เมื่อตระหนักได้ถึงความเป็นจริง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็หมดเรี่ยวแรงทรุดตัวลงกับพื้น
มันเป็นฉากจบที่นางคาดไม่ถึงเลยแม้แต่นิดเดียว
ท่านแม่คาดการณ์ผิดทั้งหมด
ไม่มีใครมีอิทธิพลต่อองค์ชาย
แม้ว่าอวิ๋นปี้ลั่วจะอยู่ที่นี่ สถานการณ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
มู่หรงฉางเฟิงเองก็ยังไม่สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ได้เช่นกัน มันเหมือนกับเขาเพิ่งจะเห็นแผนการใหญ่ที่พวกเขาเตรียมการมาตลอดหลายปีพังลงไปในชั่วพริบตา
ทั้งท่านพ่อและท่านป้าของเขา พวกเขาทั้งสองคนประเมินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ต่ำเกินไป…
อวิ๋นปี้ลั่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดริมฝีปากบางของตน พร้อมกับมองไปทางเงาทมิฬที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เวลานี้เงาทมิฬไม่กล้าอ้าปากแม้แต่นิดเดียว
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ก็ใช่ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะยอมให้อภัยเขาได้ง่ายๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้มือตบหน้าเงาทมิฬเบาๆ ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาและชั่วร้าย ”เงาทมิฬ เจ้าอยู่ข้างกายข้ามานานเพียงใดแล้วหรือ เจ้าเพิ่งทำภารกิจที่ข้ามอบหมายให้ล้มเหลวไปหมาดๆ แล้วข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร เจ้าต้องมารายงานให้ข้ารู้ทันทีที่มีใครพบกับพระชายา แล้วทำไมครั้งนี้ถึงกลายเป็นข้อยกเว้นไปได้ ดูท่าว่าวิธีการที่ข้าใช้คงไม่เหมาะสมกระมัง”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เงาทมิฬก็หน้าซีด ”ฝ่าบาทฟังกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะว่าแม่นางอวิ๋นไปพบกับพระชายามา…”
“เช่นนั้นเจ้ารู้อะไร” ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็บีบคอเขา องครักษ์เงาทุกนายต่างตกใจกับพละกำลังและความเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เงาทมิฬรู้สึกทรมานยิ่งนัก แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าตนทำตัวโอหังเกินไป ”ฝ่าบาท ทุกอย่างเป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
“เงาทมิฬ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปล่อยมือ แล้วพูดกับเงาทมิฬอย่างไร้อารมณ์ว่า ”ข้าจะมอบโอกาสครั้งสุดท้ายให้เจ้าจัดการกับเรื่องนี้ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าทุกคนจะได้ไปอยู่ใต้ดิน และไม่ต้องแม้แต่จะคิดว่าจะได้ออกมาจากที่นั่นอีกเลยตลอดชีวิต”
หลังจากสิ้นคำนั้น ไม่ใช่แค่องครักษ์เงา แต่กระทั่งเหล่าองครักษ์ของวังปีศาจก็ยังพลอยหน้าถอดสีไปด้วย!
ทุกคนก้มหน้าลง ไม่กล้าเสียมารยาทต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกเป็นครั้งที่สอง!
