หลังจากเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เห็นว่าปัญหานี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว นางจึงหยุดร้องไห้ในที่สุด
เป็นอย่างที่คิด หลังจากสี่ตระกูลใหญ่มาถึง ตระกูลฮว๋ายก็ไม่พูดอะไรอีก อย่างไรเสียบุตรชายของพวกเขาก็แต่งงานกับบุตรสาวอีกคนหนึ่งของตระกูลเฮ่อเหลียนไปแล้ว
ถ้าพวกเขาไม่รับเงิน เช่นนั้นพวกเขาก็คงจะโง่เต็มที
ดังนั้นพวกเขาจึงสั่งให้คนที่มารับตัวเจ้าสาวออกไปจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์
แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับยังรู้สึกกลัดกลุ้ม เพราะนางตกจากการเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถที่สุดในเมืองหลวงลงมาอยู่ในฐานะหญิงที่ถูกปฏิเสธการแต่งงาน อีกทั้งท่านพ่อของนางก็ยังต้องจ่ายเงินให้พวกเขาเป็นจำนวนมากอีกด้วย
นางจะปล่อยมันไปได้อย่างไร!
แต่…
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านประเมินองค์ชายสามเอาไว้ต่ำเกินไป ความจริงแล้วอวิ๋นปี้ลั่วไม่มีผลกระทบอันใดกับเขาเลยเจ้าค่ะ พวกเราคาดการณ์อะไรผิดไปหรือเปล่า”
ซูเหยียนโม่ลูบมือของนาง ”ใครบอกว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบหรือ เจ้าลองคิดดูให้ดีสิ ถ้าใครสักคนที่อยู่ข้างกายเจ้ามาตลอดหลายปีหายตัวไปและจู่ๆ ก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นตามใจตัวเองอย่างปุบปับเช่นนี้ละก็ เจ้าก็คงรู้สึกไม่พอใจหรอกจริงไหม ครั้งนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าองค์ชายสามยังไม่ลืมอวิ๋นปี้ลั่ว ในเมื่อเขายังไม่ลืมนาง เช่นนั้นเราก็ยังมีหวังอยู่”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กัดริมฝีปากระหว่างฟัง แล้วจึงพูดว่า ”แต่ท่านแม่เจ้าคะ ท่านไม่รู้หรอกว่าองค์ชายสามคอยหนุนหลังนังคนชั้นต่ำเฮ่อเหลียนเวยเวย และยังคอยช่วยเหลือนางอยู่เสมอด้วย ข้ากลัวว่า…”
“เจียวเอ๋อร์” เสียงของซูเหยียนโม่นั้นแผ่วเบา ”นางเป็นพระชายาสาม และครั้งนี้เจ้าคิดน้อยเกินไปที่ไปท้าทายอำนาจของพระชายาสามต่อหน้าสาธารณชนเช่นนั้น ฐานะของราชวงศ์นั้นทรงอำนาจ เจ้าไม่ควรกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกไปโดยไม่คิด คนอย่างองค์ชายสามย่อมไม่ปล่อยให้ใครมาดูถูกพระชายาที่เขาเป็นคนเลือกอย่างแน่นอน”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกอย่างไม่อยากยอมรับ ”เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ ท่านแม่”
“ในช่วงสองสามวันนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปที่สำนัก ถ้าข้าโผล่หน้าไปร่วมงานชุมนุมที่เมืองหลวงในช่วงนี้ก็คงดูไม่เหมาะสมเช่นกัน เรารอจนกระทั่งท่านพ่อของเจ้าจะตัดชื่อของนังคนชั้นต่ำนั่นออกจากตระกูลได้ก็แล้วกัน แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง” ซูเหยียนโม่ลูบผมยาวของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ดวงตาของนางหันมองไปทางเฮ่อเหลียนกวงเย่า
ในช่วงที่ผ่านมานี้ธุรกิจของนางเละเทะจนไม่มีชิ้นดี และนางก็ไม่ได้มีเงินอยู่ในมือมากนัก อีกทั้งนางก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าในระยะนี้เฮ่อเหลียนกวงเย่ากำลังทำอะไรอยู่
นางรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าเขากำลังปิดบังอะไรนาง
บางทีนางอาจจะหวาดระแวงมากเกินไป แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เวลาที่นางไปเยี่ยมผู้หญิงพวกนั้น นางมักจะรู้สึกว่าพวกนางทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างอยู่เสมอ ความรู้สึกที่เหมือนกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
นางอยากคุยกับเฮ่อเหลียนกวงเย่า แต่นางยังหาเวลาไม่ได้
ดูสิ พวกนางเพิ่งจะปรึกษาหารือกันเสร็จไม่ทันไร ก็มีใครบางคนมากระซิบอะไรที่ข้างหูเฮ่อเหลียนกวงเย่าเสียแล้ว
