หู่พั่วยังไม่ทันได้กลับมารายงาน สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาแล้ว
หู่พั่วเดินตามหลังเขามา แม้จะพยายามปกปิด แต่ท่าทางยังคงเต็มไปด้วยความกังวล
สืออีเหนียงแอบสงสัยอยู่ในใจ ไท่ฮูหยินเห็นว่าหู่พั่วเป็นสาวใช้ของสืออีเหนียงจึงไม่มีข้อสงสัยใดๆ นางยิ้มทักทายบุตรชาย “มาแล้วหรือ!” กำชับหู่พั่ว “ไปบอกบรรดาป้ารับใช้ให้นำสำรับมาวาง”
ทุกคนเดินห้อมล้อมไท่ฮูหยินไปทานข้าวเย็น
สืออีเหนียงยิ้มพลางรอให้คนอื่นออกไปก่อน ส่วนตัวเองอยู่ด้านหลังสุด
หู่พั่วรู้ความหมายของนาง จึงก้าวมาข้างหน้าสองก้าวแล้วพูดอย่างรวดเร็วว่า “ตอนที่บ่าวไปถึงฝ่าบาทกำลังสนทนากับท่านโหวอยู่ในห้องหนังสือ บ่าวถูกทหารรักษาพระองค์กักตัวไว้ที่ห้องปีก จึงบอกไปว่ามาเชิญท่านโหวไปทานข้าวเจ้าค่ะ”
ฮ่องเต้เสด็จมาเยี่ยมอย่างกะทันหัน จะเกี่ยวข้องกับคำพูดของหลี่ฮูหยินหรือไม่
สืออีเหนียงรู้สึกหวาดกลัว พยักหน้าให้หู่พั่วเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิ้มแล้วเดินไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก
เมื่อกลับมาที่เรือนนางก็ยืนอยู่ข้างหน้าเตียงเตา สำรวจมองสวีลิ่งอี๋ที่กำลังดื่มชาอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
สวีลิ่งอี๋รู้สึกประหลาดใจ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีอะไร ฝ่าบาทเพียงแค่อยากมาเยี่ยมข้าอย่างกะทันหัน เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” เขาพูดด้วยท่าทางสบายๆ
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนี้” สืออีเหนียงยิ้มพลางมองสวีลิ่งอี๋ “ข้าแค่รู้สึกว่าท่านโหวดูสงบมาก ทำไมข้าถึงมองไม่ออกว่าท่านโหวเคยเจอกับโจรตอนที่อยู่ซานตง”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่หลี่ฮูหยินมาเยี่ยมให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ยิ่งฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิม พูดอย่างช้าๆ ว่า “หลี่ฮูหยินมาห้าเจ้า ให้ข้าไปคุยกับเหลียงเก๋อเหล่าเพื่อแนะนำให้ผู้บัญชาการหลี่เป็นผู้บัญชาทหารที่ฝูเจี้ยนหรือ”
“ฟังจากคำพูดของหลี่ฮูหยิน คาดว่าคงหมายความเช่นนี้!” สืออีเหนียงครุ่นคิด
สวีลิ่งอี๋ใช้นิ้วโป้งลูบปากถ้วยชา เงียบไปครู่ใหญ่
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงเห็นว่าสีหน้าของเขายังคงดูผ่อนคลาย จึงอดถามไม่ได้ว่า “ตอนนั้นท่านได้เจอกับโจรจริงๆ หรือเจ้าคะ”
คำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง
สวีลิ่งอี๋ตกใจมาก
เขาเงยหน้ามองนาง พูดพึมพำว่า “แน่นอนว่าพูดได้เพียงแค่ว่าได้เจอกับโจร!”
สืออีเหนียงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ใบหน้าของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความตกตะลึง
สืออีเหนียงกล้ากว่าที่เขาคิด!
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังคำพูดของสวีลิ่งอี๋ ในใจกลับคิดว่า พูดอีกอย่างก็คือนั่นไม่ใช่โจร!
