เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองแขนข้างซ้ายของตัวเองที่ถูกเขากดเอาไว้ให้อยู่กับที่ ”ถ้าเหตุผลของข้าดีพอ ท่านจะปล่อยข้าหรือเปล่า”
“เจ้าคิดที่จะไปจากข้าจริงๆ สินะ” ทันใดนั้นดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดูลุ่มลึกขึ้นอย่างกะทันหัน เพียงแค่มองความลึกล้ำที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมา นางเผลอหลบตาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโดยไม่ตั้งใจ
“มองหน้าข้า แล้วบอกข้ามาว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”
ในน้ำเสียงของเขาฟังดูคล้ายกำลังข่มกลั้นความไม่พอใจอยู่ แต่มือที่อยู่รอบเอวของนางกลับเพิ่มแรงขึ้นอีก!
การออกแรงของเขานั้นรุนแรงเสียจนทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่ช่วงเอว นางอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ แล้วตอบอย่างไร้อารมณ์ว่า ”ข้ายอมรับว่าข้าคิดที่จะไปจากท่านจริง เพราะข้าไม่มั่นใจว่าสัญญาที่ท่านลงชื่อไปนั้น ท่านทำเพียงเพราะต้องการให้อดีตฮ่องเต้พอใจ หรือเพียงเพราะท่านต้องการใช้ข้าเพื่อเป็นโล่ให้อวิ๋นปี้ลั่วกันแน่ ถ้ามันเป็นข้อแรกข้าก็พอจะเข้าใจ แต่ถ้ามันเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นข้าก็คงจำเป็นต้องทบทวนอนาคตของข้าใหม่ และหาหนทางอื่นให้กับตัวของข้าเอง”
“เจ้าไม่ใช่โล่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลง แล้วจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตาสีดำขลับของนาง อารมณ์ของเขาผสมกันจนยุ่งเหยิง แต่เขาก็ไม่ได้ปิดบังมันจากเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เจ้าเป็นเหยื่อของข้า เป็นเหยื่อที่ดึงดูดใจข้าที่สุด”
เฮ่อเหลียนเวยเวยปวดหัวตุบๆ นางลูบท้องของตัวเอง ”อืม เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว” เขาจับนางล่ามไว้ตามใจตัวเองแบบนั้น มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาเห็นนางเป็นเหยื่อของตัวเอง อีกอย่างหนึ่ง แรกเริ่มเดิมทีผู้ชายคนนี้ก็ปฏิบัติต่อนางเหมือนเขากำลังตามล่านางอยู่ และต้องการจะเอาตัวนางมาให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม
“เหยื่อของข้าจำเป็นต้องเป็นโล่ของใครด้วยหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามอย่างสุภาพ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับพูดไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่จู่ๆ ก็ทำตัวมีมารยาทขึ้นมา
แต่มันก็อยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ตอนนั้นนั่นเองที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจับสังเกตสิ่งหนึ่งได้ นางจ้องไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตาไม่กะพริบ ”ท่านมีเหยื่อกี่ตัวหรือ องค์ชาย”
“สอง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกว่านางกำลังพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่อง ดังนั้นเขาจึงนิ่วหน้าระหว่างตอบคำถามนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยถามต่อ ในดวงตาของนางมีความสับสนเล็กน้อย ”หนึ่งคือข้า ส่วนอีกหนึ่งก็คือกิเลนอัคคีหรือ”
“ใช่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกริมฝีปากบางของเขาขึ้นราวกับจะยิ้ม แต่ก็ไม่ยิ้ม ”เจ้าพยายามยกเรื่องนี้มาพูดในเวลานี้เพราะจะได้ไม่ต้องถูกข้าลงโทษหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงมองเขาต่อไป จนกระทั่งริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมาเป็นเส้นตรง
จากนั้นนางจึงถามอีกครั้งว่า ”แล้วอวิ๋นปี้ลั่วล่ะ ทำไมท่านไม่เก็บนางไว้เป็นเหยื่อด้วย”
“เจ้าคิดว่าทุกคนจะสามารถเป็นเหยื่อของข้าได้หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง เขาไม่พอใจที่นางเอาแต่ถามวนเวียนอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นางก็ชะงักไปในทันใด
นางจินตนาการถึงสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ เอาไว้มากมายก็จริง
แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปได้
นอกจากกิเลนอัคคีแล้ว ก็มีแค่นาง...
“ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ท่านไม่เคยชอบใครมาก่อนใช่ไหม” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามขึ้นมาอีกหนึ่งคำถาม นางรู้สึกอ่อนล้าไปทั้งร่าง
ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็อ้าปาก เขาตอบด้วยน้ำเสียงติดจะเย้ยหยันว่า ”ชอบหรือ ไม่เคย”
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมสติปัญญาทางอารมณ์ของท่านจึงได้ต่ำถึงเพียงนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดูเหมือนว่านางจะได้ล่วงรู้ความลับที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว
มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว เพราะองค์ชายปฏิบัติต่อนางแตกต่างไปจากคนอื่นอยู่เล็กน้อย
แม้ว่าการคิดเช่นนั้นจะดูเหมือนหลงตัวเอง แต่นางก็นึกออกเพียงแค่แบบนี้เท่านั้น
ก่อนหน้านี้เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีของฆาตกรต่อเนื่องที่มีอาการทางจิตอยู่ครั้งหนึ่ง ฆาตกรคนที่ว่านั่นจะเห็นคนที่ตัวเองชื่นชอบเป็นเหยื่อของตัวเองทุกราย
แน่นอนว่านางไม่ได้หมายความว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องแต่อย่างใด
ไม่สิ หลังจากคิดดูให้ดีอีกที เขาดูมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้นมากทีเดียว!
อย่างไรก็ตาม…
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ใบหน้าของนางก็เห่อร้อนขึ้นมา นางกระแอม แล้วเอ่ยว่า ”ข้าเคยได้ยินมาว่าท่านปฏิบัติต่ออวิ๋นปี้ลั่วแตกต่างจากคนอื่นมาตั้งแต่ยังเด็กแล้วมิใช่หรือ ทำไมท่านไม่เก็บนางไว้เป็นเหยื่อล่ะ”
“นางเป็นสาวใช้ที่เสด็จแม่ของข้าจัดหามาให้” ตอนแรกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเพียงสั้นๆ แต่จากนั้นเขาก็พูดต่ออย่างไม่ใส่ใจว่า ”ยิ่งกว่านั้น สมัยเด็กข้าก็ไม่ใช่คนที่ชอบเก็บเหยื่อเอาไว้ ข้าสนใจเพียงแค่การเข่นฆ่าผู้คนเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : … องค์ชาย ท่านเติบโตมาแบบไหนกัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่พูดอะไร เขาจึงคิดว่านางรู้สึกละอายกับสิ่งที่เขาทำ รอยยิ้มของเขาจึงเย็นชาขึ้นไปอีก ”ทำไม เจ้ารู้สึกอึดอัดใจหลังจากรู้เรื่องทั้งหมดเข้าหรือ”
“เปล่า” หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยให้คำตอบกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางก็นึกถึงถังเส่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คงไม่มีใครอยากเรียนการฆ่าคนตั้งแต่อายุยังน้อยเว้นเสียแต่ว่าจะไม่มีทางเลือก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กล่าวเสริมว่า ”ข้ารู้ว่าวังหลวงไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ท่านก็เพียงแค่พยายามปกป้องตัวเองเท่านั้น”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยัดตัวขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะใด แต่เป็นเพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังลูบศีรษะของเขาขณะที่พูดเช่นนั้นไปด้วย
เหยื่อที่เขาหมายตาเอาไว้น่าสนใจมากจริงๆ
มันน่าสนใจเสียจนเขาไม่อยากปล่อยนางไปอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนกันว่าวิธีปลอบใจคนของนางนั้นมันตรงไปตรงมาเกินไป และคงไม่เหมาะกับคนอย่างองค์ชาย แต่นางลงมือไปแล้ว และในเวลานี้ก็คงไม่สามารถชักมือของตัวเองกลับมาได้อีก และอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้นางปวดท้องจนหน้าซีดไปหมดแล้ว ”อันที่จริง ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย”
“เจ้ารู้สึกเจ็บร่างกายตรงส่วนไหน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามพลางขยับนิ้วมือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเขาเอาไว้ทันที ”ท่านไม่จำเป็นต้องปล่อยข้าก็ได้ แต่ข้าคงต้องบอกท่านว่าชุดของข้าอาจจะเปื้อนเพราะระดู”