เวลานั้นอวิ๋นปี้ลั่วกำลังมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เดินผ่านนางไปอย่างไม่ไยดี ทันใดนั้นนางก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา
“องค์ชาย ถ้าหากท่านไม่ชอบให้หม่อมฉันไปรบกวนแม่นางเวยเวย เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไม่ทำอีกเพคะ หากหม่อมฉันรู้ว่าการรู้จักกับนางจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย หม่อมฉันก็คงไม่ทำเช่นนั้นลงไปตั้งแต่แรก”
ขณะที่พูด อวิ๋นปี้ลั่วก็พยายามคว้าแขนเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตาคู่งามของนางส่องแสงวาววับเป็นประกาย แสดงความเสียใจและความอ่อนแอออกมาให้เห็นอย่างไม่คิดที่จะปิดบัง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดเดิน พลางเคลื่อนสายตาไปมองนางอย่างสงบ แล้วพูดอย่างไม่สนใจว่า ”เช่นนั้นก็ไปให้พ้นจากสายตาข้า อย่าได้เอาเล่ห์เหลี่ยมของเจ้ามาใช้ต่อหน้าข้าอีก”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น อวิ๋นปี้ลั่วก็ยิ่งหน้าซีด แม้น้ำเสียงของเขาจะนุ่มนวล แต่นางก็ไม่สามารถทนเห็นสายตาอันเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งของเขาได้ นางแก้ตัวอย่างขลาดๆ ว่า ”หม่อมฉันเพียงแค่อยากพบ…”
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่มีความคิดที่จะพูดคุยกับนางเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงโปร่งของเขาเพียงเดินผ่านนางไปเสียเฉยๆ…
อวิ๋นปี้ลั่วหลุดสะอื้นออกมาราวกับนางได้รับความไม่ยุติธรรม ใบหน้าเล็กๆ ซีดขาวและบอบบางนั้นสามารถดึงดูดความสงสารจากคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
แม้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะขยับตัวไม่ได้ แต่นางก็ยังคงได้ยินเสียงพวกนั้นอย่างชัดเจน นางเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับจ้องมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังเดินเข้ามาหานาง นางไม่ได้กล่าวอะไร เพราะนางกำลังปวดท้องอย่างแสนสาหัส
ตลอดระยะเวลาที่เกิดขึ้นนี้นางรู้สึกเจ็บปวดมากเสียจนคิดได้เพียงคำถามเดียวว่า
เหตุการณ์ที่องค์ชายสามทำลงไปในวันนี้ เขาทำเพื่อแก้แค้นแทนนางหรือ
อาจจะเป็นไปได้
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินคำพูดมากมายจากปากของเขา
คำพูดแต่ละประโยคของเขานั้นเจ็บยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่นางจะสามารถสร้างได้ด้วยมือของนางเสียอีก
อย่างน้อยนางก็ไม่สามารถทำให้ใครสักคนร้องไห้ได้ด้วยคำพูด
แต่… อวิ๋นปี้ลั่วไม่ได้เป็นคนที่เขายกให้เป็นที่หนึ่งในใจหรือ
หรือมันคือความเกลียดชังที่เกิดจากความรัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง
“เงาทมิฬ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสาวเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาออกคำสั่งกับชายที่อยู่ข้างตัวทั้งที่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่นาง ”จัดการกับเรื่องที่จะตามมาหลังจากนี้ซะ ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือกับพระชายาอยู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ปรึกษาหารือหรือ ปรึกษาหารืออะไรกัน
“เจ้ากล้าพอที่จะมาพบกับข้า และยังกล้าที่จะแยกทางจากข้าด้วย แต่ตอนนี้เจ้ากลับไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าข้าหรือ” เสียงของชายหนุ่มดังก้องขึ้นที่หูของนาง
ในใจนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าการเคลื่อนไหวของนางต้องถูกจำกัดเอาไว้ด้วยคาถาตรึงร่างอย่างแน่นอน ดังนั้นนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางไม่สามารถขยับตัวได้ และไม่ได้เกี่ยวกับความกล้าหาญเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเคยบอกเจ้ามาก่อนหรือเปล่าว่าสมองเล็กๆ ของเจ้ามันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง” ในน้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแฝงไปด้วยคำพูดเสียดสี
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงส่งเสียงตอบรับเขาเบาๆ ในลำคอ อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาล้อเลียนสติปัญญาของนาง
“ตอนที่มีคนพยายามขโมยผู้ชายของเจ้าไป ท่าทางที่แข็งแกร่งและกล้าหาญของเจ้าหายไปไหนหมด” เวลานี้น้ำเสียงอันสง่างามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังดูแปลกไปเล็กน้อย
