การตัดสินใจของฮ่องเต้ เฉินตันจูรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ครานี้ องค์หญิงจินเหยาไม่ต้องให้ผู้ใดกำชับ นางเสด็จออกมาบอกกล่าวแก่เฉินตันจูด้วยตนเอง ระหว่างทางถูกเสี่ยวชวีไล่ตามมาทัน
องค์หญิงจินเหยาย่อมรู้ว่าเสี่ยวชวีถูกองค์ชายสามส่งมา นางให้เสี่ยวชวีกลับไป เรื่องนี้นางเป็นคนบอกก็พอ
แต่เสี่ยวชวีไม่ยอมกลับไป พูดด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายสามทรงเป็นกังวลเรื่องคุณหนูตันจูเช่นเดียวกัน ให้กระหม่อมไปดูก่อนจะกลับไปทูล”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม ไม่ขัดขวางอีก นางพาเสี่ยวชวีมายังอารามดอกท้อ เวลานี้โจวเสวียนเดินทางมาถึงก่อนพวกเขา เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยาและคว่ำมุมปากเมื่อเห็นเสี่ยวชวี
“ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอันใด” เขาพูดด้วยใบหน้าดำทะมึน “เหตุใดจึงเดินทางมากันมากมาย”
องค์หญิงจินเหยาพูด “เพราะว่าไม่ใช่เรื่องน่ายินดี พวกข้าเป็นกังวลเกี่ยวกับตันจูจึงมา แต่เจ้ามาเพื่อการใด อย่าได้มาสร้างความรำคาญใจให้คุณหนูตันจูอีก”
เฉินตันจูยิ้ม เดินเข้ามาต้อนรับ นางกำลังทำงาน แขนเสื้อจึงถูกมัดขึ้น “องค์หญิงอย่าด่าเขา ท่านโหวโจวมาเพื่อส่งมอบจวนโดยเฉพาะ”
พูดพลางหันกลับไปเรียกอาเถียน อาเถียนและเยี่ยนเอ๋อรีบเดินออกมาจากด้านใน ทั้งยกลังทั้งหิ้วสัมภาระ
เฉินตันจูกำชับ “พวกเจ้าไปก่อน ไม่ต้องรีบร้อน ภายในจวนล้วนเป็นคนเก่า จัดการไว้ได้อย่างดีแล้ว”
อาเถียนและเยี่ยนเอ๋อตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
โจวเสวียนเลิกคิ้วอยู่ด้านข้าง “ภายในจวนจัดการอย่างดีคำพูดนี้พูดได้ดี ขอบคุณคำชมของคุณหนูตันจู”
เฉินตันจูยิ้มให้เขา ชี้นิ้วไปด้านข้าง “เวลานี้ข้ากำลังทำยาหนึ่งตำลึงทอง เมื่อทำเสร็จแล้ว จะส่งให้ท่านหนึ่งลังเป็นการแสดงความขอบคุณ”
โจวเสวียนพูด “ทำเพื่อข้าโดยเฉพาะหรือ”
เฉินตันจูพูด “บนขวดล้วนสลักชื่อของท่าน!”
