อารมณ์ของชิงหลงมักจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ตอนที่ชิงหลงถูกจองจำอยู่ใต้ทะเลสาบ บรรยากาศอันเงียบสงบของสำนักไท่ไป๋นั้นหนาแน่นพอที่จะทำให้ชิงหลงอยู่ในสภาพคงที่ได้ หากบรรยากาศอันเงียบสงบนั้นถูกทำลายลงละก็ ชิงหลงย่อมเข้าสู่ด้านมืด และตกอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า”
ดวงตาของสัตว์อสูรลวงตาเป็นประกาย ”ข้าเข้าใจแล้วขอรับ! ความคิดของนายท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าจะไปบอกให้สัตว์อสูรกร่อนกระดูกรู้เดี๋ยวนี้ขอรับ”
ชายคนนั้นส่งเสียงตอบเบาๆ มุมปากของเขากระตุกขึ้น ความชั่วร้ายส่องแสงเรืองรองอยู่ในดวงตา ”ถึงเวลาแล้วที่โลกที่มีมนุษย์ปกครองใบนี้จะถึงจุดจบเสียที…”
จ๋อมจ๋อม
หยดน้ำฝนจากสายฝนยามค่ำคืนตกกระทบใบไม้กว้าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับมือซ้ายที่ถูกล่ามเอาไว้เมื่อนางลืมตาขึ้น จากนั้นสายตาของนางก็ไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างนาง ในเวลาเดียวกันนั้นนางก็ตระหนักได้ว่ามีใครบางคนช่วยเปลี่ยนชุดให้นางแล้ว และท้องของนางก็ไม่ได้รู้สึกปวดอีกต่อไป และนั่นทำให้นางรู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก
นางคงหลับไปนานมาก
นางเลียริมฝีปากอันแห้งผากของตัวเอง คิดอยากจะดื่มน้ำสักอึก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตื่นขึ้นมาในตอนที่นางกำลังคิดเช่นนั้นอยู่พอดี เขาเหลือบมองนาง จากนั้นจึงยื่นมือออกไปหยิบถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้นจ่อมันเข้าที่ริมฝีปากของนาง
“ดื่มซะ”
น้ำเสียงของเขาไม่ต่างอะไรไปจากการพูดกับสัตว์เลี้ยง
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางสะเดาะกุญแจมือของตัวเองด้วยการขยับนิ้วเพียงครั้งเดียว ก่อนจะเริ่มดื่มน้ำที่เขายื่นมาให้ภายใต้สายตาติดจะเย็นชาที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องมองมา
หลังจากดื่มน้ำจนหมดแก้ว นางก็วางข้อมือทั้งสองข้างของตนกลับไปที่ตำแหน่งเดิม แล้วจัดการล่ามพวกมันเอาไว้ตามเดิมอย่างเชื่อฟังราวกับสุนัขที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี
เป็นอย่างที่คิด องค์ชายสามดูพอใจกับการกระทำของนางยิ่งนัก เขาใช้มือลูบผมยาวของนางอย่างอ่อนโยนเป็นรางวัล จากนั้นเขาก็โอบแขนรอบตัวนาง ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยากจะอธิบายความรู้สึกที่นางรู้สึกอยู่ในเวลานี้ได้
แต่หยวนหมิงกลับเลือกที่จะเสนอหน้าเข้ามาในเวลานั้น น้ำเสียงอันซุกซนของเขาดังก้องขึ้นในหัวของนาง ”อย่างไรเขาก็ดูเหมือนจะมีใจให้เจ้าอยู่ ดังนั้นเจ้าก็จับเขากดไปเลยสิ จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเจ้าเองอีกหรือ ผู้หญิงอะไรช่างโง่เขลายิ่งนัก”
“หุบปาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบหยวนหมิงสั้นๆ เพียงสองคำ
หยวนหมิงกระตุกริมฝีปากบางของเขาขึ้นอย่างเกียจคร้าน พร้อมกับกล่าวว่า ”ถึงเจ้าไม่จับเขากดตอนนี้ สุดท้ายแล้วในอีกแปดวันให้หลังเจ้าก็ต้องทำมันอยู่ดี จะลังเลไปทำไมในเมื่อเจ้าสามารถทำให้มันจบลงได้โดยเร็ว”
“เจ้าคงอยากให้ข้าจับเจ้าโยนลงกองไฟมากสินะ หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยข่มขู่
หยวนหมิงพ่นลมหายใจออกมา ”เอาล่ะๆ ข้าจะเลิกพูดแล้ว อีกแปดวัน จำไว้ให้ดีล่ะ อีกแปดวันเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงอาการปวดหัวที่กลับมาอีกครั้งเพราะคำเตือนนั้น นางจึงตัดการสื่อสารทางกระแสจิตกับหยวนหมิงทันที เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังมองนางอยู่ ริมฝีปากบางได้รูปของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย ”ถ้าเจ้ายอมทำตัวดีๆ เช่นนี้เสมอ เช่นนั้นข้าก็คงไม่จำเป็นต้องโกรธเลยด้วยซ้ำ”
การที่นางจับตัวเองล่ามนี่ก็นับว่าเป็นการทำตัวดีๆ หรือ
“เฮ้อ…”
แน่นอนว่าความคิดของเขาย่อมไม่เหมือนคนปกติอยู่แล้ว
ตอนนั้นเองที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา นางปลดกุญแจมือออก แล้วไถลตัวลงจากเตียงเพื่อไปทำธุระของตน และหลังจากเสร็จธุระ นางก็กลับขึ้นเตียงแล้วจัดแจงล่ามตัวเองเอาไว้อีกครั้ง การเคลื่อนไหวของนางนั้นทั้งรวดเร็วและดูเป็นการเป็นงานราวกับได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ตอนที่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมาถึง เขาถึงกับงงในสิ่งที่ตัวเองเห็น เพราะเขาไม่เคยเห็นใครเต็มใจที่จะจับต้วเองล่ามเอาไว้เช่นนี้มาก่อน
เขาหันไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วถามโดยอัตโนมัติว่า ”พี่สาม พี่สะใภ้สามกำลังทำอะไรอยู่หรือขอรับ”
“พี่สะใภ้สามของเจ้าก็แค่ชอบเล่นบทบาทสมมติน่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างใจเย็น น้ำเสียงของเขาราบเรียบราวกับเพิ่งพูดสิ่งที่เป็นความจริงออกไป เขายกขาขึ้นพาดไขว้กันอย่างเกียจคร้าน พร้อมกับยกแขนขึ้นรองศีรษะของตัวเอง
ต้องขอบคุณบทเรียนฉบับพิเศษที่พี่สามมอบให้กับเขา องค์ชายเจ็ดตัวน้อยจึงรู้ดีว่า ’บทบาทสมมติ’ หมายความว่าอย่างไร ดังนั้นเขาจึงมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าอันยากจะอ่านได้ แล้วเอ่ยติดตลกว่า ”พี่สะใภ้สามคงชอบอะไรแบบนี้สินะขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ประทานโทษนะ! คนที่ชอบเล่นบทบาทสมมติพรรค์นี้น่ะมันใครกันแน่!
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบแทนนาง
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเอียงคอเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ จากนั้นจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า ”ข้าขอโทษที่มารบกวนขอรับ แต่ข้าอยากกินเนื้องู ที่หน้าประตูมีหัวงูอยู่ ข้าลากมันมาด้วยตลอดทางเพราะข้าอยากให้พี่สะใภ้สามย่างมันให้ข้ากินขอรับ”
“พี่สะใภ้สามเป็นแม่ครัวประจำตัวเจ้าหรือไง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่าพลางทำหน้าเครียดใส่น้องชายผู้เอาแต่ใจของเขา ”อีกอย่างหนึ่ง เนื้องูก็ไม่ใช่ของที่ใครจะกินได้ ข้าได้ยินว่ามีแต่หมูเท่านั้นที่ชอบกินเนื้องู”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยยังคงใสซื่อเช่นเดิม เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะสารภาพออกมาว่า ”เมื่อครู่นี้ข้าลองป้อนหัวงูให้พวกหมูกินแล้วขอรับ แต่พวกมันไม่ยอมกิน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่พวกมันเอาแต่ตัวสั่นกันไม่หยุดเลยขอรับ”
“ทำไมเจ้าถึงพยายามป้อนมันให้หมูกินล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วโก่งราวกับคันศรของเขาขึ้น
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพยักหน้ารัวเร็วพร้อมกับตอบว่า ”เพื่อขุนมันเป็นมื้อเย็นขอรับ!”
“หมูพวกนั้นไม่มีทางกินสิ่งที่เจ้าป้อนแน่ เพราะพวกมันมองจุดประสงค์ของเจ้าออกจนทะลุปรุโปร่งแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูด พลางพับแขนเสื้อของตัวเองขึ้น
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยขมวดคิ้วหนาเหมือนคิ้วเสือของเขา ”อย่างนั้นหรือขอรับ เช่นนั้นข้าจะซ่อนตัวอยู่ในมุมแล้วแอบให้อาหารมันจากตรงนั้นแทนก็แล้วกัน พวกมันคงไม่รู้หรอกว่าอาหารมาจากไหน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ใครจะรู้เล่าว่าองค์ชายใช้เวลาว่างของตัวเองไปกับการหลอกเด็กที่เชื่อคนง่ายเช่นนี้ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าหมูพวกนั้นกลัวหัวงู แต่เรื่องที่เขาบอกว่าพวกมันมองเจตนาแอบแฝงขององค์ชายเจ็ดออกจนทะลุปรุโปร่งอะไรนี่ช่างไร้สาระทั้งเพ คนอะไรหน้าไม่อายเอาเสียเลย
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอให้พี่สะใภ้สามย่างงูให้ข้ากินก่อนได้ไหมขอรับ ข้าจะได้เอาที่เหลือไปให้หมูพวกนั้นกิน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยประเมินความเห็นแก่กินของผู้เป็นน้องชายเอาไว้ต่ำเกินไป
เขามองเด็กชายตัวเล็กอีกครั้ง ”ก็ได้”
หลังจากได้รับคำอนุญาตจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เด็กชายก็มีสีหน้าเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง ขาสั้นๆ นั้นจ้ำเร็วๆ เข้าไปหาหัวงูที่ว่า แล้วทำท่าเหมือนจะลากมันเข้ามาในห้อง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังพูดไม่จบ ”แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าต้องเต้นให้ดูก่อน”
เด็กชายตัวแข็งทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เขาเผลอยกมือขึ้นปิดบั้นท้ายทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้โดยสัญชาตญาณ ปฏิกิริยานั้นน่ารักเสียจนแม้แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังเผยรอยยิ้มขบขันออกมา
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องเต้นหรอก แต่ข้าสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง งูตัวนั้นเป็นสัตว์อสูรมิใช่หรือ ถ้าเรากินมันเข้าไป มันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับร่างกายของเราใช่ไหม” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าถ้ามันเป็นสัตว์อสูรจริงละก็ เช่นนั้นเนื้อของมันก็น่าจะส่งผลร้ายต่อระบบย่อยอาหารของคนปกติ มีเพียงแค่คนที่เคยฝึกวิชามารมาก่อนเท่านั้นที่จะสามารถรับสารอาหารจากมันได้ กลับกัน ถ้าหากมันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาละก็ มันจะไม่อันตรายต่อคนธรรมดายิ่งกว่าเดิมอีกหรือ
เด็กชายตัวน้อยทำหน้าไม่พอใจ แล้วประกาศว่า ”ข้ากินได้ทุกอย่างขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตบหน้าผากตัวเองอย่างคิดไม่ตก ”ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นนักชิม แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นอะไร” นางไม่เคยรู้สึกกังขากับความสามารถในการกินของเจ้าเจ็ด แต่นางเป็นห่วงกับผลที่จะตามมาต่างหาก
“ไม่เป็นไรหรอก” ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็พูดขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับนาง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”เขาสามารถย่อยได้ทุกอย่างที่กินนั่นล่ะ”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก ”กระเพาะของเขาทำด้วยอะไรกันแน่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทิ้งไว้เพียงความเงียบอันน่าสงสัย
เด็กชายตัวน้อยหยิบซาลาเปาเนื้อออกมาจากกระเป๋า ”ข้าจะกินซาลาเปารองท้องก่อนนะขอรับ” ระหว่างที่เคี้ยวอยู่นั้น เขาก็ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ไปด้วย เขาหันไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า ”จริงสิขอรับ ตอนที่ท่านเจ้าสำนักเอาซาลาเปาให้ข้า เขาบอกให้ข้ามาบอกพี่สะใภ้สามด้วยขอรับว่าเขาจะประกาศรายละเอียดของการทดสอบรอบที่สามในเร็วๆ นี้”
“เจ้าก็ควรบอกข้าตั้งแต่แรกสิ” นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฮ่อเหลียนได้สัมผัสกับความพ่ายแพ้
แต่จะว่าไปแล้ว กุญแจมือที่ข้อมือของนางหายไปไหนกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”เดี๋ยวข้ากลับมา”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เขาไม่ได้ส่งเสียงตอบตกลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม เขาให้บรรยากาศเหมือนกับแมวเปอร์เซียที่สูงส่งแต่ก็เกียจคร้าน ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีหากนางลูบขนของเขาอย่างถูกวิธี
ดังนั้นนางจึงหันหน้ากลับไปหาเขา ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่นางจะจูบหน้าผากของเขาเบาๆ
นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแข็งเกร็ง ก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งตัว คนที่เคยอยู่ข้างเขาก็หายไปเสียแล้ว
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่คิดที่จะอ้อยอิ่ง นางรีบร้อนตรงไปที่พระราชวังใต้ดินพร้อมกับอุ้มองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นจากเตียง นิ้วเรียวของเขาลูบจุดที่ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งสัมผัสเมื่อครู่อย่างแผ่วเบา