ผู้ชายของนางหรือ
“เจ้ามีชื่อเสียงเรื่องความโอหังอวดดี และความสามารถในการโค่นล้มศัตรูทั่วทั้งโลกมิใช่หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกมาเชยคางของนางขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าเวลานี้เป็นเวลาที่นางควรจะมีความมั่นใจในตัวเองที่สุด นางจึงตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า ”ทั้งหมดนั่นมันก็เป็นแค่ชื่อที่คนอื่นตั้งให้ข้า”
ทันทีที่นางพูดจบ นางก็รู้สึกว่าสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเย็นชายิ่งขึ้น
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเสริมว่า ”ความจริงข้าก็เป็นอย่างนั้น แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีวันยอมให้ใครมาขโมยเอาของที่เป็นของข้าไปเด็ดขาด และข้าก็ได้เอาคืนนางไปแล้ว แม่นางอวิ๋นไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีเท่าใดนักตอนที่นางต้องรับมือกับข้า”
อย่างไรนางก็ต้องพูดความจริงออกไปอยู่ดี ดังนั้นนางจึงว่าเช่นนั้น
ใครจะรู้ว่าหลังจากที่ได้ยินคำตอบของนาง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับหัวเราะออกมาแทนที่จะโกรธ จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า ”ถ้ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก สิ่งเดียวที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือเปิดเผยฐานะของตน จำเอาไว้ว่าเจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ไม่ใช่ใครอื่น”
ระหว่างที่พูดเช่นนั้น สายตาของเขาก็ค่อยๆ กวาดมองฝูงชน
เมื่อครู่ที่ผ่านมาพวกเขาได้เห็นวิธีการที่คนเขาเล่าลือกันขององค์ชายสามแล้ว
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่คนเดียว
เงาทมิฬอยู่ต่อเพื่อจัดการเรื่องที่ตามมา ดังนั้นคนที่เหลือจึงทำตัวอยู่ในระเบียบกันอย่างผิดปกติ
ชิงจ้านยืนอยู่ข้างๆ ตลอดระยะเวลานั้น ภายในใจของนางไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากความประหลาดใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นองค์ชายยืนหยัดเพื่อปกป้องใครสักคนต่อหน้าสาธารณชน
ยิ่งกว่านั้นยังดูเหมือนว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อช่วยพระชายาโดยเฉพาะอีกด้วย
และแล้วในที่สุดตอนนี้บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ในสำนักก็ยอมทำตัวดีๆ กันได้เสียที
อีกด้านหนึ่งนั้น บรรดาอาจารย์จากทุกหอพักต่างก็ต้องการเข้าพบกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นการส่วนตัว
แต่ทุกคนก็ถูกเงาทมิฬปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่า ”ฝ่าบาทชอบความสงบในเวลานี้มากกว่าขอรับ ดังนั้นขอให้พวกท่านจัดการทดสอบตามปกติต่อได้เลย”
ตอนนั้นนั่นเองพวกเขาถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าการทดสอบอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังคงดำเนินอยู่
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยที่สามารถอัญเชิญเทพมังกรมาได้นั้นเป็นผู้ชนะในครั้งนี้
เทพมังกรบินอยู่เหนือหอสามัญ ดวงตาของมันดูมีเลศนัย
ไม่รู้ด้วยเหตุผลอันใด แต่มันรู้สึกมาตลอดว่าผู้ชายที่อยู่ในห้องนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
ความรู้สึกคุ้นเคยนี้กวนใจมันมากทีเดียว…
แต่มันก็รู้ว่าหากมันยังคงบินไปบินมาอยู่อย่างนี้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ดังนั้นมันจึงบินกลับลงไปที่ก้นทะเลสาบก่อน และรอจนกว่าฝูงชนจะสลายตัวไป
หลังจากถูกจองจำเอาไว้เป็นเวลานาน มันเองก็จำเป็นต้องฟื้นคืนพลังเช่นกัน…
ภายในห้องนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยยึดผ้าห่มเอาไว้แน่น บนหน้าผากของนางมีเหงื่อซึมชื้น นางเงยหน้ามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ต้อนนางจนจนมุมอย่างไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว…
“บอกข้ามาสิ ว่าทำไมถึงต้องการยุติสัญญา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามเสียงเบา ในน้ำเสียงเย็นชานั้นฟังดูคล้ายประชดประชันอยู่เล็กน้อย ”หากเจ้าคิดที่จะไปจากข้าถึงเพียงนั้นละก็ อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะมีเหตุผลดีๆ สักข้อสิจริงไหม”