แม้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไม่สนใจไยดีความทุกข์ของผู้คนขนาดไหน แต่เขาก็รู้ว่าระดูคืออะไร เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วลุกขึ้นจากเตียง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ปลดโซ่ให้นางก่อนจะออกไปจริงๆ
นางเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะขัดขืนเหมือนกัน โดยเฉพาะหลังจากการทำความเข้าใจกับความคิดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
หากนางมัวแต่ขัดขืน ก็รังแต่จะเสียพลังงานไปอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น
ถึงแม้ว่านางอยากจะบอกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใจจะขาดว่านางเป็นมนุษย์ และเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภทกับกิเลนอัคคี แต่นางเดาว่าต่อให้นางแสดงความคิดเห็นออกไป องค์ชายก็คงไม่เข้าใจนางอยู่ดี
ดังนั้นการได้นอนหลับพักผ่อนดีๆ สักงีบแทนนั้นจึงดูเป็นสิ่งที่น่าจะเป็นจริงได้มากกว่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยตะแคงตัว แล้วใช้มือกุมท้องน้อยของตัวเองเอาไว้ นางค่อนข้างรู้สึกแย่ทีเดียว บนหน้าผากของนางมีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมา แต่นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ
นางตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ชิงจ้านเข้ามาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับนาง
หลังจากนั้น นางก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกเป็นพักๆ แม้อยากจะให้พวกเขาลดเสียงลง แต่นางก็เหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา
ปล่อยไว้อย่างนั้นก็แล้วกัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมไม่ได้ผลุนผลันออกไปโดยไร้จุดหมาย เขาตรงไปเรียกตัวหมอหลวงจากวังหลวงมาทันที
หมอหลวงเคยเห็นคนป่วยมามากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเรียกตัวมาเพราะเรื่องระดู เขารู้สึกเขินอายเกินกว่าจะจับชีพจรของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงทำเพียงบอกกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างนอบน้อมว่า ”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ เมื่อใดที่ผู้หญิงมีระดูและมีอาการหวัดร่วมด้วย นางก็ย่อมรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวด้วยกันทั้งนั้น ท่าน…”
“นางกำลังทรมาน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขัดคำพูดของหมอหลวงด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
เพียงแค่มองสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่จ้องมา หมอหลวงก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงหนังศีรษะ เขายกมือขึ้นถูหน้าผากตัวเอง ”เอ่อ… ก็คงปฏิเสธไม่ได้พ่ะย่ะค่ะว่าบางคนอาจจะมีอาการปวดรุนแรงกว่าคนอื่น”
“มีหนทางรักษาหรือไม่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น กลายเป็นบรรยากาศกดดันอันแสนหนักอึ้ง
หมอหลวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ”เด็กสาวคนนี้อาจจะรู้สึกดีขึ้นหากนางได้ดื่มน้ำขิงต้มน้ำตาลพ่ะย่ะค่ะ”
“อาจจะหรือ” เห็นได้ชัดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่พอใจกับคำตอบของเขา ”สั่งยาที่สามารถกำจัดต้นตอของอาการปวดนั้นให้นางซะ”
ยาที่สามารถกำจัดต้นตอของอาการปวดได้หรือ หมอหลวงรู้สึกลำบากใจ ”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ไม่มียาขนานใดสามารถรักษาความเจ็บปวดนั้นได้อย่างถาวรพ่ะย่ะค่ะ” ในศาสตร์การแพทย์เองก็ไม่เคยมีการบันทึกถึงตัวยาที่สามารถรักษาอาการปวดจากระดูได้อย่างฉับพลันเอาไว้เช่นกัน