อยเมื่อนางสังเกตเห็นบาดแผลที่ไหล่ของเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเหมือนจะโกรธ เพราะดวงตาของเขานั้นเย็นชากว่าปกติ
เขาคงจะขาดสติเพราะคนรักของตนกำลังได้รับความไม่เป็นธรรมกระมัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลง แล้วยิ้มออกมา แต่สีหน้าของนางกลับยังสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งสมองของนางก็ยังปลอดโปร่งยิ่งนัก
นางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงลงความเห็นได้ว่าการสู้กับเขาคงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเท่าใดนัก
ความเป็นไปได้ที่นางจะชนะนั้นมีน้อยจนเกินไป เพราะอีกฝ่ายยังคงถือปีกแห่งเทพราตรีที่นางให้เขาเป็นของขวัญอยู่ในมือ
นางทุ่มเทความพยายามไปตั้งมากมายเพื่อทำให้มันเสร็จสมบูรณ์ ปีกแห่งเทพราตรีแทบจะไม่มีจุดอ่อน นับว่ามันเป็นอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูงที่สุดเลยทีเดียว
ถ้านางรู้ว่าวันหนึ่งนางต้องเป็นศัตรูกับเขา นางคงเอาของชิ้นนั้นไปให้หยวนหมิงแทนที่จะเป็นเขา… แล้วก็ทำให้เขาเปลี่ยนไปชอบเพศเดียวกันไปซะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านางเสียอาวุธของตนไปโดยเปล่าประโยชน์
แต่หากว่ากันตามจริงแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ปฏิบัติกับนางแตกต่างจากคนอื่นมาโดยตลอด
ในตอนแรกที่นางสมัครเข้ามาเรียนในสำนักนี้ด้วยตัวเอง ทุกคนก็เอาแต่ดูถูกนาง
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยอมรับในอาวุธของนาง
เขาเหมือนกับถังเส่าในตอนนั้นยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกขอบคุณสำหรับเรื่องนั้นอยู่ในใจเสมอ แม้ว่านางจะไม่เคยพูดออกมาเลยก็ตาม
อีกอย่างหนึ่ง หากนับรวมความจริงที่ว่าเขาเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้หลายต่อหลายครั้งด้วยแล้วละก็…
แค่ขอยุติสัญญากับเขาดีๆ เถอะ
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นนางจึงพูดกับเขาด้วยเสียงที่เบาจนมีเพียงแค่พวกนางเท่านั้นที่ได้ยินว่า ”ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้าหลีกทางให้ได้ หากมีใครบางคนกลับมา พวกเราสัญญาว่าจะเดินหน้าและถอยหลังไปด้วยกัน แต่ข้าเกรงว่าตอนนี้มันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ทำไมพวกเราไม่แยกทางกันแต่โดยดีเล่า”
ฝีเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดลงอย่างกะทันหัน เขาเหยียดยิ้มอย่างเย็นชา ”แยกทางกันแต่โดยดีหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอืมเสียงเบา
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นดังก้องไปทั่วพื้นดิน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมา
แต่แล้วนางก็ตระหนักได้ว่าเสียงนั้นเกิดจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี่เอง
รอยแตกร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับแผ่นดินที่แยกออกใต้ฝ่าเท้าของเขา เกิดเป็นรอยแยกที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
แต่เขากลับทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยรอยยิ้ม มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเอง ขณะที่ทิ้งมืออีกข้างลงข้างตัว บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่ แต่กลับไม่อาจมองเห็นดวงตาของเขาได้ เพราะมันซ่อนอยู่ภายในกลุ่มผมสีดำสนิทนั้น
รอยยิ้มนั้นทั้งสง่างามและดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เข้ากับบรรยากาศอันเฉยชาที่เป็นท่าทางปกติของเขาเป็นที่สุด
แต่นิ้วที่ซ่อนอยู่ภายในถุงมือสีดำของเขากลับเกร็งจนขึ้นข้อขาว
ไอหมอกสีดำที่อยู่รอบตัวเขาทวีความหนาแน่นขึ้นอย่างฉับพลัน
แกร๊ก!
เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
ค้างค้าวหลายล้านตัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากส่วนลึกของป่าอันหนาทึบ ภาพนั้นดูเหมือนลางร้ายก่อนโลกจะถึงจุดจบเพราะถูกผีดิบบุกรุกก็ไม่ปาน มันเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงสายลมที่ส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ในหู ในเวลาเดียวกันนั้นต้นไม้ที่อยู่โดยรอบต่างก็เริ่มส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง และแผ่นดินก็พลันสั่นสะเทือนราวกับตอบรับ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับตัวเพียงเล็กน้อยราวกับไม่ได้รับผลจากสิ่งนั้น แต่ความเย็นชาอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้
แทบจะไม่มีสิ่งใด และไม่มีใครบนแผ่นดินนี้ที่สามารถปลุกปั่นอารมณ์ของเขาได้
แต่วันนี้ นางกลับจุดชนวนความโกรธของเขาเข้าเสียแล้ว!
