ชิวหงกับตงหงทำเป็นไม่ได้ยิน คนหนึ่งยิ้มพลางพูดว่า “อี๋เหนียง ท่านดูสิว่าเราจะเขียนแผ่นป้ายให้เถ้าแก่ร้านไหนบ้างเจ้าคะ” อีกคนหนึ่งยิ้มพลางพูดว่า “ของพวกนี้พวกเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ ซื้อตามใบรายชื่อของป้าซ่งดีหรือไม่เจ้าคะ” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รีบ ไม่รีบ ฮูหยินบอกแล้วว่าทั้งสองสกุลเป็นดองกัน สกุลสวีขอร้องเพียงแค่เรื่องเดียวคือต้องรอให้คุณหนูใหญ่อายุครบสิบหกปีก่อนค่อยแต่ง สกุลเซ่าตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดเลย พวกเรายังมีเวลาอีกหลายปี!” เมื่อคิดได้เช่นนี้หัวใจของนางพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างมีความสุข วันรุ่งขึ้นก็เอารายการสินสอดทองหมั้นไปให้สืออีเหนียงดู “ท่านดูสิว่าถูกหรือไม่”
สืออีเหนียงรับรายการมาไว้ “ข้าจะเอาไปให้ไท่ฮูหยินดูอีกครั้ง”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มพลางเล่าให้สืออีเหนียงฟังเรื่องที่ตนส่งป้ายไปให้เถ้าแก่เหล่านั้น ดื่มชาไปครึ่งถ้วยแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวลา
สวีลิ่งอี๋เดินมาจากห้องด้านใน “เหตุใดถึงได้มอบหมายการจัดการให้เหวินอี๋เหนียง หากเจ้าอยากจะใช้นางจริงๆ ก็ให้นางจัดการเรื่องบัญชีก็พอแล้ว!”
“ให้เหวินอี๋เหนียงลองดูก่อน หากดูแลไม่ดีค่อยว่ากัน”
เรื่องภายในกับภายนอกนั้นแตกต่างกัน อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของเรือนใน เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พูดถึงเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ขณะที่นั่งอยู่ในห้องโถงกับสืออีเหนียง “…สกุลเซ่าเชิญท่านโหวสกุลหลินมาเป็นพ่อสื่อ ทางฝั่งเราข้าอยากจะเชิญจงฉินปั๋ว เจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
ทั้งสองต่างก็เป็นขุนนางที่มีคุณธรรมและเกียรติยศ
“ท่านโหวคิดได้รอบคอบแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม มีสาวใช้น้อยเข้ามา “ฮูหยิน องค์หญิงฝูเฉิงส่งเทียบเชิญมาให้คุณหนูใหญ่ บอกว่าพระชายาขององค์ชายใหญ่กำลังจะออกเรือนในฤดูใบไม้ร่วง คิดจะอาศัยโอกาสนี้จัดงานเลี้ยงฤดูร้อนที่เรือน จึงอยากจะเชิญสหายสนิทหลายคนมาร่วมชมบึงบัวเจ้าค่ะ”
อีกไม่กี่วันในวังก็จะส่งคนมาคอยชี้แนะมารยาทในวังให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์ แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องยากของฟังเจี่ยเอ๋อร์ แต่ต่อไปญาติสนิทมิตรสหายก็คงไม่สะดวกที่จะพบฟังเจี่ยเอ๋อร์แล้ว
นี่ถือเป็นงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายของบรรดาเด็กสาว
สืออีเหนียงพยักหน้ารับ “…ถ้าหากคุณหนูใหญ่อยากไป เมื่อถึงเวลาก็ให้ป้าซ่งไปเป็นเพื่อนเถิด!”
