คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ฟังแล้วก็รู้สึกตกใจ
“ต้องแต่งงานไปอยู่ที่ไกลๆ ต่อไปคงไม่ได้เจอกันง่ายๆ จึงอยากให้นางอยู่ต่ออีกสักหน่อย…” สืออีเหนียงเล่าความรู้สึกที่สกุลสวียังตัดใจให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปไม่ได้ให้คุณนายใหญ่สกุลหลินฟัง คุณนายใหญ่สกุลหลินนึกถึงฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จึงเข้าใจความรู้สึกของคนสกุลสวี รีบพูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ข้าจะบอกกับพี่ชายข้าให้” เมื่อสืออีเหนียงกลับไปแล้ว นางก็รีบเขียนจดหมายไปที่ชังโจวทันที
ทันทีที่สืออีเหนียงกลับมาถึงเรือน เยี่ยนหรงก็เดินตามมา
“เรื่องเมื่อคืนบ่าวถามอย่างละเอียดแล้วเจ้าค่ะ” พูดเสียงเบาราวกระซิบ “ได้ข่าวมาว่าฉินอี๋เหนียงบ่นคิดถึงคุณชายน้อยสองต่อหน้าท่านโหว บอกว่าที่เล่ออานไม่เจริญเหมือนเยี่ยนจิง ใช้ชีวิตยากลำบาก ข้างกายคุณชายน้อยสองก็มีสาวใช้น้อยคอยดูแลเพียงคนเดียว ไม่มีป้ารับใช้คอยเป็นเสาหลัก หากเกิดเรื่องขึ้นเกรงว่าจะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร อยากให้ท่านโหวส่งมี่เซียงและคนอื่นๆ ที่อยู่เรือนคุณชายน้อยสองไปช่วยปรนนิบัติเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ฟังก็อึ้งไปเล็กน้อย
“ตอนแรกท่านโหวยังตั้งใจฟังอยู่ หลังจากนั้นใบหน้าของท่านโหวก็ดูไม่สบายใจ บอกว่าคุณชายน้อยสองไปเพื่อร่ำเรียนหนังสือ ไม่ใช่ไปเพื่อหาความสุขความสบาย จะต้องการคนไปปรนนิบัติมากมายขนาดนั้นทำไม ฉินอี๋เหนียงเห็นว่าท่านโหวไม่พอใจจึงรีบคุกเข่าขอโทษท่านโหว สีหน้าของท่านโหวจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็เรียกชุ่ยเอ๋อร์มาปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉินอี๋เหนียงพูดถึงเรื่องการหมั้นหมายของคุณชายน้อยสองขึ้นมาอีก บอกว่าคุณชายน้อยสองเกิดก่อนคุณหนูใหญ่สองสามวัน หลายวันมานี้ฮูหยินตั้งใจหาว่าที่สามีให้กับคุณหนูใหญ่ แล้วยังเรียกเหวินอี๋เหนียงไปปรึกษา แต่กลับไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับการหมั้นหมายของคุณชายน้อยสอง ตอนนี้คุณชายน้อยสองก็ไปเรียนหนังสือที่เล่ออาน มีจิตใจกตัญญู ต้องอยู่ห่างจากบิดามารดา ย่อมต้องให้อาจารย์เป็นหลัก ด้วยรูปลักษณ์ บุคลิกและครอบครัว เกรงว่าในเล่ออานจะไม่มีใครเทียบได้ในตอนนี้ หากถูกคนจนที่มีความสามารถที่สนิทสนมกับอาจารย์เจียงถูกใจเข้า หากอาจารย์เจียงเห็นแก่น้ำใจก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ อาจจะตัดสินใจรับปากหมั้นหมายด้วยความเลอะเลือน นั่นจะไม่เป็นการถ่วงอนาคตของคุณชายน้อยสองหรือ ขอร้องท่านโหวไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบหาคุณหนูที่เหมาะสมมาหมั้นหมายกับคุณชายน้อยสองเจ้าค่ะ…”
ฉินอี๋เหนียงเป็นห่วงจริงๆ หรือเพียงแค่แกล้งเป็นห่วงกันแน่ สวีซื่ออวี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีพ่อมีแม่ แม้ว่าอาจารย์เจียงจะเป็นพ่อสื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกกับสวีลิ่งอี๋ก่อน จะให้คำสัญญาโดยพลการได้อย่างไร
สืออีเหนียงได้ฟังก็เลิกคิ้วขึ้น