นางนึกถึงการหายตัวไปของจิ้งไห่โหวซื่อจื่อ อยากจะซักถามเพิ่มเติม แต่พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญเกินไป แทนที่จะป่าวประกาศออกมาไม่สู้เก็บไว้ในใจจะดีกว่า จะว่าไปก็ไม่สำคัญว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนทำหรือไม่ ที่สำคัญคือฮ่องเต้มองปัญหานี้อย่างไร
“ฝ่าบาทเสด็จมา” สีหน้าของนางค่อยๆ เคร่งขรึม “ได้พูดเรื่องการหายตัวไปของจิ้งไห่โหวซื่อจื่อหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สกุลโอวกล้าใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำเพื่อซุ่มโจมตีเขาระหว่างทาง เขาก็กล้าใช้เครือข่ายความสัมพันธ์ของวายร้ายอย่างหวังจิ่วเป่า ส่งหน่วยกล้าตายที่มีวิทยายุทธ์สูงส่งมากำจัดจิ้งไห่โหวซื่อจื่อ ทำให้สกุลโอวเข้าสู่ความวุ่นวายในการแย่งชิงตำแหน่งซื่อจื่อของบรรดาบุตรชายในตระกูล ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายโดยให้ศัตรูยอมแพ้ไป…เขาเริ่มต่อกรกับสกุลโอวในตอนที่สกุลโอวมีคนได้ถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย เมื่อพฤติกรรมของจังชิวนายหน้าขายที่ดินผิดปกติไป เขาก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ไม่สนใจการห้ามปรามของคนรอบข้าง แล้วไปซานตงในฐานะเหยื่อ เป็นไปตามที่คาดคิด คนสกุลโอวลงมือจริงๆ และเขาก็ได้รับการยืนยันเกี่ยวกับข่าวที่ตัวเองได้รับ และตัดสินใจกำจัดซื่อจื่อด้วยวิธีนี้ เพื่อไม่ให้ใครเชื่อมโยงทั้งสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน เขาจึงมอบคนที่รอดชีวิตทั้งหมดให้กับกองบัญชาการซานตง มิเช่นนั้นเมื่อฮ่องเต้ได้พบกับเขาก็จะไม่มีความรู้สึกผิด
เรื่องเหล่านี้ปิดบังคนอื่นได้ แต่ไม่เคยปิดบังคนเคียงหมอนอย่างสืออีเหนียงได้เลย
นางเป็นคนฉลาดและละเอียดอ่อน แทนที่จะปิดบังต่อไปไม่สู้บอกความจริงกับนางจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องกังวลใจ
“เมื่อไม่กี่วันก่อนสกุลโอวกระทำการโดยไร้กฎเกณฑ์” เขาเอ่ยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ “บวกกับหลายวันมานี้ที่ข้าพยายามปกปิดร่องรอยตัวเอง ฮ่องเต้ยังคิดว่าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในจวนสกุลโอวเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงเหตุผลอื่น”
สืออีเหนียงนึกถึงการตายขององค์ชายห้า การเปิดเผยเรื่องของสวีซื่อเจี้ย สวีลิ่งอี๋ถูกโจมตีและปลดออกจากตำแหน่ง…เปลี่ยนจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก เมื่อถึงวันนี้สถานการณ์ก็พลิกผัน!
นางถอนหายใจยาว ตั้งแต่ที่ได้ยินหลี่ฮูหยินพูดหัวใจที่เต้นแรงก็สงบลงในที่สุด จากนั้นก็นึกถึงเรื่องการแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์
ตัวเองเป็นคนมาถึงสองภพชาติ สวีลิ่งอี๋ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง แต่ต่างคนก็ยังต้องพบเจอช่วงเวลาที่หวาดหวั่น หากเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าสกุลหลี่ที่กระหายชื่อเสียงและโชคลาภ แล้วร่อนเร่ไปกับหลี่จี้ เกรงว่าไม่นานก็คงเหน็ดเหนื่อยและหมดกำลังใจ
ขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็เอ่ยขึ้นว่า “ส่วนเรื่องการแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ก็เลือกเจ้าเด็กสกุลเซ่าก็แล้วกัน!”