ตอนนี้เรื่องการหมั้นหมายของเจินเจี่ยเอ๋อร์ต่างก็รู้กันทั่วทั้งจวนแล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์ขี้อายจึงหลบอยู่แต่ในห้องไม่ยอมพบใคร แม้แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาเชิญ นางก็ไม่ได้ไป แต่คิดว่าหลังจากนี้ฟังเจี่ยเอ๋อร์ต้องเข้าวังแล้ว ส่วนตนก็จะต้องแต่งไปเมืองชังโจว เกรงว่าชาตินี้คงมีโอกาสพบเจอกันได้ยาก จึงมารายงานสืออีเหนียงด้วยความเขินอาย มีป้าซ่งไปจวนองค์หญิงฝูเฉิงเป็นเพื่อนนาง
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมา ก็พูดกับสืออีเหนียงว่า “ข้าไปจวนจงฉินปั๋วมา จงฉินปั๋วป่วยมาเดือนกว่าแล้ว กานฮูหยินจึงปฏิเสธเรื่องพ่อสื่ออย่างอ้อมค้อม”
สืออีเหนียงเห็นจงฉินปั๋วจากระยะไกลๆ แค่เพียงหนึ่งครั้ง ร่างกายซูบผอม ท่าทางดูเหนื่อยล้า
“คราวที่แล้วตอนที่กานฮูหยินมาไม่เห็นพูดเรื่องนี้” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขาไม่เป็นอะไรมากใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ยินมาว่าอากาศร้อนจึงดื่มถั่วเขียวต้มเย็นๆ เพิ่มอีกสองชามทำให้ท้องเสียเล็กน้อย” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “ถึงแม้จะดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก แต่ก็ยังพูดคุยได้ตามปกติ คงจะไม่เป็นอะไรมาก”
สถานการณ์ของสกุลกานซับซ้อนมาก ทายาทกับภรรยาคอยขัดขวางกานฮูหยินมาตลอด ตอนนี้จงฉินปั๋วล้มป่วยเกรงว่ากานฮูหยินคงใช้ชีวิตอย่างลำบาก
สืออีเหนียงพลันเป็นห่วงกานฮูหยิน
“ท่านโหว พวกเราไปเยี่ยมดีหรือไม่”
เนื่องจากคนที่ป่วยคือจงฉินปั๋ว สตรีมักจะไม่ต้องออกนอกหน้า แต่ทั้งสองสกุลเป็นญาติกันนางจึงไม่แน่ใจนัก
“ไม่ต้องหรอก!” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “ข้าไปเยี่ยมมาแล้ว” ขณะที่พูดก็นึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงกับกานฮูหยินมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน “หากเจ้าเป็นห่วงก็ส่งท่านป้าผู้ดูแลไปเยี่ยมสักหน่อย”
สืออีเหนียงให้ป้าซ่งนำยากุยลู่เซียนเจียวสองขวดไปให้กานฮูหยิน
พอป้าซ่งกลับมาก็ถอนหายใจ “…ท่านซื่อจื่อคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงท่านจงฉินปั๋ว กานฮูหยินไม่ได้พบท่านโหวมาหลายวันแล้ว ตอนที่บ่าวไปถึงนั้นบังเอิญได้พบกับป้ารับใช้คนสนิทของซื่อจื่อฮูหยิน มาขอเทียนหอมจากกานฮูหยินพอดี บอกว่าหลายวันมานี้ท่านโหวป่วยในห้องต้องจุดตะเกียงทั้งกลางวันและกลางคืน เทียนหอมไม่พอใช้ น้ำเสียงนั้นช่างดูทะนงตน พอเห็นท่านส่งของไปให้ กานฮูหยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก ทำเอานางน้ำตาคลอเบ้า ยังไถ่ถามว่าท่านสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง ได้ย้ายกลับมาหรือยัง บอกว่ารอให้ท่านโหวดีขึ้นแล้วนางจะมาขอบคุณท่านอีกครั้งเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
