เมื่อได้รับพระราชทานทหารเกราะทองจากฮ่องเต้เป็นองครักษ์ เฉินตันจูรีบเดินทางทันที นางไม่ได้บอกผู้ใดว่ากำลังจะเดินทาง มีเพียงอาเถียนและจู๋หลินที่ติดตามมาส่ง ไม่ได้ประกาศไปทั่วเมือง
“โง่หรือไม่ ข้าอยู่ตรงนี้จะประกาศอันใด” เฉินตันจูเบ้ปากต่อจู๋หลิน “ข้าอยู่ตรงนี้ ถึงแม้ไม่มีทหารเกราะทอง ข้าก็ไม่โอ้อวดแล้วหรือ”
ก็จริง คุณหนูตันจูโอ้อวดเสมอมา จู๋หลินเบ้ปากอยู่ในใจ
“ใช่” อาเถียนเสริมอยู่ด้านข้างอย่างได้ใจ “คุณหนูกำลังจะไปโอ้อวดที่ซีจิง”
เอาเถิด เป็นการกระทำของคุณหนูตันจู จู๋หลินไร้คำพูด เฉินตันจูหัวเราะร่า นางจับมือของอาเถียนเอาไว้ มองใบหน้าอ่อนเยาว์ของอาเถียน กำชับเสียงเบา “เจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี”
อาเถียนถาม “คุณหนู ไม่ควรจะบอกว่าดูแลจวนของเราให้ดีหรือเจ้าคะ”
เฉินตันจูยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ ดูแลจวนของพวกเราให้ดี” นางมองไปยังจู๋หลิน “อาเถียนต้องดูแลจวนของข้าให้ดี จู๋หลิน เจ้าต้องดูแลอาเถียนให้ดี”
เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ หน้าที่ของเขาไม่ใช่ดูแลพวกนางหรือ จู๋หลินตอบรับด้วยใบหน้าเฉยชา
จู๋หลินและอาเถียนส่งเฉินตันจูจากไป จากนั้นมองดูอาเถียนร้องไห้อยู่ครึ่งวัน จากนั้นเฝ้าอยู่ที่จวนตระกูลเฉิน มองดูโจวเสวียนที่ไม่ยอมย้ายออกไปเสียที รอหลังจากนั้นสองวัน จู๋หลินจึงมารายงานเรื่องนี้กับแม่ทัพหน้ากากเหล็กด้วยตนเอง
ก่อนหน้านี้เขาให้คนไปรายงานท่านแม่ทัพแล้ว ไม่ต้องรอให้เขารายงาน แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็รู้เรื่องนี้แล้ว
“ครานี้คุณหนูตันจูรู้ประสาเพียงนี้ ไม่ได้มาหาท่านแม่ทัพ” หวังเจียนพูดหยอกล้อกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “หากแต่ให้องค์หญิงจินเหยาไปขอร้องฝ่าบาท”
เสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กเอ่ยอย่างใจลอย “เพราะว่าเป็นเรื่องเล็กที่ไม่สำคัญ”
ฮ่องเต้แสดงให้เห็นว่าต้องการพระราชทานรางวัลให้แก่คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินและบุตรชายของนาง เฉินตันจูร้องขอทหารเกราะทองคุ้มกันไปรับพี่สาวที่เมืองซีจิงจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ถือเป็นรางวัลจากฮ่องเต้เช่นเดียวกัน
หวังเจียนพูดกับจู๋หลิน “คุณหนูตันจูมีทหารเกราะทองของฮ่องเต้จึงไม่สนใจท่านแม่ทัพแล้ว ก่อนจากไปก็ไม่มาดูสักครั้ง” พูดพลางหัวเราะ มองบิดาบุญธรรมชราผู้น่าสงสารที่นั่งอยู่ด้านข้าง
จู๋หลินรีบอธิบาย “คุณหนูตันจูรีบเดินทาง บอกว่ารอรับคุณหนูใหญ่มาแล้วจะมาเข้าพบท่านแม่ทัพพร้อมกัน ขอบคุณการดูแลของท่านแม่ทัพ”
หวังเจียนหัวเราะเสียงดังขึ้น “นางต้องการให้พี่สาวของนางได้รับการดูแลจากท่านแม่ทัพเหมือนนางอย่างเห็นได้ชัด”