โจวเสวียนหัวเราะร่า พาเยี่ยนเอ๋อและอาเถียนจากไป
เฉินตันจูเดินไปด้านหน้าขององค์หญิงจินเหยา ยิ้มพร้อมจับมือของนาง “องค์หญิงอย่ากังวล หม่อมฉันล้วนรู้แล้ว ถึงแม้จะเหลวไหล แต่เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว พี่สาวหม่อมฉันและเด็กสามารถเห็นฟ้าเห็นตะวันอีกครั้ง ยังคงเป็นเรื่องดี”
นับแต่เข้ามา องค์หญิงจินเหยาเห็นความวุ่นวายในอารามเล็กกับตา เสียงโหวกเหวกขับไล่ความโศกเศร้า ดวงตาของเฉินตันจูสดใส ไม่มีความท้อแท้แม้แต่น้อย นางเองก็วางใจ
“ถึงแม้เรื่องนี้ทำให้คนเสียใจมาก แต่ข้าคิดว่าตันจูเจ้ามีความสามารถเพียงนี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินย่อมต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถมากเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน” นางจับมือของเฉินตันจู พูดเสียงเบา “นางย่อมไม่เกรงกลัวคุณหนูเหยาผู้นั้นอย่างแน่นอน”
เฉินตันจูพยักหน้า “พี่สาวหม่อมฉันไม่กลัวหรอกเพคะ” ก่อนจะมองเสี่ยวชวีที่ยืนอยู่ทางนี้ “ขอบพระทัยองค์ชายสาม ทำให้องค์ชายต้องกังวลพระทัย ข้าไม่เป็นอันใด”
เสี่ยวชวีอมยิ้มตอบรับ ก่อนจะรีบพูด “คุณหนูตันจูมีเรื่องใดให้บอกได้เลย พระสนมสวีตรัสว่าเรื่องในจวน นางเป็นผู้ดูแล”
เฉินตันจูคำนับขอบคุณ “หากต้องการข้าย่อมทูลต่อเหนียงเหนียง เมื่อถึงเวลาหวังว่าเหนียงเหนียงจะไม่ทรงรำคาญข้า”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะ เสี่ยวชวียิ้ม ก่อนจะปฏิเสธระรัว เจตนาส่งถึงแล้ว อีกทั้งยังได้เห็นคุณหนูตันจูแล้ว สามารถกลับไปทูลต่อองค์ชายสามได้ เขาจึงขอตัวลาก่อน
มองเสี่ยวชวีจากไป องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าทางพระสนมสวีจะพึงพอใจต่อเจ้าอย่างมาก ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้ส่งของขวัญมาให้แล้ว เวลานี้ยังจะช่วยเจ้าตกแต่งจวนอีก”
เฉินตันจูถอนหายใจเสียงเบา “ผู้เป็นมารดาย่อมดีต่อบุตรอย่างเต็มใจ”
พระสนมสวีดีต่อนางเพียงนี้ เพื่อให้บุตรชายของตนเองดี อย่างไรถึงจะถือว่าทำให้องค์ชายสามดี ย่อมคือการไปหาพระสนมสวี ไม่ไปหาองค์ชายสามเมื่อมีเรื่อง ห่างจากบุตรชายของนาง โดยเฉพาะเวลานี้
องค์หญิงจินเหยาสังเกตความผิดปกติในคำพูดของนาง กำลังจะเอ่ยถาม แต่เฉินตันจูดึงนางเอาไว้ก่อน“หม่อมฉันกำลังมีเรื่องต้องการให้องค์หญิงช่วยเพคะ”
ช่วยหรือ ย่อมได้ องค์หญิงจินเหยารีบถามว่าเรื่องใด ให้นางบอกมาได้ทันที ไม่ว่าจะช่วยได้หรือไม่ นางก็จะช่วย
เฉินตันจูจับมือของนางพลางหัวเราะ “ช่วยได้เพคะ องค์หญิงท่านช่วยหม่อมฉันทูลต่อฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทพระราชทานกำลังคนขบวนหนึ่งให้หม่อมฉัน ส่งหม่อมฉันไปรับพี่สาวที่เมืองซีจิง”
“เจ้าจะไปซีจิงหรือ” องค์หญิงจินเหยาถามอย่างประหลาดใจ
