ตอนที่ 349 เจอใครก็คุกเข่า
มีนักเรียนไม่น้อยเห็นตอนที่หลินม่ายพูดคุยกับเด็กหนุ่มยากจนคนนั้นแล้ว
แต่เมื่อเห็นว่าหลินม่ายตั้งใจพาเด็กหนุ่มคนนั้นไปคุยอีกด้านหนึ่ง ก็เข้าใจว่าเธอไม่อยากให้พวกเขาได้ยินเรื่องที่คุยกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้อะไรควรไม่ควร
หลังจากหลินม่ายคุยกับเด็กหนุ่มคนนั้นจบ ทันทีที่เขาเดินเข้ามา ก็ถูกเพื่อนนักเรียนรุมล้อมทันที
นักเรียนคนหนึ่งถาม “เหมยจวิน หลินม่ายคุยอะไรกับนายเหรอ?”
ว่านฮุ่ยที่ยืนอยู่รอบนอกวงล้อมหูผึ่ง พยายามเงี่ยหูฟังคำตอบของเหมยจวิน
ใบหน้าของเหมยจวินประดับรอยยิ้มไร้เดียงสา “สหายหลินม่ายเป็นคนดีจริงๆ หล่อนบอกว่า ขอแค่ฉันตั้งใจเรียนให้เต็มที่ หล่อนจะช่วยฉันเอง”
ว่านฮุ่ยได้ยินคำพูดนั้น ก็พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ในเมื่อหลินม่ายยอมช่วยเหมยจวิน อย่างนั้นก็สามารถช่วยหล่อนได้เหมือนกันน่ะสิ
แม้แต่เหมยจวินผู้ชายคนนี้เธอยังช่วย แต่กลับไม่ช่วยหล่อนที่เป็นผู้หญิง นั่นก็หมายความว่าเธอมันไร้ยางอาย คิดจะใช้ประโยชน์การความช่วยเหลือ เพื่อที่จะได้สร้างสายสัมพันธ์กับผู้ชาย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หล่อนก็วิ่งทะยานไล่ตามหลินม่ายไป ถ้าไม่ไล่ตามไป เธอก็คงเดินหนีไปไกลแล้ว
หลินม่ายกำลังเดินไปคุยไปกับเพื่อนนักเรียนหญิงสามสี่คน ก็เห็นว่านฮุ่ยเข้ามาขวางทางของเธอเอาไว้
เพื่อนนักเรียนอีกสามสี่คนที่ไปทางเดียวกันกับเธอต่างก็หยุดฝีเท้า มีเพียงหลินม่ายคนเดียวที่เบี่ยงตัวหลบหล่อนแล้วเดินผ่านไป
ว่านฮุ่ยไล่ตามไปอีกสองสามก้าว แล้วขวางทางเธอไว้อีกครั้ง นอกจากนั้นยังคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ
หลินม่ายขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ยังคงนึกคร้านจะสนใจหล่อน และคิดจะเลี่ยงหล่อนแล้วเดินต่อไปอีกครั้ง
แต่ว่านฮุ่ยกลับกอดขาข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ พลางพูดทั้งน้ำตา “หลินม่าย ได้โปรด ช่วยฉันด้วยเถอะ ฉันอยากเรียนหนังสือ อยากเข้ามหาวิทยาลัย ฮือๆๆ…”
หลินม่ายออกแรงดึงขาของตัวเองออกมา แต่กลับดึงไม่ออก
เธอก้มหน้าลงปรายตามองว่านฮุ่ย “เธอมันร้ายกาจเกินไป ฉันไม่อยากช่วยเธอ”
น้ำเสียงของเธอค่อนข้างราบเรียบ เหมือนกำลังพูดถึงสภาพอากาศของวันนี้อย่างไรอย่างนั้น แต่กลับทำให้ว่านฮุ่ยอับอายอย่างยิ่ง
ว่านฮุ่ยหน้าแดงเถือกไปถึงหู พูดตะกุกตะกัก “หลินม่าย เธอสาดโคลนใส่กันแบบนี้ได้ยังไง?”
หล่อนว่าแล้วก็ทำท่าทางราวกับว่าได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวงก็ไม่ปาน
หลินม่ายยิ้มเย็นชา “ฉันจะสาดโคลนได้ยังไง? ถึงพี่สาวของเธอจะไม่ใช่คนเรียนเก่งมาก แต่ก็ไม่ได้เรียนแย่อย่างแน่นอน แต่เธอกลับบอกกับคนอื่นว่าหล่อนเป็นเด็กเรียนห่วย แม้แต่พี่สาวแท้ๆ ของตัวเองเธอก็ยังใส่ร้ายได้ ถ้าไม่ใช่คนจิตใจร้ายกาจแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?”