ถึงแม้บอกว่าฮ่องเต้จะแต่งตั้งคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฉินท่านนี้เป็นองค์หญิง แต่เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น อย่างน้อยไม่อาจเทียบกับองค์หญิงอีกท่านอย่างคุณหนูเหยาได้ คุณหนูเหยาท่านนั้นมีองค์รัชทายาทหนุนหลัง
เฉินตันจูทำได้เพียงจับท่านแม่ทัพเป็นที่พึ่งของพี่สาว
ทางเขากำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่ทางแม่ทัพหน้ากากเหล็กเงียบ ราวกับกำลังอ่านตำราตรงหน้า แต่ก็ราวกับกำลังเหม่อลอย
“ท่านแม่ทัพ ท่านคิดเรื่องใดอยู่” หวังเจียนถาม
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงยหน้าขึ้นมองจู๋หลิน “คุณหนูตันจูไปนานแค่ไหนแล้ว”
ยังกำลังคิดถึงเฉินตันจูอยู่หรือ หวังเจียนเบ้ปาก
จู๋หลินพูด “สองวันแล้ว ท่านแม่ทัพไม่ต้องกังวล อาเถียนพวกนางไม่ได้ไป กำลังวุ่นวายกับการเก็บกวาดจวน แต่ว่าคุณหนูตันจูพาหญิงรับใช้สองคนและบ่าวรับใช้สองคนไป ล้วนเป็นบ่าวรับใช้คนเก่าของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉิน”
พาบ่าวรับใช้คนเก่าที่พี่สาวคุ้นเคยไปด้วยเป็นการดีมาก สามารถทำให้คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฉินลดความหวาดกลัวต่อเมืองหลวงใหม่ไม่น้อย แม่ทัพหน้ากากเหล็กพยักหน้า เฉินตันจูเป็นหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียว คำนึงรอบคอบอย่างมากเสมอมา เขาไม่กังวล แต่…
นิ้วของเขาลูบไล้ผิวโต๊ะอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง เขายังคงรู้สึกผิดปกติ
จนกระทั่งจู๋หลินจากไป ยามราตรีมาเยือน แม่ทัพหน้ากากเหล็กยังคงอดคิดเรื่องนี้ไม่ได้
เฉินตันจูจากไปเช่นนี้? รีบร้อนเพียงนี้ ไม่บอกอะไรต่อเขา อาทิหลังจากถึงซีจิงแล้ว ขอเข้าเฝ้าองค์ชายหก โอกาสดีเช่นนี้ เฉินตันจูจะปล่อยไปได้อย่างไร
“เพราะว่านางมีทหารเกราะทองของฮ่องเต้อย่างไรเล่า” หวังเจียนเบ้ปาก “ท่านดูเถิด เมื่อเข้าซีจิง คุณหนูตันจูมีบารมียิ่งกว่าองค์ชายเสียอีก”
พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมา
“เขียนจดหมายไปถึงจวน ข้าสงสัยว่าถึงเวลาคุณหนูตันจูจะกล้าบุกจวนองค์ชายหก ต้องการพบองค์ชายหกด้วยตนเอง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “นางมีอารมณ์นั้นที่ใด…”
พูดถึงตรงนี้ก็ชะงัก
คุณหนูตันจูอารมณ์เช่นนี้ยังสามารถคำนึงเรื่องมากมายได้เพียงนี้ ขอกำลังคนจากฮ่องเต้ ขอจวนจากโจวเสวียน มีเพียงไม่ขอสิ่งใดจากเขา ดูอย่างไรก็เหมือนจงใจกีดกันเขาออก…
ด้านนอกมีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น ราวกับมีกองกำลังเข้าใกล้
“ท่านแม่ทัพ” ทหารเดินเข้ามารายงาน “ท่านโหวโจวมาขอรับ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง โจวเสวียนก็เปิดม่านกระโจมเดินเข้ามา
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ออกไป!”
