เมื่อกลับมาถึงจวนสกุลสวี สวีลิ่งอี๋ถามสืออีเหนียงอย่างอ้อมค้อมว่า “เจ้าไปพบกานไท่ฮูหยิน ได้พบกับกานฮูหยินหรือไม่”
“ได้พบเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “นางไม่พอใจมากที่ข้านำดอกไม้และต้นไม้ไป แต่ว่า ทองก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบ หยกขาวก็ใช่ว่าจะไร้ตำหนิ ใครจะไปสามารถทำให้ทุกคนชื่นชอบตัวเองได้” นางยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทางทงโจวยังไม่มีข่าวหรือ”
“ยังไม่มี!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “ผู้ดูแลจ้าวส่งผู้ดูแลและบ่าวรับใช้สี่คนผลัดกันเฝ้าอยู่ที่ท่าเรือ ไม่น่าจะพลาดการต้อนรับอาจารย์เจี่ยนได้”
สืออีเหนียงวางใจในฉับพลัน รอมาอีกสองวันอาจารย์เจี่ยนก็ยังมาไม่ถึงสักที จินจวี๋ที่อยู่ตรอกกงเสียนมาพบนาง
ปกติเวลามีธุระจะเป็นป้าหังที่มาหา ต่อให้ป้าหังมีธุระก็ไม่มีทางให้สาวใช้น้อยมาสกุลสวีเด็ดขาด
สืออีเหนียงเรียกจินจวี๋เข้ามาอย่างเงียบๆ
ในจวนสกุลหลัว จินจวี๋ได้ยินเพียงว่าคุณหนูสิบเอ็ดเป็นคนที่มีวาสนา เมื่อได้เห็นความสง่างามของสกุลสวีด้วยตาของตัวเอง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร ไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ตรงไหนดี แม้ในห้องจะไม่มีใคร แต่นางก็ตัวสั่นเทาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “อี๋เหนียงบอกว่าให้ฮูหยินกลับจวนสกุลหลัวเจ้าค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น” สืออีเหนียงหยิบลูกอมให้นาง
จินจวี๋ตอบกลับด้วยความหวาดกลัว พูดเสียงสั่นเครือว่า “บ่าวก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ต่อหน้าคุณนายใหญ่ อี๋เหนียงบอกเพียงว่าให้บ่าวออกมาซื้อน้ำตาลทรายแดง ขอฮูหยินได้โปรดมอบน้ำตาลทรายแดงให้บ่าวนำกลับไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงให้หู่พั่วพาจินจวี๋ออกไป ส่วนนางไปบอกกล่าวไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ตรงไปยังตรอกกงเสียน
“อาจารย์เจี่ยนต้องการพบเจ้า” อี๋เหนียงห้าอธิบายว่า “นางต้องการพบเจ้าก่อนเข้าจวนสวี ตอนนี้นางพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมข้างตรอกที่พวกเราอาศัยอยู่”
สืออีเหนียงไปที่โรงเตี๊ยมทันที
ไม่ได้เจอกันหลายปี อาจารย์เจี่ยนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รูปร่างสูงปานกลาง ตัวผอมบาง ดูสะอาดสะอ้าน สายตายังคงอ่อนโยนและดูสงบ
คนที่มากับอาจารย์เจี่ยนยังมีชิวจวี๋อีกคน
นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นออกมา
“เจ้าก็มาด้วยหรือ” สืออีเหนียงพยุงนางลุกขึ้น
นางร้องไห้พลางพยักหน้า “บ่าวฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว ต้องคอยปรนนิบัติอาจารย์เจ้าค่ะ”
หรือพูดอีกอย่างก็คือหลังจากนี้ชิวจวี๋จะเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของอาจารย์เจี่ยน
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า
จู๋เซียงรีบพาชิวจวี๋ออกไปพูดคุยด้านนอก
สืออีเหนียงกับอาจารย์เจี่ยนจูงมือกันมานั่งคุยบนเตียง
“ชิวจวี๋เป็นคนอดทน มีความตั้งใจและมีพรสวรรค์อยู่บ้าง เป็นเจ้าที่แนะนำลูกศิษย์ที่ดีให้แก่ข้า” อาจารย์เจี่ยนยิ้มพลางพูดต่อว่า “ข้าคุยกับคนในครอบครัวของนางไว้แล้ว ต่อไปให้นางติดตามข้า ไม่ว่าจะงานแต่งหรืองานศพก็ไม่เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของนาง ถือเสียว่าข้ามีบุตรสาวหนึ่งคน”
“การได้เป็นผู้สืบทอดของท่านอาจารย์นับเป็นวาสนาของนาง” สืออีเหนียงไถ่ถามถึงสุขภาพของอาจารย์เจี่ยน “ร่างกายของท่านยังแข็งแรงดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็ไม่สู้แต่ก่อนแล้ว” อาจารย์เจี่ยนยิ้มพลางพูดต่อว่า “สายตาไม่ค่อยดีแล้ว!”