จงฉินปั๋วยังไม่ตายเลย หากตายแล้ว…
ป้าซ่งเห็นสีหน้าของสืออีเหนียงไม่ค่อยดีจึงตกใจคิดว่าตัวเองพูดผิด ยิ้มเจื่อนๆ พลางหยิบกล่องสีแดงที่ถูกล็อคด้วยกุญแจสูงหนึ่งนิ้วกว้างสามนิ้วออกมาจากแขนเสื้อ “ฮูหยิน นี่เป็นของที่กานฮูหยินให้บ่าวมอบให้ท่าน บอกว่าเป็นสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ของนาง อยากให้ท่านช่วยเก็บไว้ให้ก่อนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ
หรือว่ากานฮูหยินจะรู้สึกถึงบางอย่างจึงกำลังวางแผนรับมือ
นางรับกล่องมาอย่างเงียบๆ
ป้าซ่งเติบโตมาในสกุลขุนนาง ถึงจะไม่เคยเห็นแต่ก็เคยได้ยินจึงพูดเสริมขึ้นว่า “ตอนที่กานฮูหยินให้บ่าว ไม่มีใครอยู่ด้วยเลยแม้แต่คนเดียวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ป้าซ่งขอตัวถอยออกไป
นางขึ้นไปนั่งบนเตียง เปิดฝาแกะสลักลายดอกเหมยบนหัวเตียงออกแล้ววางกล่องลงอย่างระมัดระวัง
สวีลิ่งอี๋เชิญบุตรชายคนที่สามขององค์หญิงฝูเฉิง ผู้ที่เป็นบิดาของฟังเจี่ยเอ๋อร์ โจวซื่อเจิงมาเป็นพ่อสื่อ บอกกำหนดการเป็นวันที่ยี่สิบสองเดือนหก
หลังจากนั้นอากาศก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เสียงจักจั่นดังกึกก้องไปทั่ว ดื่มน้ำถั่วเขียวเย็น น้ำแกงเม็ดบัว และน้ำแกงบ๊วยเปรี้ยวไม่เคยขาดเลยสักวัน เรือนของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียง ฮูหยินห้าและฮูหยินสองเริ่มวางน้ำแข็งเพื่อคลายความร้อน จุนเกออยู่กับไท่ฮูหยิน เรือนลี่จิ่งเซวียนมีป่าไม้ที่อากาศเย็นสบาย สืออีเหนียงสงสารเจี้ยเกอ ยามว่างก็จะชวนเขาให้มาเล่นที่เรือนตัวเอง เล่านิทานในคัมภีร์ตรีอักษรให้เขาฟัง ครึ่งเดือนมานี้เขาท่องจำได้หลายเรื่องแล้ว สืออีเหนียงรู้สึกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ให้คนหากระดาษแข็งมา อยากจะทำแผ่นพับให้สวีซื่อเจี้ย
ใกล้จะถึงกลางเดือนเจ็ดแล้ว สวีซื่ออวี้ส่งจดหมายมารายงานความเป็นอยู่
“…อาจารย์มีระเบียบวินัยรอบคอบ ภรรยาของอาจารย์อบอุ่นเป็นกันเอง…เวลาว่างจะไปปีนเขาหลังสำนักศึกษากับสหายร่วมชั้นเรียน ลูกสบายดี ขอท่านพ่อ ท่านย่า และท่านแม่อย่าได้เป็นห่วงขอรับ”
“สบายดีก็ดีแล้ว สบายดีก็ดีแล้ว” ไท่ฮูหยินได้ฟังก็พยักหน้า ทันใดนั้นก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน ส่วนรายงานบอกว่าจงฉินปั๋วเสียชีวิตแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพลันรู้สึกหายใจไม่ออก เอามือกุมหน้าอกโดยไม่รู้ตัว ไท่ฮูหยินถามสาวใช้ผู้นั้นเสียงดัง “เจ้าฟังมาไม่ผิดใช่หรือไม่”
สาวใช้น้อยตกใจจนหน้าซีด “ผู้ดูแลจ้าวบอกมาเช่นนี้เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินเงียบไม่ปริปากพูดจาอยู่นาน
ในขณะนั้นทั้งห้องเงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกได้
“ฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนเกินไป” ไท่ฮูหยินพูดพึมพำ “ก็ไม่โทษเขาที่ทนไม่ได้”
สืออีเหนียงพึ่งได้สติกลับมา นึกขึ้นได้ว่าจงฉินปั๋วอายุน้อยกว่าไท่ฮูหยิน นางอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ไท่ฮูหยินสุขภาพร่างกายแข็งแรง ถามสาวใช้น้อยผู้นั้นว่า “ผู้ดูแลจ้าวได้บอกอีกหรือไม่ว่าจะเซ่นไหว้ตอนไหน”
เครื่องเซ่นไหว้สามอย่างล้วนมีแผนกรายงานเป็นคนจัดเตรียม
สาวใช้น้อยพูดเสียงสั่นเครือ “บอกว่าจะเริ่มพรุ่งนี้เช้าเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินกำชับสืออีเหนียงว่า “พรุ่งนี้เจ้าไปกับตานหยางเถิด”
เพราะจงฉินปั๋วอายุน้อยกว่าไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินจึงไม่ต้องไปเซ่นไหว้
สืออีเหนียงรับคำ “เจ้าค่ะ” ไปบอกเรื่องนี้กับฮูหยินห้า จากนั้นเมื่อกลับไปถึงเรือนของตนก็ให้คนรับใช้ข้างกายออกไป แอบหยิบกล่องสีแดงที่กานฮูหยินให้นางเก็บไว้ออกมาดูอยู่พักใหญ่ก่อนจะเก็บกลับเข้าไปอย่างเงียบๆ
วันรุ่งขึ้นคนของจวนสวีสวมเปลี่ยนชุดขาวไปเซ่นไหว้ที่จวนจงฉินปั๋ว
เซี่ยวเผิงคนของคุณนายใหญ่สกุลกานที่คอยต้อนรับบรรดาเหล่าสตรีและคอยกล่าวขอบคุณคนที่มาร่วมพิธีเซ่นไหว้ สีหน้าไม่ได้มีความเศร้าสลดแต่อย่างใด
สืออีเหนียงกับฮูหยินห้าไปจุดธูป เอ่ยถามคุณนายใหญ่สกุลกานอย่างตรงไปตรงมาว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นกานฮูหยินเลยเล่า”
ฮูหยินห้าแอบดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง
สืออีเหนียงทำเป็นไม่รู้ สายตามองไปที่คุณนายใหญ่สกุลกาน
ดวงตาของคุณนายใหญ่สกุลกานเผยให้เห็นความประหลาดใจ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “พ่อสามีเสียแล้ว แม่สามีจึงเสียใจจนล้มป่วย”
“ป่วยหรือ!” สืออีเหนียงทำท่าทางประหลาดใจ “คิดไม่ถึงว่ากานฮูหยินจะป่วย ขอให้คุณนายใหญ่ส่งคนไปเยี่ยมนางเป็นเพื่อนข้าทีเถิด!”
คุณนายใหญ่สกุลกานมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกำชับป้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าไปกับฮูหยินหย่งผิงโหว”
ฮูหยินห้าขมวดคิ้ว
สืออีเหนียงตามป้ารับใช้ผู้นั้นไปหากานฮูหยิน
กานฮูหยินอยู่ที่ห้องปีกทิศตะวันตกด้านหลังห้องหลัก เมื่อเห็นสืออีเหนียงนางก็ไม่ได้ตกใจ พยายามลุกขึ้นนั่ง ให้สาวใช้น้อยข้างกายไปยกเก้าอี้จิ่นอู้และน้ำชามาให้สืออีเหนียง
เยี่ยนหรงช่วยสาวใช้คนนั้นอย่างมีไหวพริบ ทำให้ป้ารับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเตียงมีสีหน้าอึดอัด
สืออีเหนียงมองกานฮูหยินที่สีหน้าซีดเผือดไม่มีชีวิตชีวาแล้วก้มหน้าถอนหายใจ ช่วยนางจัดมุมผ้าห่ม
“ข้าไม่เป็นอะไร” กานฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “พี่สะใภ้ข้าพึ่งมาเยี่ยมข้าเมื่อสองวันก่อน เมื่อท่านโหวเสียชีวิตได้เจ็ดวัน พี่ชายข้าก็จะมาเยี่ยมข้า”
สืออีเหนียงถอนหายใจ