โจวเสวียนไม่ได้รู้สึกโกรธ หันหลังเดินออกไปทันที จากนั้นพูดเสียงดังอยู่นอกกระโจม “ท่านแม่ทัพ โจวเสวียนขอเข้าพบ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “เข้ามา”
โจวเสวียนถึงได้เดินเข้ามา ไม่สนใจความอับอายก่อนหน้านี้ คำนับต่อแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ก่อนจะยิ้มให้หวังเจียน “หวังไต้ฟูก็อยู่หรือ มาจับชีพจรให้ข้าก่อน ข้ามักรู้สึกไม่สบายนัก”
หวังเจียนกลอกตาใส่เขา “ไม่ต้องจับชีพจร ข้าแค่เห็นท่านก็รู้ว่าท่านเป็นโรคใด อีกเดี๋ยวข้าจะต้มยาส่งไปให้ท่าน ท่านโหวอย่าลืมดื่ม”
โจวเสวียนยิ้ม “ข้าไม่กล้าดื่ม คราก่อนดื่มยาของหวังไต้ฟู ข้าถ่ายท้องไปสามวัน”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดขัดการเสียดสีของพวกเขา ถามโจวเสวียน “ไปไหนมา สี่วันไม่เห็นเงาคน”
โจวเสวียนทำท่าจะนั่งลง พลางพูด “สองวันแรกทางด้านองค์รัชทายาทมีเรื่อง ข้าช่วยองค์รัชทายาทเลือกกำลังคน องค์รัชทายาทจะส่งน้องสาวของพระชายา คุณหนูเหยากลับซีจิงไปรับบุตร สองวันนี้กำลังยุ่งเรื่องจวนให้เฉินตันจู…”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กขัดเขา “เจ้าเป็นคนของกองทัพ ไม่ใช่คนขององค์รัชทายาท ปากบอกว่าเป็นขุนนางของจักรพรรดิ อันดับแรกต้องจำได้ว่าหน้าที่ของขุนนาง เป็นเรื่องของการจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ จักรพรรดินี้คือจักรพรรดิที่ให้ตำแหน่งแก่เจ้า นอกจากฝ่าบาท ผู้อื่นไม่ใช่จักรพรรดิของเจ้า”
โจวเสวียนที่กำลังจะนั่งลงยืนตัวตรงทันที เขารีบหุบใบหน้าที่ยิ้มทะเล้น ตอบรับอย่างจริงจัง “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะทูลองค์รัชทายาท ข้าไม่ยอมรับคำสั่งของเขา”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กโบกมือ “ลงไปเถิด”
โจวเสวียนคำนับก่อนจะเดินจากไป
มองม่านกระโจมที่พลิ้วไหว ร่างของชายหนุ่มหายลับไป ด้านนอกมีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นอีกครั้ง เสียงของเกือกม้าพร้อมกับเสียงตะโกนของชายหนุ่มจากไปไกล
หวังเจียนส่งเสียงในลำคอ “อันใดคือการทูลกับองค์รัชทายาทว่าท่านแม่ทัพไม่ให้เขารับคำสั่งจากองค์รัชทายาท? เจ้าเด็กนี่ บังอาจสร้างความบาดหมางระหว่างองค์รัชทายาทกับท่านแม่ทัพ มีจิตใจอย่างไรกัน!”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “เขาบอกว่าองค์รัชทายาทให้เขา…” พูดถึงตรงนี้เสียงของเขาชะงักไป ไม่พูดสิ่งใดอีก คนก็ชะงักไปด้วย
หวังเจียนพูด “ไม่ใช่ข้าใจแคบ นับแต่ท่านออกหน้าไปหาฝ่าบาทไม่ให้พระราชทานความดีให้หลี่เหลียง บอกว่าองค์รัชทายาทแย่งชิงความดีความชอบกับท่าน องค์รัชทายาทก็แค้นท่านเข้าแล้ว องค์รัชทายาทของพวกเรานิสัยอย่างไร ผู้อื่นไม่รู้ ท่านยังเห็นไม่ชัดเจนหรือไม่ระวังเกินไป เขา…”
เขายังพูดไม่ทันจบ แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ลุกขึ้นยืน
“ไม่ใช่” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ไม่ได้กลับซีจิง หากแต่ไปสังหารคน”
หวังเจียนผงะเล็กน้อย “ผู้ใด สังหารผู้ใด”
พวกเขาไม่ได้กำลังพูดถึงองค์รัชทายาทหรือ องค์รัชทายาทจะสังหารผู้ใด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองเขา “เฉินตันจู ไม่ได้จะกลับซีจิง หากแต่จะสังหารเหยาฝู”
…
ภายในค่ายทหารน่าอึดอัดเล็กน้อย
หวังเจียนคลี่แผนที่ใบหนึ่งออกมา นิ้วของแม่ทัพหน้ากากเหล็กกวาดลงด้านบน
“โจวเสวียนก่อนหน้านี้บอกว่าเหยาฝูออกเดินทางเป็นเวลาสี่วันแล้ว” เขาพูด “เฉินตันจูช้ากว่าสองวัน นางย่อมต้องเร่งเดินทางอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อไล่ตาม”