เฮ่อเหลียนกวงเย่าลุกขึ้น และหันไปหาเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กับซูเหยียนโม่ แล้วบอกว่า ”ข้ายังมีเรื่องในราชสำนักที่ต้องจัดการอยู่ ขอตัว”
ซูเหยียนโม่ส่งเขาออกไปโดยเร็ว
หัวหน้าคนรับใช้เดินตามหลังเฮ่อเหลียนกวงเย่าออกไป กระทั่งเมื่อเขามองไม่เห็นทางเข้าคฤหาสน์ผู้พิทักษ์อีก เขาจึงเอ่ยความกลัดกลุ้มของตนออกมา ”นายท่านขอรับ อาการบาดเจ็บของเหลียนเอ๋อร์ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่เท่าใดนัก ในเวลานี้ท่านอยู่กับพวกเขาคงจะดีกว่า เพราะถ้าหากตระกูลซูรู้เรื่องนี้เข้า ข้าเกรงว่าสถานการณ์นั้นจะบีบบังคับให้ท่านต้องเสียเปรียบขอรับ”
เฮ่อเหลียนกวงเย่าครุ่นคิด แล้วจากนั้นเขาก็ดึงเท้าที่ก้าวออกไปแล้วของตนกลับมา ”ข้าจะเชื่อเจ้าก็แล้วกัน หลังจากเดินเล่นสักหน่อยแล้วพวกเราค่อยกลับไปที่คฤหาสน์”
“ขอรับนายท่าน”
ทั้งสองทำเพียงแค่เดินเล่นจริงๆ
ตอนที่เฮ่อเหลียนกวงเย่ากลับเข้ามา ซูเหยียนโม่ก็ยังคงตื่นอยู่ นางประหลาดใจที่เห็นเขากลับมา ดังนั้นนางจึงทำท่าจะเข้ามาคุยกับเขา
แต่เฮ่อเหลียนกวงเย่ากลับดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยนัก ด้วยเหตุนี้ซูเหยียนโม่จึงยอมถอดใจ เมื่อนางคิดถึงเรื่องที่นางจะได้จัดการเฮ่อเหลียนเวยเวยในอนาคตอันใกล้นี้ หัวใจของนางก็แทบจะระเบิดออกมาด้วยความยินดี ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานนักกว่านางจะหลับตาและผล็อยหลับไป
แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คืออันที่จริงนั้นเฮ่อเหลียนกวงเย่ายังไม่ได้หลับ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ในหัวของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานา แต่ความคิดที่ว่าเหล่านั้นกลับไม่ใช่เรื่องของนางแต่อย่างใด…
ตกดึกคืนนั้น
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ดูเหมือนจะรู้สึกสบายตัวขึ้นกว่าเดิมแล้ว อีกทั้งใบหน้าของนางก็ยังดูมีเลือดฝาดขึ้นแล้วด้วย
เขายื่นมือออกไป ตั้งใจจะจิ้มแก้มของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เขานึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่ขี้หงุดหงิดถึงเพียงนี้อยู่ด้วย แม้กระทั่งตอนที่นางหลับ นางก็ยังงับนิ้วของเขาเข้าปากแล้วทำเหมือนกับว่ามันเป็นอาหารก็ไม่ปาน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดไม่เจ็บแม้แต่น้อย แต่ขนตายาวอันโค้งงอน กับลิ้นเล็กๆ ที่ลากไล้ไปทั่วนิ้วมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และความอบอุ่นนี้มันช่าง…
สิ่งเดียวที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้คือความรู้สึกแปลกๆ ที่แล่นจากปลายนิ้วของเขาไปยังท้องน้อย มันทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็ก้มหน้าลง แล้วโน้มตัวลงไปจูบเข้าที่ซอกคอของนางโดยไม่คิดที่จะหยุด
อาจเป็นเพราะว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึกมากกว่าส่วนอื่น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเกร็งตัวขึ้นในทันที นิ้วของนางคว้าเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้
ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปคว้าด้านหลังศีรษะของนาง แล้วแทรกนิ้วของตนผ่านกลุ่มผมของเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับลูบมันอย่างเบามือ ภาพของเส้นผมที่ค่อยๆ ทิ้งตัวลงราวกับสายน้ำระหว่างนิ้วมือของเขาดึงดูดความสนใจของเขาไปจนหมด
แรงกดอันนุ่มนวลที่หนังศีรษะทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับได้อย่างผ่อนคลายกว่าปกติ นางถอนหายใจออกมา และเสียงอันแหบพร่าของนางก็ทำให้ความปรารถนาภายในหัวใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น!