เขาอดทนกับนางมาโดยตลอด แม้เขาจะเลี้ยงเหยื่อเอาไว้หลายตัว แต่เขาก็ไม่เคยต้องอดทนกับเหยื่อตัวไหนมากถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
แต่ทุกสิ่งที่นางคิดกลับมีแต่การไปจากเขา!
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาก็คงทิ้งเหยื่อพรรค์นี้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่… บัดซบ! เขากลายเป็นคนใจอ่อนขึ้นมาเสียแล้ว!
น่าขันสิ้นดี…
ไม่! เขาจะกลายเป็นคนใจอ่อนได้อย่างไรกัน ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว
แต่ทำไมในหัวใจถึงได้รู้สึกว่างเปล่าเช่นนี้เล่า ราวกับว่ามีหลุมที่มองไม่เห็นอยู่ภายใน
เขาคงไม่ได้ล่าเหยื่อมานานเสียจนลืมแม้กระทั่งกฎการล่าของตัวเอง
นักล่าไม่ควรจะถูกเหยื่อของตนควบคุม
“ฮ่าๆ…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ แสงสีแดงราวกับปีศาจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
สายลมพัดมาอย่างเงียบๆ
เขายังคงยืนตรงอยู่ที่เดิมด้วยท่วงท่าสง่างาม พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นสูง นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้ถุงมือสีดำนั้นเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ลมพายุส่งเสียงคำรามก้อง และสายฝนก็พลันกระหน่ำตกลงมาบนพื้นดินในทันใด!
ร่างของเขาค่อยๆ เปียกไปทั่วทั้งตัว…
เมื่ออวิ๋นปี้ลั่วเห็นดังนั้น นางก็รีบคว้าร่มมาจากสาวใช้ แล้วตั้งใจจะเข้าไปใกล้เขา
แต่นางกลับถูกความหวาดกลัวอันเกิดจากสายตาเย็นชาไร้การเคลื่อนไหวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตรึงเอาไว้กับที่ก่อนที่นางจะทันได้เข้าใกล้เขาเสียอีก
สายตาแบบนั้นเหมือนกับสายตาที่เขาเคยทำก่อนจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดอันเหี้ยมโหดที่วังหลวงในวันนั้น
หัวใจของอวิ๋นปี้ลั่วเต้นอย่างรุนแรงระหว่างที่นางพยายามฝืนกัดริมฝีปากบางของตนเอาไว้ ในที่สุดนางก็เหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว นางเอ่ยเรียกเขาอย่างรักใคร่ว่า ”ฝ่าบาท”
ไม่มีใครได้ยินอวิ๋นปี้ลั่วนอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวย เพราะเสียงลมพัดและเสียงฝนที่ตกลงมานั้นดังกลบเสียงอันแผ่วเบาของนางเอาไว้
อวิ๋นปี้ลั่วมองพื้นแล้วพูดเสียงเบาว่า ”หม่อมฉันรู้ว่าท่านยังโทษหม่อมฉันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอยู่ แต่แม่นางเวยเวย…”
แต่นางก็ไม่อาจพูดจนจบประโยคได้ เพราะอวิ๋นปี้ลั่วเห็นสีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าเสียก่อน อีกฝ่ายกำลังเตือนให้นางหยุดพูด
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงรักษาสีหน้าเยือกเย็นเอาไว้ได้ นางแค่ต้องการให้ทุกอย่างคลี่คลายลงโดยเร็วเพราะนางปวดท้องน้อยเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่สนใจเล่ห์กลใดๆ ที่อวิ๋นปี้ลั่วมี ไม่ว่าอวิ๋นปี้ลั่วจะพูดอะไร นางก็จะปล่อยให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนจัดการเรื่องนั้น
อวิ๋นปี้ลั่วประหลาดใจที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังคงดูสงบเยือกเย็นอย่างที่สุด แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกสิ่งที่นางต้องการทำก็คือการชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น และร้องขอการให้อภัยจากองค์ชายเท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น อวิ๋นปี้ลั่วก็สาวเท้าออกไปข้างหน้าอีกก้าว
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เปิดปากพูด…
นางก็ถูกคำพูดอันทิ่มแทงของเขาตอกย้ำจนจมดิน
“ไสหัวไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ย
เขากำลังพูดกับใครอยู่ เฮ่อเหลียนเวยเวยหรือ
เป็นไปได้ทีเดียว อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มมุมปาก เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ เขาปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากคนอื่นเสมอ…