หรือว่าทั้งสองกำลังพิจารณาเรื่องการแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์โดยไม่ได้นัดหมาย
สืออีเหนียงอึ้งไปเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “เรื่องราวบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ เมื่อเทียบกับการแต่งงานไปอยู่ที่ไกลๆแล้ว ข้ายิ่งหวังให้เจินเจี่ยเอ๋อร์มีชีวิตที่มั่นคงมากกว่า แม้ว่าเจ้าเด็กสกุลหลี่จะไม่แย่ แต่ผู้บัญชาการหลี่กระทำการรีบร้อน บุตรชายของเขาจึงไม่ใช่คู่ครองที่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นผู้บัญชาการหลี่ยังคิดอาศัยลูกสะใภ้เพื่อเชิดหน้าชูตาตระกูลของตัวเอง หลี่ฮูหยินเองก็จะต้องให้ความสำคัญกับฐานะของสะใภ้อย่างแน่นอน เมื่อคุณชายหลี่ได้พบเรื่องลำบากใจ เกรงว่านางจะยิ่งยุแยงทำให้ลูกสะใภ้หนีไปจากบุตรชาย เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ยิ่งเป็นคนหัวอ่อนเชื่อฟังคนอื่นง่าย เมื่อเวลานั้นมาถึง เกรงว่าจะเจินเจี่ยเอ๋อร์จะกลายเป็นหลี่ฮูหยินคนที่สอง แต่สกุลเซ่านั้นแตกต่างออกไป เป็นสกุลที่มีชื่อเสียงมาร้อยปี มีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคง จะไม่มีส่วนร่วมในการทะเลาะวิวาทได้อย่างง่ายดาย ด้วยการคุ้มครองของสกุล เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้แต่งเข้าสกุลเซ่าก็จะสามารถช่วยสามีอบรมดูแลลูกๆ ได้และใช้ชีวิตอย่างสบายใจ”
สืออีเหนียงเห็นด้วยกับความคิดนี้
สกุลหลี่มีรากฐานต่ำต้อย อยู่ในช่วงเริ่มต้นกิจการ ที่แต่งลูกสะใภ้เข้าไปก็หวังว่าจะช่วยได้บ้างเล็กน้อย หากพูดในแง่ร้าย หากวันใดสกุลสวีเกิดเรื่อง เกรงว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็จะถูกรังเกียจทันที!
“แต่สถานการณ์ลำบากของสกุลสวีไม่ได้เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่เป็นในอนาคต” ขณะที่สวีลิ่งอี๋พูด แววตาฉายแววดุดัน “ต่อให้พวกเราไม่หาผู้ช่วย แต่พวกเราก็ไม่ควรหาคนมาเป็นตัวถ่วง”
วิกฤตของสกุลสวีจะรวมกันในตอนท้ายเมื่อมีการแบ่งกิจการและสืบทอด สกุลเซ่าก่อตั้งมาเนิ่นนาน ผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาหลายครั้ง แล้วยิ่งเป็นสกุลใหญ่ก็ย่อมกระทำการด้วยความระมัดระวัง แต่หากเป็นสกุลหลี่เมื่อถึงตอนนั้นก็จะดูวุ่นวาย ภายใต้ความสับสน ไม่เพียงแต่จะไม่ให้การสนับสนุน เกรงว่าจะอาศัยโอกาสนี้หาผลประโยชน์ หากสถานการณ์เป็นประโยชน์ต่อสกุลสวีก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นวิกฤต อย่าว่าแต่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับสกุลสวีเลย อาจจะเกิดสถานการณ์ที่ช่วยศัตรูมาโจมตีสกุลสวีเสียด้วยซ้ำ…
สืออีเหนียงเพียงแค่พึมพำว่า “เจ้าค่ะ” เบาๆ
“เรื่องของสกุลหลี่ ข้าจะจัดการเอง” สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียง “เขาอยากจะได้ตำแหน่งผู้บัญชาการฝูเจี้ยนไม่ใช่หรือ เมื่อเวลานั้นมาถึงข้าจะออกหน้าทักทายเหลียงเก๋อเหล่า ส่วนเหลียงเก๋อเหล่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเหลียงเก๋อเหล่ามีแผนการอะไร และผู้บัญชาการหลี่มีกำลังมากแค่ไหน ส่วนเรื่องการแต่งงาน ก็บอกไปว่าเวลาตกฟากของเด็กทั้งสองคนไม่เหมาะสมกัน เช่นนี้ความคับข้องใจของสกุลหลี่ก็จะน้อยลง”