เพื่อนนักเรียนที่อยู่ตรงนั้นได้ยินคำพูดนั้น ทุกคนต่างเผยสีหน้าเหยียดหยาม ชี้นิ้วประณามว่านฮุ่ย ทำให้หล่อนร้อนรนราวกับถูกไฟเผา
แต่หล่อนกลับไม่สามารถไปไหนได้ เว้นเสียแต่จะบรรลุเป้าหมายแล้ว
หลินม่ายบรรยายโทษทัณฑ์ความผิดของหล่อนออกมาเป็นข้อๆ อย่างเย็นชาต่อไป “เธอก็ได้รับเงินบริจาคที่อาจารย์ให้เธอแล้ว แต่เธอกลับยังไม่รู้จักพอ ยังอยากจะสมัครขอรับทุนอีก เธอเห็นแก่ได้ประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้นึกถึงความนักเรียนที่ยากจนคนอื่นๆ บ้างเลย ถ้าไม่ใช่คนจิตใจร้ายกาจแล้วเป็นอะไร? เธอวิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าฉัน ไม่ใช่คิดจะบีบบังคับให้ฉันช่วยเธอหรอกเหรอ เธอนี่ช่างเอาคุณธรรมจรรยามารีดไถได้เก่งจริงเชียว!”
นักเรียนไม่น้อยเองก็ประณามว่านฮุ่ยด้วยความโมโห และยังให้หล่อนปล่อยหลินม่ายไป
แต่ว่านฮุ่ยกลับไม่ยอมปล่อยมือราวกับรากไผ่หยั่งลึกแน่นในซอกหิน ใครจะเกลี้ยกล่อมหล่อนก็ไม่ฟังทั้งนั้น
ยังคงแสร้งทำท่าทางอ่อนแอไร้หนทางน่าสงสาร แต่คำที่พูดออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยเจตนามุ่งร้าย
“ฉันไม่ได้เอาคุณธรรมจรรยามารีดไถ ฉันแค่เห็นหลินม่ายช่วยเหมยจวิน ก็เลยอยากให้เธอช่วยฉันบ้างสักนิด ถ้าหลินม่ายไม่ช่วยฉัน แล้วคนที่ไม่รู้ความเป็นจริงเขาจะคิดยังไงกัน? เห็นเธอช่วยเหมยจวินที่เป็นผู้ชายแล้ว แต่กลับไม่ช่วยฉันที่เป็นผู้หญิง จะคิดว่าเธอ‘ช่วยคน’ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์……”
เพื่อนนักเรียนที่มุงดูอยู่ฟังเจตนาในคำพูดของหล่อนออก พลันพูดขึ้นด้วยความขุ่นเคือง “ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าความคิดของเธอจะสกปรกขนาดนี้ หลินม่ายเป็นคนยังไงพวกเราต่างก็รู้ดี ถ้าเธอยังใส่ร้ายป้ายสีหล่อนอีก พวกเราจะไปฟ้องครู!”
เหมยจวินกับเหยียนเหวินเล่อและพวกเด็กผู้ชายเห็นทางฝั่งหลินม่ายเอะอะกันเสียงดังมาก ทั้งหมดจึงวิ่งเข้ามา ถามพวกหล่อนว่ากำลังทะเลาะอะไรกัน
เด็กผู้หญิงพวกนั้นต่างแย่งกันเล่นต้นสายปลายเหตุให้พวกเขาฟัง
พวกผู้ชายทั้งหมดต่างโมโหแทบทนไม่ไหว
โดยเฉพาะเหยียนเหวินเล่อ เขาเข้าไปบังคับแยกว่านฮุ่ยกับหลินม่ายออกจากกันอย่างอดไม่ได้ในทันที
ว่านฮุ่ยดื้อด้านไม่ยอมปล่อยมือ เหยียนเหวินเล่อเพียงคนเดียวจัดการกับหล่อนไม่ได้
ผู้ชายคนอื่นๆ จึงกรูกันเข้าไปช่วย ในที่สุดก็แยกว่านฮุ่ยออกมาจากขาของหลินม่าย แล้วโยนหล่อนออกไปอีกด้านหนึ่ง จนเกือบจะล้มคะมำ
เหมยจวินพูดกับว่านฮุ่ยอย่างเย็นชา “เธอบอกว่าหลินม่ายช่วยฉันด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์งั้นเหรอ? เธอรู้ไหมว่าหลินม่ายช่วยฉันยังไง?”
ว่านฮุ่ยกะพริบดวงตาเล็กๆ ของหล่อน ในใจเอ่ยต่อว่า : จะช่วยยังไงได้อีก ก็เอาเงินให้น่ะสิ หรือมันยังมีวิธีอื่นอยู่อีก?
เหมยจวินพูดต่อ “หล่อนให้ฉันทำงานเป็นคนขนของที่ตลาดสดฝูตัวตัวของหล่อนในวันหยุด คิดค่าแรงรายวันเป็นเงินค่าเทอมสามปี เธอจะทำไหมล่ะ?”