“เช่นนั้นในชีวิตบั้นปลายก็มาพักผ่อนที่เยี่ยนจิงเถิดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ศิษย์ไม่กล้าพูดถึงเรื่องอื่น แต่สำหรับข้าวทุกมื้อยังพอเลี้ยงท่านได้อย่างแน่นอน”
อาจารย์เจี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่ได้ตอบคำถามนางโดยตรง แต่กลับถามถึงสถานการณ์ของนาง เมื่อรู้ว่านางมีชีวิตที่ดีจึงพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้ามีความคิดเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเจอความทุกข์ยากก็ผ่านมันไปได้” จากนั้นก็พูดถึงเรื่องของตัวเอง “เดิมทีข้าเตรียมจะมาสิ้นปีนี้ ปรากฏว่าพระราชพิธีอภิเษกสมรสขององค์ชายใหญ่ ทางโรงทอผ้าของเจียงหนานอยากจะมอบฉลองพระองค์ในงานพระราชพิธีอภิเษกสมรส เมื่อก่อนกิจการพวกนี้ล้วนจัดการโดยหอเซียนหลิงเพียงที่เดียว แต่หลายปีมานี้ร้านฉ่ายซิ่วก็เริ่มเข้าสู่การค้าสินค้าเย็บปักถักร้อย หอเซียนหลิงกลัวว่าข้าจะช่วยร้านฉ่ายซิ่ว จึงส่งคนมาถามความคิดของข้าหลายครั้ง ข้าไม่อยากเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของทั้งสองตระกูล จึงมาเยี่ยนจิงก่อนกำหนด”
สืออีเหนียงได้ฟังก็อดถอนหายใจไม่ได้
อาจารย์เจี่ยนเป็นช่างฝีมือที่มีความซื่อสัตย์ แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงปัญหาได้
“เช่นนั้นท่านมีแผนการอย่างไรต่อไป”
อาจารย์เจี่ยนได้ฟังดังนั้นก็ถามนางกลับไปว่า“เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
อาจารย์เจี่ยนอธิบายว่า “เยี่ยนจิงเป็นเมืองที่อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ จวนหย่งผิงโหวก็เป็นพระญาติกับเชื้อพระวงศ์ ไหนเลยจะขาดคนทำงานเย็บปักถักร้อยไปได้” แล้วพูดต่อว่า “ปีนั้นนายท่านเฉินต้องการให้ข้าสอนงานเย็บปักให้แก่อนุภรรยาของเขา หากไม่ใช่เพราะเจ้าช่วยแก้ต่างให้ข้า ตอนนั้นเขาคงทุบโรงเย็บปักของข้าไปแล้ว หลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่กลับเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเสมอมา แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงช่างเย็บปักถักร้อยตัวเล็กๆ แต่ก็รู้จักสำนึกในบุญคุณ หากเจ้ามีอะไรให้ข้าช่วย เพียงบอกข้ามาก็พอ”
อนุภรรยาของนายท่านเฉินผู้นั้นเคยเป็นคณิกาของหอโกวหลัน อาจารย์เจี่ยนไม่อยากทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ตอนนั้นนางแค่ยืมชื่อเสียงของสกุลหลัวทำให้นายท่านเฉินตกใจก็เท่านั้น และต่อให้ตนไม่ได้ออกหน้า ก็ใช่ว่าอาจารย์เจี่ยนจะไม่มีทางหนี หลังจากเกิดเรื่องอาจารย์เจี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยถึง นางจึงไม่ได้พูดอะไร คิดไม่ถึงว่าอาจารย์เจี่ยนจะยังจดจำได้มาโดยตลอด
สืออีเหนียงรีบบอกเจตจำนงของไท่ฮูหยินแก่อาจารย์เจี่ยน “…ไท่ฮูหยินเห็นว่าฝีมือเย็บปักของข้าดี จึงได้มีความคิดอยากจะพบท่าน” อาจารย์เจี่ยนประหลาดใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ส่งคนไปรับนาง “คิดไม่ถึงว่าจะคลาดกันจนได้!”