หวังเจียนถือแผนที่ไว้ด้านหน้า พูดอย่างรีบร้อน “ไล่ตามทันแล้วอย่างไร นางกล้าสังหารเหยาฝู นางไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ คนทั้งตระกูลของนางก็อย่าหวังจะมีชีวิตอยู่”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยืนตัวตรง ส่งเสียงหัวเราะออกมาจากด้านหลังหน้ากากเหล็ก “นาง คงไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้”
เขารู้ก่อนอยู่แล้ว หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่คนใจเย็น ตอนนั้นที่นางสังหารหลี่เหลียงก็เป็นเช่นนี้ ไม่เคยคำนึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากสังหาร สิ่งที่นางจะทำมีเพียงเวลานี้ต้องการให้เจ้าตาย เจ้าย่อมต้องตาย
ครานี้นางไม่ขอร้องผู้ใดทั้งสิ้น ไม่พูดสิ่งใดทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการพูด ไม่ต้องการขอ ต้องการเพียงสังหารคนโดยตรง
พวกเจ้าต้องการแต่งตั้งคุณหนูสี่แห่งตระกูลเหยา นางก็สังหารเสีย ดูว่าพวกเจ้าจะแต่งตั้งอย่างไร
นางต้องการสังหารหญิงสาวผู้นี้เสมอมา เพียงแต่รอคอยโอกาสมาตลอด เพราะว่าคุณหนูสี่แห่งตระกูลเหยาไม่เคยออกจากพระราชวัง เวลานี้โอกาสมาถึงแล้ว นางได้โอกาสแล้ว!
คนบ้าคลั่งผู้นี้!
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยกเท้าเดินออกไปด้านนอก หวังเจียนจับเขาเอาไว้ด้วยความว่องไว “ท่านแม่ทัพจะทำอันใด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ไปช่วยนาง หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะใช้วิธีใดปลิดชีพผู้อื่น”
ตายพร้อมศัตรู วางยาพิษแก่คนอื่นก็เป็นการวางยาพิษให้ตนเอง เช่นนี้ถึงจะทำให้ผู้อื่นไม่ระแวง หวังเจียนย่อมชัดเจน อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงตอนที่เดินเข้ากระโจมของหลี่เหลียง ยาพิษคงเหลือที่ยังไม่สลายไป รวมทั้งพิษที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าและภายในดวงตาของหญิงสาว
หวังเจียนมองหน้ากากเหล็กของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก พูดอย่างระอา “ท่านจะไปได้อย่างไร มีดวงตากี่คู่จ้องมองท่านอยู่ ข้าไปเอง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่ายหัว “เจ้าไม่ได้ เจ้าไปไม่ทัน”
เฉินตันจูเดินทางไปสองวันแล้ว หากต้องการไล่ตามระยะทางสองวัน ถึงแม้หวังเจียนจะสามารถติดตามเขาออกรบได้ แต่อย่างไรเขาก็เป็นแค่ไต้ฟู การเดินทางที่เร่งรีบเช่นนี้ เขาทำไม่ได้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองด้านนอกกระโจม โคมไฟในยามราตรี เสียงคนเสียงม้าโหวกเหวก เขายื่นมือจับหน้ากากเหล็กเอาไว้ เรียกขาน “เฟิงหลิน”
ตามเสียงเรียกขานของเขา เฟินหลินเข้ามาจากด้านนอก เพิ่งยืนนิ่งก็ต้องถลึงตาโต มองแม่ทัพหน้ากากเหล็กตรงหน้าถอดหน้ากากลง เผยให้เห็นใบหน้าขาวที่งดงามอ่อนเยาว์
“ท่าน…” เฟิงหลินลิ้นพันกันในทันใด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กโบกมือ หน้ากากเหล็กตกอยู่ในมือของเฟิงหลิน ตัวของเขาเดินเข้าใกล้ ปลดชุดคลุมสีเทาบนตัวลง หลังจากที่ปลดเสื้อที่ห่อหุ้มทีละชั้นออก ตัวของเขาราวกับสูงขึ้น ผอมลงอย่างช้าๆ เขายืนอยู่ต่อหน้าเฟิงหลิน เหมือนแมลงปอที่เกิดใหม่จากดักแด้ตัวอ้วน
ใบหน้าของเขางดงาม เสียงของเขาเย็นยะเยือก “ในเมื่อทุกคนต่างจ้องมองแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เช่นนั้นก็ให้ข้าผู้ที่ทุกคนไม่รู้จักไปเถิด”