แบบนี้ดีที่สุดแล้ว บางครั้งเราก็ต้องยอมล่วงเกินสุภาพบุรุษแต่ไม่อาจล่วงเกินคนเจ้าเล่ห์
เมื่อพูดถึงตอนนี้ สืออีเหนียงก็นึกถึงเรื่องที่ฮูหยินห้าจะเป็นแม่สื่อให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ “…ท่านโหวรีบตัดสินใจเร็วๆ ก็ดีเจ้าค่ะ จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จะทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราขึ้นชื่อว่าเรื่องมาก”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เพียงแต่เกรงว่าเมื่อจิ้งไห่โหวก่อเรื่องเช่นนี้จะทำให้คนที่มีประสบการณ์คอยจับจ้องตำแหน่งผู้บัญชาการฝูเจี้ยนเช่นกัน” สงสัยว่าสกุลที่ให้ฮูหยินห้ามาเป็นแม่สื่อจะเหมือนกันกับผู้บัญชาการหลี่ที่คิดจะใช้การแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์เพื่อดึงความสัมพันธ์ “พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปปรึกษาไท่ฮูหยิน แล้วตอนบ่ายเจ้าก็ไปปรึกษาเรื่องนี้กับคุณนายใหญ่สกุลหลิน”
เช่นนี้ยิ่งดีใหญ่ สามารถแก้ตัวได้ว่าสวีลิ่งอี๋กับสกุลอื่นได้มีการตกลงกันด้วยวาจาแล้ว จะได้ปฏิเสธการหมั้นหมายของฮูหยินห้าได้อย่างตรงไปตรงมา
สองสามีภรรยาปรึกษากันเรียบร้อยแล้วสืออีเหนียงก็ส่งสวีลิ่งอี๋ไป
หลังจากที่ย้ายกลับมาพวกเขาก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน หากดูตามเวลาแล้ว หลายวันมานี้สวีลิ่งอี๋พักอยู่ที่ห้องของฉินอี๋เหนียง สืออีเหนียงเรียกเหวินอี๋เหนียงมาพบ
เมื่อได้ยินว่าตัดสินใจเป็นดองกับสกุลเซ่าเหวินอี๋เหนียงก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ฮูหยิน พระคุณของท่านช่างยิ่งใหญ่ คุณหนูใหญ่ไม่มีวันลืมอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ทำอะไรด้วยใจ จะลืมหรือไม่ลืมสำคัญด้วยหรือ
สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้มไม่ได้ปริปากพูดอะไร
กลางดึก เยี่ยนหรงที่อยู่เวรกลางดึกถูกปลุกให้ตื่น หญิงรับใช้สูงวัยที่เฝ้าประตูรายงานเสียงเบาว่า “ทางฉินอี๋เหนียงมีแสงไฟสว่างไสว มีบางอย่างผิดปกติ”
เยี่ยนหรงให้รางวัลหญิงรับใช้สูงวัยผู้นั้น ส่งสาวใช้น้อยไปดู ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปในห้องด้านในเบาๆ
ประตูเก๋อซ่านปิดสนิท ในห้องมืดมิด
นางเอาหูแนบประตูฟัง ไม่มีเสียงใดๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวกลับห้องไป
ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปสาวใช้น้อยก็มารายงาน
“ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” นางเอ่ยเสียงเบา “รู้เพียงแต่ว่าตอนที่ท่านโหวไปก็ยังดีๆ อยู่ ทันใดนั้นก็กำชับชุ่ยเอ๋อร์สาวใช้ใหญ่ข้างกายฉินอี๋เหนียงให้ช่วยเก็บกวาดห้องปีกทิศตะวันออก ชุ่ยเอ๋อร์คุกเข่าโขกศีรษะต่อหน้าท่านโหว ท่านโหวโกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง จากนั้นก็เปิดประตูหลังแล้วไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเจ้าค่ะ”
เยี่ยนหรงตกใจมาก “ไปเรือนปั้นเย่ว์พั่นแล้วหรือ”
สาวใช้น้อยพยักหน้า “ตอนที่ข้าไปท่านโหวกำลังออกมาจากเรือนฉินอี๋เหนียงเจ้าค่ะ!”