เฉินตันจูพยักหน้า “หม่อมฉันต้องไปรับพี่สาวหม่อมฉันด้วยตนเอง หม่อมฉันจะรับพระราชโองการพร้อมกับท่านพี่”
องค์หญิงจินเหยากระจ่าง “ได้ ข้าไปทูลเสด็จพ่อ เจ้าวางใจ ถึงแม้ข้าต้องลงไปกลิ้งกับพื้นก็จะโน้มน้าวเสด็จพ่อให้ได้”
เฉินตันจูหัวเราะ “พวกท่านแต่ละคนล้วนถูกหม่อมฉันพาเสียหมดแล้ว ฝ่าบาทต้องโกรธมากอย่างแน่นอน”
“ไม่หรอก เสด็จพ่อคงเคยชินแล้ว” องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
จู๋หลินยืนห่างออกไป ไม่อยากฟังหญิงสาวสองคนพูดหยอกล้อฮ่องเต้อย่างใจกล้า แต่ว่าคุณหนูตันจูต้องการกลับเมืองซีจิงหรือ เหตุใดจึงไม่บอกเขา เรียกขานให้เขาไปขอกำลังคนจากท่านแม่ทัพไม่ง่ายกว่าหรือ
องค์หญิงจินเหยาก็นึกถึงเรื่องนี้ หยอกล้อเฉินตันจูอย่างอารมณ์ดี “เจ้าไม่บอกว่าเสด็จพ่อข้าสู้ท่านพ่อบุญธรรมของเจ้าไม่ได้หรือ”
เฉินตันจูส่ายหัว “เรื่องนี้ไม่เหมือนกัน พ่อบุญธรรมหม่อมฉันมีความสามารถเพียงใดก็เป็นเพียงแค่ท่านแม่ทัพ แต่ฝ่าบาทไม่ใช่ หม่อมฉันจะใช้คนของฝ่าบาทไปรับพี่สาวของหม่อมฉัน เช่นนี้พี่สาวของหม่อมฉันจะยิ่งมีเกียรติ อย่างน้อยก็มีเกียรติมากกว่าหญิงสาวผู้นั้น”
องค์หญิงจินเหยาถอนหายใจเสียงเบา กอดไหล่ของนางเอาไว้ “ได้ เจ้าวางใจ ข้าไปทูลเสด็จพ่อ เจ้ารอข่าวดีของข้า”
เฉินตันจูจับมือของนาง พร้อมกับกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง
องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายังเกรงใจอันใดกับข้า”
เฉินตันจูลุกขึ้นกอดองค์หญิงจินเหยาเอาไว้ ฝังหัวลงบนไหล่ของนาง “หม่อมฉันมักคิด หม่อมฉันเฉินตันจูมีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนี้ เป็นความโชคร้าย แต่ก็เป็นความโชคดีอย่างมาก ที่สามารถรู้จักคนอย่างองค์หญิงเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาถูกนางพูดจนทั้งอยากหัวเราะทั้งอยากร้องไห้ “เจ้าทำอันใดกัน เอาเถิด เจ้าไม่ต้องพูดจาหวานหูกับข้า ข้าก็ต้องช่วยเหลือเจ้าอยู่แล้ว” พูดพลางบีบเอวของเฉินตันจู
เฉินตันจูหัวเราะพลางหลบหลีก นางจูงมือขององค์หญิงจินเหยาเดินลงเขา ยืนส่งเป็นเวลานาน จนกระทั่งมองไม่เห็นราชรถแล้ว นางก็ยังไม่เดินกลับขึ้นเขาไป หากแต่นั่งดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชาของหญิงชราขายชา
“ท่านยาย ท่านอย่างกไปหน่อยเลย ยกผลไม้อร่อยขึ้นมาให้ข้า”
“คุณหนูตันจูให้เงินหรือไม่”
“ไม่ให้ ท่านยายหาเงินได้มากมายเพียงนี้เพราะข้า เลี้ยงข้าสักมื้อจะเป็นอันใดไป”
หญิงชราขายชาถูกตื๊อจนต้องมอบผลไม้จานหนึ่งให้นาง ตนเองก็นั่งลงกินด้วย กินมากหนึ่งคำก็ขาดทุนน้อยลงหนึ่งเหรียญทองแดง
เฉินตันจูหัวเราะฟุบลงบนโต๊ะ “ท่านยาย ท่านหาเงินจนเคยชินแล้ว ต่อจากนี้หาเงินไม่ได้จะทำอย่างไร”
หญิงชราขายชาถลึงตาด้วยความโกรธ “อยู่ดีๆ เหตุใดจึงสาปแช่งข้า!”