ว่านฮุ่ยตะลึงงันไปชั่วขณะ
หล่อนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ว่าหลินม่ายจะช่วยเขาแบบนี้!
สิ่งที่ทำให้หล่อนตกใจยิ่งกว่าก็คือ ตลาดสดฝูตัวตัวนั้นเป็นของหลินม่าย
ธุรกิจของตลาดสดฝูตัวตัวดีขนาดนั้น ย่อมได้กำไรไม่น้อยแน่นอน
มิน่าเล่าหลินม่ายถึงบริจาคเงินรางวัลที่สำนักการศึกษาให้เธอไปอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย
อย่างนั้นตนก็ยิ่งต้องบีบบังคับให้เธอช่วยให้ตนได้เรียนหนังสือ ถึงยังไงยัยชั้นต่ำนี่ก็รวย ทำไมถึงไม่ช่วยหล่อนกัน?
หลินม่ายหยอกล้อกับว่านฮุ่ย “ฉันเองก็จะช่วยเธอ”
ในใจว่านฮุ่ยมีความสุขอย่างมาก ยัยชั้นต่ำนี่ยังกลัวว่าตนจะก่อกวนไม่เลิก ถึงได้ยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง
ทว่า ดีใจได้ไม่ถึงสามวินาที ก็ได้ยินหลินม่ายพูดต่อ “เธอเองก็มาทำงานเป็นคนขนของที่ตลาดสดฝูตัวตัวของฉันแลกค่าเล่าเรียนสามปีด้วยสิ ตกลงไหม?”
ว่านฮุ่ยใบหน้าแดงก่ำ หลบเลี่ยงสายตาของหลินม่ายมองตรงมายังหล่อน
ให้ทำงานเป็นจับกังแบบนั้นหล่อนไม่ยอมหรอก!
หลินม่ายรออยู่สองสามนาที เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ตอบสนอง จึงพูดอย่างดูแคลน “ที่แท้เธอชอบเจอใครก็คุกเข่าบีบบังคับให้คนอื่นเขาบริจาคให้เธอ มากกว่าอาศัยลำแข้งตัวเองหาค่าเล่าเรียนสินะ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปคุกเข่าขอทานที่สถานีรถไฟเลยสิ อย่าว่าแต่ค่าเทอมสามปีเลย ต่อให้เป็นเงินทั้งชีวิตเธอก็ได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องเหนื่อยเลย!”
เหล่านักเรียนเองก็พากันเย้ยหยันว่านฮุ่ย
“เคยเห็นคนหน้าไม่อายมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายขนาดนี้ ไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกลทำทุกอย่างเพื่อบังคับให้คนอื่นบริจาคเงินให้!”
“จะอ้าปากปิดปากก็มีแต่ตัวเองน่าสงสาร ไม่มีเงินเรียนหนังสือ ให้โอกาสหาเงินค่าเล่าเรียนแล้ว หล่อนกลับไม่เอา!”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดกันอย่างเมามัน ก็มีนักเรียนผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมนำเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปรายงานอาจารย์เหวยเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้อาจารย์เหวยจึงรีบเดินเข้ามา
เขามองว่านฮุ่ยที่เพิ่งผุดลุกขึ้นอย่างพื้น คำตำหนิติติงจุกอยู่ที่ลำคอ ไม่อาจพูดออกมาได้เพราะรู้สึกผิดหวังมากเกินไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงพูดขึ้น “ชีวิตของคนเราน่ะ ยังมีหนทางอีกยาวไกล เธอต้องพึ่งพาตัวของเธอเอง”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับไปที่ห้องทำงาน
ปลูกฝังคนต้องปลูกฝังคุณธรรมเป็นสิ่งแรก
อุปนิสัยนี้ของว่านฮุ่ย หากไม่เปลี่ยนแปลง ต่อให้ในอนาคตจะประสบความสำเร็จในการเรียนมากแค่ไหน แต่ต่อประเทศชาติต่อสังคมนั้น คงไม่ได้สร้างคุณูปการมากนัก
อาจารย์เหวยนึกเสียใจที่ช่วยหล่อนไป นักเรียนที่ความประพฤติเลวร้ายแบบนี้ไม่ควรค่าให้ช่วยเหลือ
พวกนักเรียนเองก็ชำเลืองมองว่านฮุ่ยอย่างเหยียดหยาม แล้วจึงเดินจากไปทั้งหมด
ขณะกินอาหารเที่ยง ฟางจั๋วหรานก็ถามหลินม่ายว่าได้รับใบแจ้งรับเข้าเรียนแล้วหรือยัง
“ได้มาแล้วล่ะค่ะ” หลินม่ายวางตะเกียบลง แล้วหยิบใบแจ้งรับเข้าเรียนของโรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยผู่จี้มาให้เขาดู
เจ้าตัวน้อยเองก็เข้ามาดูด้วย
ฟางจั๋วหรานดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “เรียบง่ายมากจริงๆ อีกเดี๋ยวต่อไปพอคุณสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงเต่าหรือปักกิ่งได้แล้ว คุณจะรู้ว่าใบแจ้งรับเข้าเรียนมันสร้างสรรค์และละเอียดอ่อนได้ขนาดไหน”
หลินม่ายพูดกลั้วหัวเราะ “เพื่อใบแจ้งรับเข้าเรียนที่สวยงามและสร้างสรรค์ใบนั้น ฉันจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงเต้าหรือว่าปักกิ่งให้ได้เลย”
หลังกินข้าวเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็เก็บถ้วยชามไปล้างแล้วจึงไป
หลินม่ายนอนกลางวันไปงีบหนึ่งแล้วตื่นมาส่งโต้วโต้วไปบ้านป้าติง
โต้วโต้วยังหลับไม่เต็มตื่น จึงไปที่บ้านป้าติงกับหลินม่ายด้วยอาการสะลึมสะลือ
หล่อนถามพลางทำหน้ามุ่ย “แม่คะ ทำไมถึงไปบ้านป้าติงเร็วขนาดนี้ล่ะคะ?”