เขาผุดลุกขึ้นในทันใด และสาวเท้าตรงไปที่อ่างล้างหน้าสีทองแดง แล้วรีบวักน้ำเย็นๆ ขึ้นมาล้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขามองร่างกายที่แปลกไปของตนที่สะท้อนอยู่ในกระจกสัมฤทธิ์นั้น แล้วขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
แต่เมื่อเทียบกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขากลับสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจตัวเอง มันเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอกของเขา
ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน…
บัดซบ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองขาตัวเอง แล้วก็มองร่างกายที่แปลกไปของตนในกระจก เห็นได้ชัดว่าเขาจำเป็นต้องทำให้ตัวเองสงบลงเสียก่อน
ในเมื่อเขาไม่สามารถเล่นกับเหยื่อของตัวเองได้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้จึงมีเพียงแค่การฆ่าเท่านั้น (เฮ่อเหลียนเวยเวย : …พวกเจ้าบอกมาสิว่าว่านางช่วยชีวิตคนทางอ้อมเอาไว้ได้มากขนาดไหน)
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยละสายตาออกจากกระจกสัมฤทธิ์บานนั้น จากนั้นจึงเดินออกไป บรรดาองครักษ์เงาวางกำลังเอาไว้เป็นสามเท่าจากปกติ ตั้งแต่องค์ชายเลือกที่จะเปิดเผยฐานะของตัวเองออกไป นั่นย่อมหมายความว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปสำนักไท่ไป๋คงไม่ได้พบกับความสงบสุขอีกแล้ว
แม้กระทั่งหลังจากที่อดีตฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้เข้า เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นห่วงมากนักว่าคนจากสี่ตระกูลใหญ่จะทำร้ายไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ทว่าสิ่งที่เขาเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือเรื่องที่ว่าหากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อใด แล้วเขาจะเผลอก้าวเข้าสู่เส้นทางของปีศาจโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
เงาทมิฬรู้ถึงความกังวลนี้ของอดีตฮ่องเต้ดี ดังนั้นกับเรื่องบางเรื่อง เขาจึงไม่อยากปล่อยให้องค์ชายลงมือด้วยตัวเองนัก
แต่เขาก็รู้ว่าวันนี้องค์ชายอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ดูจากการกระทำของเขาในวันนี้ เงาทมิฬก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นตามมาแน่
“ไปเรียกไป๋เหมยมา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ใต้เงาไม้ และเล่นกับแหวนที่นิ้วของตนอย่างเฉยชา
เงาทมิฬชะงัก แล้วจึงพาไป๋เหมยมาหาเขาโดยไม่รอช้า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้สาน พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ส่วนมืออีกข้างนั้นกำลังพลิกหน้าหนังสือ เขาถามขึ้นด้วยท่าทางเย็นชาว่า ”เจ้าอยากรู้หรือเปล่าว่าเฮยจูอยู่ที่ไหน”
ไป๋เหมยไม่เข้าใจว่าจู่ๆ ทำไมฝ่าบาทถึงพูดถึงเฮยจูขึ้นมา นางรู้สึกเพียงแค่ว่าบรรยากาศนี้ติดจะกระอักกระอ่วน และร่างของนางก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นเล็กน้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพลิกหน้าหนังสือ แล้วบอกว่า ”ให้นางดูสิ่งนั้นซะ”
เมื่อไป๋เหมยได้ยินเช่นนั้น นางก็หันมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นใบหน้าของเฮยจูที่กลายเป็นสีเขียวคล้ำไปเสียแล้ว นางแตกตื่นในทันใด เข่าของนางทรุดลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังตุ้บ!