“เมื่อท่านโหวได้ยินดังนั้นก็โยนผ้าเช็ดหน้าในมือใส่อ่างล้างหน้า ทำเอาน้ำกระเด็นใส่หน้าฉินอี๋เหนียง บอกว่าอาจารย์เจียงไม่ใช่คนที่นางจะมาพูดเช่นนี้ได้ แล้วยังถามฉินอี๋เหนียงว่าสรุปแล้วไม่พอใจที่คุณชายน้อยสองไปเรียนหนังสือที่เล่ออาน หรือไม่พอใจที่ฮูหยินหมั้นหมายให้คุณหนูใหญ่ก่อนเจ้าค่ะ” เยี่ยนหรงพูดพลางก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว กระซิบข้างหูสืออีเหนียง “ฉินอี๋เหนียงตกใจจนตะลึงงันไปเลย ไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดหยดน้ำบนหน้าเจ้าค่ะ” ราวกับว่านึกภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมาได้ นางกลั้นยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ท่านโหวเห็นฉินอี๋เหนียงพูดไม่ออกก็โกรธจนหน้าแดง กำชับชุ่ยเอ๋อร์ให้ไปเก็บกวาดห้องปีกทิศตะวันออกเพราะเขาจะไปพักที่ห้องปีกทิศตะวันออก ฉินอี๋เหนียงลนลานอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นกอดขาของท่านโหวแล้วร้องไห้ แล้วยังบอกว่าตัวเองเป็นห่วงคุณชายน้อยสองมากเกินไปจึงได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้ ฉินอี๋เหนียงร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล ท่านโหวเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว ให้ซิ่งฮวาพยุงฉินอี๋เหนียงลุกขึ้น ส่วนตัวเองก็เดินออกไปข้างนอก ชุ่ยเอ๋อร์รีบตามไป คุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาให้ฉินอี๋เหนียง ท่านโหวเห็นแล้วก็ไปยังเรือนปั้นเย่ว์พั่นทันทีเจ้าค่ะ…”
ขณะที่กำลังพูดคุย ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ฮูหยิน ฉินอี๋เหนียงมาพบเจ้าค่ะ”
ยังไม่ถึงเวลามาคารวะตอนเย็นเลย
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยเรียกนางเข้ามา
ฉินอี๋เหนียงตาบวมแดง ยืนมาหยุดอยู่ตรงหน้าสืออีเหนียงแล้วคุกเข่าลง “ฮูหยินเป็นเพราะข้างี่เง่าจึงได้พูดเรื่องเหลวไหลออกมา ขอฮูหยินอย่าได้ถือสา เห็นแก่คุณชายน้อยสอง โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” พูดจบก็จะโขลกศีรษะลงกับพื้นสีเขียวหยก
เยี่ยนหรงรีบดึงมือฉินอี๋เหนียงไว้ “อี๋เหนียงเป็นอะไรไปเจ้าคะ เข้ามายังไม่ทันพูดให้ชัดเจนก็จะโขลกศีรษะแล้ว ต่อให้มีเรื่องคับข้องใจหลายหมื่นเรื่อง แล้วท่านจะให้ฮูหยินของพวกเราช่วยอย่างไร”
ฉินอี๋เหนียงไม่ลุกขึ้น แต่ก็ไม่ได้จะโขลกศีรษะอีก มองสืออีเหนียงด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ข้าเห็นว่าซื่อจื่อกำลังจะหมั้นหมายแล้ว คุณหนูใหญ่ก็มีข่าวคราวเรื่องการหมั้นหมายแล้ว เหลือเพียงคุณชายน้อยสองอยู่คนเดียวที่ยังไม่มีคู่หมั้น ข้าจึงกังวลเรื่องการหมั้นหมายของเขา ดังนั้นเมื่อคืนตอนที่ท่านโหวมาหาจึงพูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมทำให้ท่านโหวโกรธ ฮูหยิน ท่านโหวให้ความเคารพต่อท่านมากที่สุด ขอร้องท่านได้โปรดเห็นแก่ที่ข้าเป็นคนไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ความ ช่วยขอร้องท่านโหวแทนข้าด้วยเถิด”
ถึงกับอ้อนวอนให้นางช่วยพูดกับสวีลิ่งอี๋ให้…สืออีเหนียงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ฉินอี๋เหนียงจะโขลกศีรษะอีกครั้งแต่ถูกเยี่ยนหรงห้ามเอาไว้