แม้ว่าหล่อนเพิ่งมีอายุสามขวบ แต่เพราะหลินม่ายให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ในระยะแรก จึงสอนให้หล่อนรู้จักการดูนาฬิกาแล้ว
เมื่อครู่นี้ตอนที่ออกจากบ้าน หล่อนเห็นตำแหน่งของเข็มนาทีและชั่วโมงของนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังในห้องนั่งเล่นแล้ว ว่าเพิ่งจะเลยบ่ายโมงมาไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
หลินม่ายอธิบาย “แม่ต้องไปโรงงาน ไปให้กำลังใจป้าเถาของหนูไง”
ตอนบ่ายเถาจืออวิ๋นต้องทำการหย่ากับหม่าเถา เธอจะต้องอยู่ในสถานการณ์ด้วย เพราะกลัวว่าเถาจืออวิ๋นจะถูกหม่าเถาลอบกัดเข้า
สมองของเจ้าตัวน้อยยังไม่ตื่นเต็มที่ จึงเพียงขานรับ แล้วจึงไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
ไม่อย่างนั้นหลินม่ายคงต้องอธิบายว่าอะไรคือการไปให้กำลังใจให้เธอฟังอีก
เมื่อมาถึงบ้านป้าติง หลินม่ายก็ส่งโต้วโต้วให้ป้าติง แล้วบอกว่าตอนบ่ายจะมารับโต้วโต้วล่วงหน้า
ป้าติงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องรีบร้อนมารับโต้วโต้วหรอกจ้ะ เรื่องงานของหนูสำคัญกว่า”
เมื่อหลินม่ายมาถึงโรงงานเสื้อผ้า เถาจืออวิ๋นก็มาถึงอยู่ก่อนแล้ว หล่อนสวมชุดกระโปรงสีแดงกุหลาบ ม้วนผมมาอย่างประณีต แต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามอย่างมาก
หลินม่ายเห็นหล่อนแล้วก็พูดหยอกล้อขึ้นมา “แต่งตัวสวยจริงๆ เลย ใครไม่รู้คงนึกว่าพี่จะไปขอจดทะเบียนสมรสที่สำนักกิจการพลเรือนแล้วล่ะค่ะ”
เถาจืออวิ๋นยิ้มอย่างเขินอาย “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับฉันแล้วก็คือชีวิตใหม่ แน่นอนว่าต้องแต่งตัวสวยๆ เป็นการฉลองสักหน่อยสิ”
จากนั้นจึงถามกลับ “เธอมาได้ยังไงกัน? ไม่เรียนด้วยตัวเองที่บ้านเหรอ?”
“ก็มาหย่าเป็นเพื่อนพี่ไม่ใช่หรือไงล่ะคะ?” หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม
ในใจเถาจืออวิ๋นรู้สึกซาบซึ้งจนอยากร้องไห้ หล่อนตบไหล่หลินม่าย ความซาบซึ้งทั้งหมดได้รวมอยู่ในฝ่ามืออันแผ่วเบานั้นแล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อนาคตหล่อนไปได้ไม่ไกลหรอกว่านฮุ่ย หล่อนจะใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นเกลียดหล่อนกันทั้งชั้นจนกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ยังไงก่อน
ขอให้จืออวิ๋นหย่าได้ราบรื่นนะคะ แต่งตัวสวยมารอแล้วอย่าให้เสียเปล่า
ไหหม่า(海馬)