“พรุ่งนี้ช่วยไปสืบให้ข้าหน่อย ดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” เยี่ยนหรงพูดพลางให้รางวัลนาง “ข้าให้เป็นเงินค่าขนมเจ้า” จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็อาศัยโอกาสตอนที่สืออีเหนียงกำลังล้างหน้าล้างตาบอกเรื่องนี้กับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อท่านโหวไปเรือนปั้นเย่ว์พั่น เกรงว่าคงไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ ทุกคนก็อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก” แต่ในใจกลับสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้ทำให้สวีลิ่งอี๋โมโหจนต้องไปเรือนปั้นเย่ว์พั่น
ตอนทานอาหารเช้าได้เจอสวีลิ่งอี๋ เขาไม่ได้พูดอะไรสืออีเหนียงจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยิน
เมื่อได้ยินการตัดสินใจของทั้งสองคน ไท่ฮูหยินก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน พูดแค่ “เมื่อแต่งงานแล้วก็กลายเป็นคนของสกุลอื่นไปแล้ว ต่อให้อยู่ในเยี่ยนจิงก็ไม่สามารถกลับมาได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางไปกลับชังโจวก็ใช้เวลาไม่เกินสามวันเท่านั้น เรื่องนี้ก็ตัดสินใจตามนี้เถิด”
ไม่รู้ว่ากำลังพูดโน้มน้าวสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงหรือกำลังพูดโน้มน้าวตัวเองกันแน่
สืออีเหนียงเสนอให้เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานหลังจากอายุครบสิบหกปี
ไท่ฮูหยินประหลาดใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงอธิบาย “เพราะต้องแต่งไปอยู่ที่ไกลๆ วันหลังกว่าจะได้กลับมาอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงอยากให้นางอยู่ที่นี่นานอีกหน่อย” กลัวว่าหากเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานเร็วเกินไป ต่อไปหากเกิดเรื่องขึ้นก็จะไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง และกังวลว่าการให้กำเนิดบุตรก่อนวัยอันควรของนางจะทำร้ายร่างกายหรือต้องประสบพบกันภาวะคลอดบุตรยาก
“ก็ดี” ไท่ฮูหยินพูดต่อว่า “หากโตกว่านี้ก็จะกระทำการได้อย่างมั่นคง”
จากนั้นสืออีเหนียงก็ไปหาฮูหยินห้า แล้วเล่าเรื่องที่ต้องการจะเป็นดองกับสกุลหลินให้ฟัง
ฮูหยินห้าได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “พวกเราคงมาบอกช้าไป”
ไม่ว่านางจะจริงใจหรือไม่จริงใจ แต่อย่างไรก็ทำให้เรื่องนี้ผ่านไปได้แล้ว
สืออีเหนียงไปหาคุณนายใหญ่สกุลหลินในตอนบ่าย
เมื่อคุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินคำยืนยันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หลายวันมานี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะหมั้นหมายจ้งหราน จ้งหรานพอใจหรือไม่พอใจก็ไม่พูดอะไรสักคำ ทำเอาข้าเป็นกังวลไปหมด โชคดีที่เจ้ามาพอดี!”
“นี่คือพรหมลิขิต!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดกับคุณนายใหญ่สกุลหลิน เสนอเงื่อนไขว่าจะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ออกเรือนตอนอายุสิบหกปีเต็ม