พี่ชายของกานฮูหยินเป็นราชทูตระดับสาม ยินดีช่วยออกหน้าแทนนาง ไม่เพียงแค่สมเหตุสมผล แม้แต่ซื่อจื่อเองก็คงไม่กล้าสบประมาท
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” นางพูดอย่างมีนัยยะ “รอให้ทางนี้ราบรื่นแล้วข้าจะเชิญท่านไปกินขนมกล่องเจ้าค่ะ”
กานฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย
สืออีเหนียงชำเลืองมองป้ารับใช้ผู้นั้นที่กำลังเงี่ยหูฟังอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นกล่าวลา
ระหว่างทางได้พบกับเหอเยี่ยสาวใช้ข้างกายของฮูหยินห้า
“ฮูหยิน!” นางสีหน้าผ่อนคลายลง “ฮูหยินห้ากำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงบุปผาด้านหลังห้องโถงใหญ่เจ้าค่ะ”
ดูเหมือนว่าฮูหยินห้าจะสั่งให้เหอเยี่ยมาตามหานาง
สืออีเหนียงพลอยรู้สึกอบอุ่นในใจ เดินตามเหอเยี่ยไปที่ห้องโถงบุปผา
ฮูหยินห้ากระซิบเสียงเบาว่า “ทุกคนกำลังรอดูเรื่องตลกของจวนจงฉินปั๋วอยู่ เจ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม!”
“ถึงอย่างไรกานฮูหยินก็เป็นคนดำเนินการในพิธีปักปิ่นของข้า” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “อย่างไรข้าก็ควรจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย”
ยังพูดไม่ถึงครึ่งประโยค ฮูหยินห้าก็ถลึงตาใส่นางแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงหัวเราะเบาๆ
จากนั้นก็เป็นอย่างที่ฮูหยินห้าบอก ตลอดฤดูร้อนผู้คนในเยี่ยนจิงกำลังเฝ้าดูจวนจงฉินปั๋วอยู่ อันดับแรกคือเรื่องของกานฮูหยิน สกุลเดิมของกานฮูหยินกับสกุลกานทะเลาะกันยกใหญ่ สุดท้ายสกุลกานต้องยอมประนีประนอม ยกสินเดิมของกานฮูหยินให้กานฮูหยินเป็นคนดูแล แล้วยังจัดเรือนหลังหนึ่งไว้ที่สวนหลังจวนให้แก่กานฮูหยิน จากนั้นพี่น้องสกุลกานก็ทำเรื่องราวใหญ่โต รบกวนตั้งแต่ศาลว่าการไปจนถึงศาลต้าหลี่เพราะเรื่องแบ่งทรัพย์สิน เรื่องราวต่างๆ เช่นคนหนึ่งเลี้ยงคณิกาชาย คนหนึ่งเลี้ยงนางรำหญิงต่างก็ถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด
สกุลเจี่ยงที่อยู่ไกลถึงฝูเจี้ยนได้ยินดังนั้นก็ส่งป้ารับใช้ผู้ดูแลมาสองคน บอกว่ากลัวว่าคุณหนูสามสกุลกานจะเสียใจเกินไป สาวใช้น้อยข้างกายก็ไม่รู้ความ จึงให้มาช่วยปรนนิบัติระยะหนึ่ง
ผู้คนในเยี่ยนจิงต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ บอกว่าวันตกฟากของคุณหนูสามสกุลกานไม่ดี ช่วงไว้ทุกข์ของจวนสามียังไม่ทันได้ผ่านพ้นไปก็มาเจอช่วงไว้ทุกข์ของสกุลตัวเอง ตอนนี้มีพี่น้องเป็นตัวถ่วงจึงทำให้จวนสามีในอนาคตดูแคลน…
ที่จริงแล้วในช่วงเวลานี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น เพียงแต่เมื่อเทียบกับเรื่องของจวนจงฉินปั๋วแล้ว ราษฎรในเยี่ยนจิงรู้สึกว่าไม่พอต่อการนินทาจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก
กลางเดือนแปด อดีตผู้บัญชาการทหารซานซีได้เข้ารับตำแหน่งไปเป็นผู้บัญชาการทหารฝูเจี้ยน