เฉินตันจูหยิบผลไม้แห้งชิ้นหนึ่งโยนเข้าปาก พยักหน้า “แต่ว่า ถึงแม้ท่านยายไม่หาเงินก็ยังคงสามารถมีชีวิตอยู่อย่างดี”
กินดื่มเสร็จสิ้น นางยกชาอีกเหยือกขึ้นเขาไป อาเถียน เยี่ยนเอ๋อ ชุ่ยเอ๋อและอิงกูต่างไปเก็บกวาดในจวนของโจวเสวียน บนเขาจึงเหลือเพียงนางกับหญิงรับใช้อีกคน ยามค่ำคืนเงียบสงบกว่าแต่ก่อน
เฉินตันจูยืนมองรอบด้านอยู่ในลาน เงยหน้าเรียกจู๋หลิน
จู๋หลินกระโดดลงจากหลังคา
“ข้ามีคนของฝ่าบาทคุ้มกัน เจ้าไม่ต้องตามข้าไปซีจิง” นางพูด “เจ้าอยู่ในเมืองหลวง คุ้มกันจวนของข้า รวมทั้งพวกอาเถียนให้ดี อย่าให้พวกนางถูกผู้อื่นรังแก แม้จะเป็นองค์รัชทายาทก็ไม่ได้”
ผู้ใดกล้ารังแกพวกท่านกัน จู๋หลินอยากจะโต้แย้งเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ความคิดนี้แล่นแผ่นไป สุดท้ายก็ทำได้เพียงส่งเสียงตอบรับในลำคอ มองเฉินตันจูยกชาเดินเข้าไปด้านใน ทำยาต่อภายใต้แสงไฟ บนหน้าต่างสะท้อนไปด้วยเงาของคนที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น
ไม่รู้ว่าองค์หญิงจินเหยาจะโน้มน้าวฝ่าบาทได้หรือไม่ จู๋หลินลังเลว่าจะไปรายงานท่านแม่ทัพดีหรือไม่ ยังไม่รอเขาไปรายงาน วันที่สองก็มีข่าวดีส่งมา ฝ่าบาทรับปากแล้ว
“น่าเสียดาย” นางในที่องค์หญิงจินเหยาส่งมาทำหน้าเสียดาย “องค์หญิงของพวกข้าบอกว่านางยังไม่ทันได้คุกเข่าขอร้อง”
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอดอาหาร หรือกลิ้งกับพื้น
เฉินตันจูยิ้มพลางหยิบขนมสมุนไพรให้นาง “รอข้ากลับมา ไปขอบพระทัยองค์หญิง”
นางในถือขนมสมุนไพรจากไปอย่างดีใจ
เฉินตันจูเดินไปถึงเชิงเขา เห็นทหารสวมชุดเกราะสีทองยืนเรียงรายอยู่ริมทางอย่างสง่างาม ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาอกสั่นขวัญแขวน นางพยักหน้าอย่างพอใจ
“ทหารเกราะทองของพระราชวังดูมีบารมีกว่าพวกเจ้าเสียจริง” นางพูดกับจู๋หลินด้วยรอยยิ้ม
จู๋หลินทำหน้าบึ้งไม่พอใจ บารมีมีสิ่งใดน่าเทียบกัน ต้องดูว่าผู้ใดมีความสามารถมากกว่า
“จู๋หลิน เจ้าบอกท่านแม่ทัพแทนข้า” เฉินตันจูพูด “รอข้ารับพี่สาวกลับมา ข้าจะพาพี่สาวไปเข้าพบท่านแม่ทัพด้วยกัน ขอบคุณการดูแลสองปีกว่านี้ของท่านแม่ทัพ”
จู๋หลินตอบรับ แปลก เฉินตันจูมักจะบอกว่าซาบซึ้งท่านแม่ทัพอยู่เสมอ ฟังจนชินชาไปแล้ว แต่ครานี้เมื่อได้ยิน เขายังคงรู้สึกโศกเศร้าอย่างประหลาด
เฮ้อ เหมือนดั่งที่ท่านแม่ทัพพูดก่อนหน้านี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอันใดกระมัง