ตอนที่ 355 ทบทวนตัวเองดีหรือยัง
หลินม่ายคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงอาคารโรงงานใหม่
นายช่างจางกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งพร้อมกับช่างก่อสร้างที่เขาจ้างวานมาอีกทอดหนึ่ง
หลินม่ายยื่นขวดน้ำอัดลมแช่เย็นที่ซื้อมาจากร้านของชำข้างทางให้พวกเขาคนละขวด ก่อนจะถามนายช่างจางว่างานก่อสร้างยากต่อการเรียนรู้แค่ไหน
นายช่างจางกับช่างก่อสร้างคนอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะออกมา “ขอแค่คนคนนั้นไม่ใช่คนโง่ ขอแค่คนคนนั้นมีมือเท้าครบถ้วน ไม่ว่าใครก็สามารถเรียนรู้ได้”
หลินม่ายได้ยินแบบนั้นแล้วก็โล่งใจ
เธอกลัวว่าถ้าตัวเองพยายามอย่างเต็มที่จนได้โครงการพัฒนาเมืองมาอยู่ในมือ แล้วลูกน้องของเฉินเฟิงไม่มีหัวในการเรียนรู้งานก่อสร้างขั้นพื้นฐาน ความปรารถนาดีของเธอจะไร้ประโยชน์หรือเปล่า?
ในเมื่อเรียนรู้ได้ไม่ยาก ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีปัญหา
นายช่างจางอดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้ยินหลินม่ายถามถึงความยากง่ายในการก่อสร้าง “ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้?”
หลินม่ายยิ้ม “ฉันแค่ถามเฉย ๆ น่ะค่ะ”
หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว เธอก็ถามเขาอีกครั้ง “ปกติแล้วหนึ่งโครงการก่อสร้างต้องจ้างคนงานประมาณกี่คนเหรอคะ?”
นายช่างจางส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ผมคงคำถามข้อนี้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการเป็นหลัก บางโครงการใช้คนไม่กี่สิบก็ได้แล้ว ในขณะที่บางโครงการต้องใช้คนงานเป็นร้อยหรือเป็นพันคน”
หลินม่ายเงียบไป เธอไม่รู้ว่าโครงการพัฒนาเมืองที่ผู้อำนวยการหลิวเป็นผู้รับผิดชอบมีขนาดใหญ่แค่ไหน จึงเป็นเรื่องยากที่จะให้นายช่างจางช่วยประเมินกำลังคน
หลังจากคิดดูอีกครั้ง เธอก็พูดกับนายช่างจาง “ถ้าหัวหน้าคนงานที่ไซต์งานก่อสร้างของคุณจะเลิกจ้างคนงาน คุณช่วยเก็บแรงงานฝีมือไว้ให้ฉันสักสี่สิบหรือห้าสิบคนได้ไหมคะ?”
ถ้าเธอคิดจะรับช่วงสานต่อโครงการพัฒนาเมืองจริง บรรดาลูกน้องของเฉินเฟิงถือเป็นมือใหม่ ต่อให้รับโครงการมาแล้วก็ใช่ว่าจะดำเนินการสร้างได้เลยทันที
เธอจึงต้องการแรงงานที่มีทักษะ ไม่ใช่แค่เพื่อให้คุณภาพและปริมาณงานของโครงการสมบูรณ์ขึ้น แต่เพื่อให้ลูกน้องของเฉินเฟิงมีเวลาได้เรียนรู้งานใหม่ จึงขอให้นายช่างจางช่วยเก็บคนไว้
นายช่างจางประหลาดใจ “คุณมีโครงการอยู่ในมือแล้วเหรอ?”
ช่างก่อสร้างหลายคนต่างก็หันมองไปทางหลินม่ายด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ
เมื่อใดที่โครงการก่อสร้างของโรงพยาบาลผู่จี้สิ้นสุดลง พวกเขาก็จะไม่มีงานทำอีกต่อไป ต้องกลับไปยังบ้านเกิด
แต่พวกเขายังอยากหารายได้เพิ่ม
ถึงการทำงานในไซต์งานก่อสร้างจะค่อนข้างหนัก แต่ก็ให้ผลกำไรมากกว่าทำการเกษตรเป็นไหน ๆ
ถ้าหลินม่ายมีโครงการอยู่ในมือ พวกเขาก็จะย้ายมาทำงานให้กับเธอเพื่อกอบโกยรายได้ไปจุนเจือครอบครัวต่อไป
หลินม่ายพูดอย่างเก้อเขิน “ยังไม่มีหรอกค่ะ ฉันกำลังหาทางไขว่คว้ามันให้ได้อยู่”
นายช่างจางพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นผมจะจัดหาช่างปูนไว้ให้คุณสักห้าสิบคน แล้วจะหาช่างคอนกรีตสิบคน ช่างเหล็กเส้น ช่างแบบหล่อ และช่างก่ออิฐไว้ให้คุณด้วย ทั้งหมดต้องเป็นแรงงานหนุ่มสาวที่ยังแข็งแรง”
หลินม่ายขอบคุณเขา ไม่ลืมบอกว่า “ฝากบอกคนงานพวกนั้นด้วยนะคะ ว่าถ้าฉันชวดโครงการนี้ ฉันยินดีจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่พวกเขาติดค้างอยู่ แล้วจะจ่ายค่ารถโดยสารสำหรับเดินทางกลับบ้านให้พวกเขาด้วย”
หลังออกจากโรงงานแห่งใหม่ เธอก็ตรงไปที่โรงงานตัดเสื้อ Unique โดยไม่หยุดพัก ตั้งใจว่าจะอวดเครื่องประดับศีรษะดอกไม้จำนวนมากกว่าหนึ่งโหลที่เธอใช้เวลาทำตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
เถาจืออวิ๋นมองดูด้วยความชื่นชม
หล่อนชอบเครื่องประดับศีรษะแบบที่เป็นสายคาดผมแถบใหญ่เป็นพิเศษ เวลาผูกแล้วยิ่งดูสวยเหมือนกับนางฟ้า
หลินม่ายยิ้ม “วันหลังฉันจะให้พี่ไปถ่ายแบบ แล้วเอาโปสเตอร์ที่ได้มาติดทั้งด้านในและด้านนอกของโรงงานนะคะ”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้ารับ “ฉันจะไปกำชับให้พนักงานทำความสะอาดสองสามคนเก็บเศษผ้าทั้งหมดใส่กระสอบไว้ ไม่ว่าจะขนาดเท่าไหร่ก็ตามแต่ แล้วเก็บไว้ในโกดัง”
พอเดินไปถึงประตู หล่อนก็กอดอกพร้อมพูดว่า “ฉันตัดชุดกระโปรงสายเดี่ยวแบบที่เธออยากได้เสร็จแล้ว ว่าจะเอาไปส่งให้เธออยู่พอดี ไหน ๆ เธอก็มาแล้ว มาเอาไปเลยแล้วกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา”
จากนั้นหล่อนก็เอื้อมไปหยิบถุงใบใหญ่ออกมาจากใต้โต๊ะแล้วส่งให้หลินม่าย ก่อนจะกลับไปทำงานต่อ
หลินม่ายหยิบชุดกระโปรงสายเดี่ยวที่เถาจืออวิ๋นตัดให้ออกมาจากกระเป๋าเพราะอยากเห็น
ถึงจะเป็นแค่ชุดกระโปรงสายเดี่ยวธรรมดา แต่รูปแบบก็แตกต่างออกไปจากที่เคยเห็น
เถาจืออวิ๋นปรับสไตล์ชุดโดยออกแบบลูกเล่นเพิ่มเติมลงไปด้วย ภาพรวมดูดีมาก ทำให้หลินม่ายพึงพอใจไม่น้อย
ขณะที่หลินม่ายยกชุดกระโปรงสายเดี่ยวลายจุดสีแดงขึ้นทาบกับลำตัว เถาจืออวิ๋นกลับเดินกระทืบเท้าเข้ามาด้วยความโกรธ เธอจึงถามว่า “เป็นอะไรไป?”
สีหน้าของเถาจืออวิ๋นถึงได้อ่อนลง “ไม่มีอะไร ฉันแค่ออกไปสั่งให้พนักงานทำความสะอาดช่วยเก็บรวบรวมเศษผ้าไว้ในกระสอบ บอกด้วยว่าต่อจากนี้จะไม่อนุญาตให้เก็บกลับบ้านอีก แต่พวกหล่อนกลับอาศัยจังหวะที่ฉันไม่ทันสนใจยัดเศษผ้าลงในกระเป๋าตัวเองสองชิ้น พอเหลือบไปเห็นฉันก็เลยดุไปยกใหญ่”
หลินม่ายบอก “พนักงานคุณภาพต่ำแบบนี้ควรไล่ออกไปซะ”
“ช่างเถอะ คราวนี้หล่อนโดนฉันปรับเงินไปสามหยวนแล้ว ถ้ายังมีครั้งต่อไปฉันค่อยไล่ออก”
ตอนแรกเถาจืออวิ๋นก็อยากไล่พนักงานทำความสะอาดคนนั้นออกเหมือนกัน แต่ทันทีที่อีกฝ่ายได้ยินว่าตัวเองกำลังจะถูกไล่ออก หล่อนก็ทิ้งตัวลงไปนั่งคุกเข่าทันที
เถาจืออวิ๋นทนเห็นภาพนั้นไม่ได้ จึงตัดสินใจให้โอกาสโดยการปรับเงิน ไม่ไล่ออกเสียทีเดียว
ถึงอย่างนั้นค่าปรับที่หล่อนเรียกเก็บก็ไม่ใช่น้อย ๆ อีกฝ่ายขโมยผ้าไปแค่สองชิ้น แต่ถูกปรับเงินสามหยวน นี่คงพอสอนบทเรียนให้กับพนักงานทำความสะอาดหญิงคนนั้นได้บ้าง
หลินม่ายตรงไปที่ตลาดสดพร้อมกับชุดกระโปรงที่เถาจืออวิ๋นตัดให้
ในสำนักงานตลาดสด เฉินเฟิงนอนเอกเขนกจ่อพัดลมไฟฟ้าอยู่บนโซฟา
เหลียนเฉียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังจัดการกับบิลต่าง ๆ
หลินม่ายเดินเข้ามา ทั้งสองจึงหันหันหน้าไปมองเธอพร้อมกัน
หลินม่ายทักทายเหลียนเฉียวด้วยรอยยิ้ม “กลับมาจากชายฝั่งแล้วเหรอคะ? ทำงานหนักแล้ว”
เหลียนเฉียวกลอกตามองบน ทำเป็นเย็นชาไม่สนใจอีกฝ่าย
เฉินเฟิงเห็นท่าทางแบบนั้นจึงหันไปสั่งเหลียนเฉียว “ออกไปตระเวนตรวจตราตลาดหน่อย”
เหลียนเฉียวที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับหลินม่ายเมื่อกี้นี้ เปลี่ยนท่าทางกลายเป็นแมวน้อยที่เชื่อฟัง ถึงจะทำหน้ามุ่ยด้วยความไม่เต็มใจ แต่ก็ยอมออกไปตระเวนตรวจตลาดตามคำสั่งของเขา
เฉินเฟิงถามหลินม่ายอย่างติดตลก “หัวหน้าหลินแวะมาหาถึงที่นี่ มีอะไรให้รับใช้ครับ?”
หลินม่ายเล่าว่าตัวเองมีแผนจะรับโครงการพัฒนาเมืองของรัฐมาทำ ถามความคิดเห็นจากเขาว่าเป็นไปได้ไหม
ชาติที่แล้วเธอไม่เคยคลุกคลีกับอุตสาหกรรมก่อสร้างมาก่อน แต่ตอนนี้เธออยากลองมีส่วนร่วมในโครงการก่อสร้าง จึงไม่ค่อยแม่นยำในเรื่องนี้นัก
เฉินเฟิงคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะพยักหน้า “ฉันว่าเธอลองดูก็ได้ ไม่ต้องกังวลว่าลูกน้องทั้งหลายของฉันจะทำงานก่อสร้างไม่เป็น ไว้เราค่อยจ้างแรงงานฝีมือมาสอนงานพวกเขา”
หลินม่ายโบกมือ “ฉันคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว ฉันรู้จักกับนายช่างฝีมือดีอยู่คนหนึ่ง คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น”
จากนั้นเธอก็ขอให้เขาช่วยส่งคนไปตามสืบข้อมูลของผู้อำนวยการหลิวที่ดูแลส่วนงานพัฒนาเมือง รวมถึงความเป็นไปของสมาชิกทุกคนในครอบครัวของเขา
เฉินเฟิงงุนงงเล็กน้อย “ให้ไปตามสืบผู้อำนวยการหลิวนี่ฉันพอจะเข้าใจอยู่หรอก เพราะเธอจำเป็นต้องติดต่อกับเขา จะอยากรู้ข้อมูลส่วนตัวของเขาก็ไม่แปลก แต่จำเป็นต้องสืบเรื่องส่วนตัวของสมาชิกในครอบครัวเขาด้วยเหรอ”
“จำเป็นสิ” หลินม่ายตอบ “ทำตามที่ฉันบอกก็พอแล้ว”
หลังพูดจบ เธอก็ขอตัวจากไป
เหลียนเฉียวมองเห็นจากระยะไกล จึงเดินกลับเข้าไปในสำนักงาน
พอเห็นว่าเฉินเฟิงยังคงครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่บนโซฟา หล่อนก็พยายามจะอ้าปากพูดอยู่หลายครั้ง
เฉินเฟิงไม่ได้มองหน้าหล่อน แต่มองเห็นทุกการเคลื่อนไหว
เขาหันกลับมามอง “อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ นิสัยตรงไปตรงมาของเธอหายไปไหน?”
เหลียนเฉียวแอบคิดในใจ ก็ตั้งแต่คุณบังคับให้ฉันไปทำงานรอบนอกยังไงล่ะ
“ฉันแค่อยากรู้ว่าหลินม่ายมาหาคุณทำไม”
“หลินม่ายอะไรกัน เรียกหล่อนว่าหัวหน้าหลินสิ!” เฉินเฟิงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจัง “หล่อนมาหารือกับฉันว่าจะรับโครงการก่อสร้างมาทำ เพื่อที่สหายพี่น้องของเราจะได้มีงานทำกันทุกคน”
จากนั้นก็เหล่ตามองเหลียนเฉียว “ไปทำงานครั้งนี้เธอได้อะไรกลับมาไหม?”
เหลียนเฉียวพยักหน้า “ฉันทบทวนตัวเองดีแล้วค่ะ”
เฉินเฟิงตะคอกอย่างเย็นชา “ฉันกลับไม่คิดแบบนั้นนะ ถ้าเธอทบทวนตัวเองแล้วจริง ๆ เธอคงไม่กลอกตาใส่ม่ายจื่อ เขาไปขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปทำร้ายบุพการีเธอตั้งแต่ตอนไหน?”
เมื่อเห็นว่าเหลียนเฉียวตั้งท่าจะโต้เถียงเขาด้วยความไม่พอใจ เขาก็รีบชี้หน้าหล่อนแล้วพูดอย่างจริงจัง “อย่าได้พูดว่าหล่อนแย่งแฟนเธอเชียว ฉันไม่เคยเป็นแฟนเธอ ถ้าเธอยังกล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก คราวนี้ฉันจะส่งเธอไปอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือแล้วไม่ต้องกลับมา คงมีแค่อุณหภูมิติดลบต่ำกว่าศูนย์องศาที่จะเรียกสติเธอกลับมาได้”
เหลียนเฉียวมองเจ้านายตัวเองด้วยสายตาซับซ้อน
หล่อนไม่อยากไปอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเลย สาวทางใต้แบบหล่อนปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่หนาวเย็นถึงขนาดนั้นไม่ได้แน่ ดีไม่ดีอาจถูกแช่แข็งจนกลายเป็นหมัน
เฉินเฟิงเตือนล่วงหน้า “ฉันชอบม่ายจื่อ นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน หล่อนไม่เคยทำร้ายเธอ ฉันพอเข้าใจอยู่หรอกว่าเธอหึงหล่อน แต่ถ้าเธอเป็นฝ่ายไปทำร้ายเขาก่อน ก็อย่าได้หาว่าฉันใจร้าย!”
แม้จะรู้ดีว่าคำพูดของเฉินเฟิงถูกต้องทุกคำ แต่เหลียนเฉียวกลับรับฟังด้วยท่าทางดื้อดึง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อมีแฟนแล้ว ไม่ต้องหึงเขาแล้วเด้อสาว
ไหหม่า(海馬)