“ฮูหยิน” นางพูดอย่างรีบร้อน “เดิมทีข้าคอยรับใช้อยู่ข้างกายท่านโหว ด้วยพระคุณของไท่ฮูหยินและท่านโหวจึงได้ยกให้ข้าขึ้นเป็นอี๋เหนียง เท่านั้นข้าก็พอใจแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้าก็อายุมากแล้ว ควรปล่อยวางได้แล้ว ที่ท่านโหวโกรธข้า โทษว่าเป็นความผิดข้า ก็ไม่ถือว่ามากเกินไป แต่ข้ากลัวว่าข้าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านโหวรู้สึกว่าคุณชายน้อยสองเป็นคนที่ไม่รู้จักกฎเกณฑ์…ฮูหยิน ขอเพียงแค่ท่านโหวไม่โกรธคุณชายน้อยสอง ไม่ว่าจะให้ข้าทำอะไรข้าก็จะไม่บ่นสักคำ”
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ฉินอี๋เหนียงกำลังบอกตัวเองว่าในใจของนางมีเพียงสวีซื่ออวี้ ส่วนสวีลิ่งอี๋จะโปรดปรานนางหรือไม่นั้น นางไม่ได้สนใจมาตั้งนานแล้วอย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่เจอฉินอี๋เหนียงเป็นครั้งแรก จุนเกอมีท่าทางไม่ยอมรับนาง นึกถึงความนอบน้อมที่ฉินอี๋เหนียงมีต่อตัวเองตอนพึ่งแต่งเข้ามา นึกถึงการเผชิญหน้ากันในคืนฤดูหนาวที่ฝนตก…ความรู้สึกแปลกๆ พลอยผุดขึ้นมาในใจ
“เจ้าลุกขึ้นเถิด!” ในห้องโถงที่เงียบสงัด ทันใดนั้นเสียงของสวีลิ่งอี๋ก็ดังขึ้น
สืออีเหนียงรีบหยุดความคิด ย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ไม่แม้แต่จะชายตามองฉินอี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น กำชับเยี่ยนหรงว่า “ทั้งหมดออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับฮูหยิน”
เยี่ยนหรงย่อเข่าตอบรับ เห็นฉินอี๋เหนียงกำลังมองใบหน้าเย็นชาของสวีลิ่งอี๋ด้วยใบหน้าหม่นหมอง มุมปากขยับเล็กน้อยก่อนจะถอยออกไปพร้อมกับเยี่ยนหรง
สืออีเหนียงรินชาให้สวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวมีเรื่องสำคัญอะไรหรือเจ้าคะ”
สีหน้าสวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ผ่อนคลายลง “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ไม่อยากให้นางมาร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่นี่” ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนชุดเสร็จก็ไปทานอาหารเย็นที่เรือนไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง พอกลับมาก็ไม่ไปหาฉินอี๋เหนียง เอนตัวอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตาที่ห้องด้านในของสืออีเหนียง สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ นึกถึงเมื่อวานที่เขาไปเรือนปั้นเย่ว์พั่นกลางดึก แล้วเรื่องที่ฉินอี๋เหนียงมาโขลกศีรษะที่เรือนตัวเอง นางไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วย จึงนั่งทำรองเท้าให้โจวฮูหยินพลางอยู่เป็นเพื่อนสวีลิ่งอี๋
เมื่อถึงยามไฮ่ สืออีเหนียงก็รู้สึกว่าตาพร่ามัวเล็กน้อย สวีลิ่งอี๋พลันลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปแล้ว!”
สืออีเหนียงคิดไปคิดมากว่าจะเข้าใจ
นางวางงานในมือลง “ท่านโหวค่อยๆ เดินเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง เหมือนกับกำลังอธิบายแต่ก็เหมือนว่ากำลังพูดกับตัวเอง “ในเมื่อนางมาขอโทษเจ้า อย่างไรเสียข้าก็ต้องเห็นแก่หน้าเจ้าบ้าง”
สืออีเหนียงมองเขาเดินจากไปด้วยความครุ่นคิด
ฉินอี๋เหนียงมาขอโทษตนต่อหน้าคนมากมาย ทั้งยังของร้องให้ตนช่วยพูดแทนให้ หากคืนนี้สวีลิ่งอี๋ไม่ไปหาฉินอี๋เหนียง เกรงว่าวันรุ่งขึ้นคงจะมีคนบอกว่าตนนั้นริษยาหรือไม่ก็เป็นคนใจแคบ หรือแม้กระทั่งอาจจะแพร่ออกไปว่าตนไม่มีความสำคัญในสายตาของสวีลิ่งอี๋
ฉินอี๋เหนียงรู้จักสวีลิ่งอี๋ดีจริงๆ!
วันรุ่งขึ้นสวีลิ่งอี๋พักอยูที่เรือนของสืออีเหนียง และตั้งแต่ที่ฉินอี๋เหนียงมาพบสืออีเหนียงก็มีท่าทีนอบน้อมเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง
สืออีเหนียงอดยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้
******
ไม่กี่วันมานี้พี่ใหญ่ของคุณนายใหญ่สกุลหลินและบิดาของเซ่าจ้งหรานก็มาถึงเยี่ยนจิงเพื่อปรึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการหมั้นหมายกับสกุลสวี
สวีลิ่งอี๋ให้คนเรือนนอกถอนเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้สืออีเหนียงเพื่อนำมาจัดการสินสอดทองหมั้นให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงมอบเงินให้จู๋เซียงแล้วมอบบัญชีให้เหวินอี๋เหนียง “…เงินไม่มากเท่าไร แต่หากใช้อย่างเหมาะสมก็จะทำให้ดูดีได้ เจ้าช่วยดูด้วย อย่าใช้เงินโดยเปล่าประโยชน์”
นี่เป็นเงินที่สวีลิ่งอี๋มอบให้เพื่อใช้ซื้อข้าวของเป็นสินเดิมให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ ส่วนที่ดินและทรัพย์สินจะถูกจัดการโดยผู้ดูแลเรือนนอก เงินเพียงสี่ห้าพันตำลึงก็สามารถทำให้ดูยิ่งใหญ่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงินหนึ่งหมื่นตำลึง แต่เหวินอี๋เหนียงคิดถึงตอนนั้นที่ตัวเองแต่งเข้ามาเป็นอนุ ของที่ท่านแม่เก็บสะสมไว้ก็ไม่ได้ใช้ ตอนนี้ก็มีเงินอยู่ในมือ หากไม่เอาไปใช้เพื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วจะเก็บไว้ตอนลงโลงหรืออย่างไร
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงถือว่าเป็นคนที่มีความยุติธรรม นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “สกุลเหวินแต่ไหนแต่ไรมาก็ทำการค้าขาย หากฮูหยินเชื่อใจข้าก็จะแนะนำเถ้าแก่ที่ดูแลร้านให้ ไม่ได้หวังว่าจะให้พวกเขาช่วยให้ราคาถูก อย่างน้อยแค่ไม่โก่งราคาก็พอแล้ว” สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดถึงเงินส่วนตัว “อย่างไรจู๋เซียงก็เป็นสตรี เป็นคนขี้อาย ไม่เหมือนข้าที่เติบโตมาในสกุลค้าขาย อีกทั้งยังบรรลุนิติภาวะแล้ว กล้าที่จะไปคุยกับเถ้าแก่พวกนั้น ข้าว่าไม่สู้ให้ข้ามาดูแลเงินจะดีกว่าแล้วให้แม่นางจู๋เซียงเป็นคนดูแลบัญชี ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง”
สินสอดทองหมั้นของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ไม่เพียงเกี่ยวพันกับหน้าตาของสกุลสวีและสกุลเซ่าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันถึงชีวิตหลังการแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วย ในเมื่อเหวินอี๋เหนียงเคยเป็นคนค้าขายอยู่แล้ว สืออีเหนียงเองก็เชื่อในความรู้เรื่องกำไรขาดทุนของนางอยู่บ้าง แทบจะไม่ได้คิดอะไรมากสืออีเหนียงก็พยักหน้าตอบตกลงทันที แต่ยังคงกำชับเตือนนางว่า “อี๋เหนียงต้องระวังให้มากจะได้ไม่เกิดการผิดพลาด ไม่เพียงแค่ขายหน้าสกุลสวี ซ้ำยังเป็นการทำร้ายเจินเจี่ยเอ๋อร์ ทำให้นางอยู่ในสกุลเซ่าอย่างยากลำบาก!”
รอยยิ้มของเหวินอี๋เหนียงเบ่งบานอย่างไม่อาจปกปิดได้ “แม้ว่าข้าจะเป็นคนหูตาไม่กว้างไกล แต่ก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ จะไม่ทำลายเรื่องการหมั้นหมายของคุณหนูใหญ่อย่างแน่นอน”
สืออีเหนียงให้จู๋เซียงมอบตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงของเรือนนอกให้เหวินอี๋เหนียงและประทับตราไว้ เมื่อเหวินอี๋เหนียงกลับมาถึงห้อง ก็เรียกชิวหงกับตงหงเข้ามา
“ตงหงเขียนตัวหนังสือได้ดี เจ้ามาเขียนตัวอักษรสีแดงบนแผ่นป้าย ข้าจะไปจัดสินสอดทองหมั้นให้คุณหนูใหญ่” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดี
ชิวหงกับตงหงได้ฟังก็อดมองหน้ากันไม่ได้ เมื่อได้สติกลับมาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ “ท่านโหวรับปากแล้วหรือเจ้าคะ!”
“ไม่ใช่ท่านโหว” เหวินอี๋เหนียงยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างเบิกบานใจ “เป็นฮูหยินที่รับปาก” นางพูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “ฮูหยินทำอะไรได้โปร่งใสตรงไปตรงมาจริงๆ” พลันนึกถึงสายตาที่สวีลิ่งอี๋ใช้มองนาง “ไม่เหมือนกัน…มักจะทำให้คนรู้สึกอึดอัด”
ไม่เหมือนใคร?
คำพูดคลุมเครือเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่คนที่เหวินอี๋เหนียงพูดถึงตามอำเภอใจได้