“ไม่ได้คลาดกันหรอก” อาจารย์เจี่ยนพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “ข้าเห็นมีคนยืนอยู่ที่ท่าเรือ…คิดไม่ถึงว่าท่านโหวจะส่งคนมารับ ข้าจึงได้จงใจหลีกเลี่ยง”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ นางรับรองกับอาจารย์เจี่ยนอีกครั้ง “ข้าสบายดี ไม่มีเรื่องอันใด ที่เชิญท่านมาเยี่ยนจิงก็เพียงแค่อยากให้ท่านช่วยฝึกสอนช่างเย็บปักในจวนก็เท่านั้น”
ชิวจวี๋ที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงหัวเราะที่ร่าเริงของสืออีเหนียง จึงหันไปกระซิบกับจู๋เซียงว่า “ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า แต่เจ้าห้ามบอกฮูหยินเด็ดขาด หากฮูหยินรู้เข้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน” พูดพลางถอนหายใจเบาๆ “คิดถึงตอนนั้น ฮูหยินดีกับตงชิงมาก”
จู๋เซียงแววตาหม่นหมอง “วางใจเถิด ข้าจะไม่บอกฮูหยินแน่นอน”
ชิวจวี๋ได้ฟังดังนั้นก็พูดต่อว่า “เจ้าห้ามบอกพี่ปินจวี๋ด้วย นางเป็นคนปากสว่าง เมื่อถึงเวลาจะต้องพูดให้ฮูหยินฟังอย่างแน่นอน!”
“ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น” จู๋เซียงให้คำสัญญา “เจ้าก็จำไว้ว่าอย่าไปพูดกับใครไปทั่ว”
“ข้ารู้แล้ว” ชิวจวี๋พยักหน้า “หากมีคนถามข้าก็จะบอกว่าข้าติดตามอาจารย์เจี่ยนมาโดยตลอด ไม่เคยกลับไปอวี๋หัง ไม่รู้เรื่องที่ตงชิงกลับอวี๋หัง”
จู๋เซียงพยักหน้า ถามชิวจวี๋ว่า “เจ้าจะยังกลับไปอวี๋หังอีกหรือไม่”
ชิวจวี๋บอกข้อตกลงระหว่างอาจารย์เจี่ยนกับคนในครอบครัวให้จู๋เซียงฟัง
ทันทีที่นางพูดจบก็เป็นสืออีเหนียงที่ประคองอาจารย์เจี่ยนเดินออกมา
ทั้งสองคนรีบลุกขึ้น
อาจารย์เจี่ยนกำชับชิวจวี๋ว่า “เก็บข้าวของ พวกเราจะไปจวนหย่งผิงโหว”
ชิวจวี๋รับคำ จู๋เซียงรีบไปเรียกหญิงรับใช้สูงวัยที่ติดตามรถมาช่วยถือของ พวกนางเดินทางไปยังเหอฮวาหลี่
ไท่ฮูหยินเห็นอาจารย์เจี่ยนมีแววตาสดใส กิริยาท่าทางสุขุม อ่อนน้อมถ่อมตน รู้ว่าไม่ใช่คนหลงในชื่อเสียง ก็รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก กำชับสืออีเหนียงให้เก็บกวาดห้องสองห้องที่เรือนลี่จิ่งเซวียนให้อาจารย์เจี่ยนกับชิวจวี๋พักอาศัย
“ถือเสียว่าเป็นที่พักอาศัยของพวกเจ้า มีค่าตอบแทนห้าตำลึงต่อเดือน ได้โปรดช่วยชี้แนะวิชาเย็บปักให้แก่เจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยเถิด”
อาจารย์เจี่ยนเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยินแล้วตามสืออีเหนียงไปหาเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้ว่าเป็นอาจารย์ของสืออีเหนียง จึงให้ความเคารพเป็นเท่าตัว อาจารย์เจี่ยนเห็นว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่คนเอาแต่ใจจึงได้รู้สึกวางใจ เมื่อปินจวี๋เห็นพวกนางก็น้ำตาคลอเบ้า “เมื่อได้ยินว่าจะมาก็พูดถึงอยู่ตลอด คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันจริงๆ ”
ชิวจวี๋จับมือปินจวี๋ “พี่ปินจวี๋” จากนั้นก็พูดคำอื่นไม่ออกอีก
เสี่ยวหลีและคนอื่นๆ เข้ามาปลอบใจนาง ตักน้ำมาให้พวกนางล้างหน้า
“รอพวกเจ้าจัดการทุกอย่างลงตัวแล้วก็ไปเล่นที่บ้านข้าสักวันเถิด” หลังจากความตื่นเต้นในตอนแรกได้ผ่านไป ปินจวี๋ก็เชิญอาจารย์เจี่ยนกับชิวจวี๋ แล้วหันไปมองจู๋เซียง เสี่ยวหลี และคนอื่นๆ “พวกเจ้าก็ไปด้วยกันสิ”
“ข้ารู้ว่าพี่ปินจวี๋แต่งงานแล้ว กระนั้น พวกเรายังไม่เคยเห็นหน้าพี่เขยเลย” ชิวจวี๋ยิ้มพลางพูดว่า “ย่อมต้องไปเยี่ยมสักหน่อย” พูดซะจนปินจวี๋เขินหน้าแดง
จู๋เซียงที่อยู่ข้างๆ ลอบถอนหายใจ คำพูดของชิวจวี๋ผุดขึ้นมาในหัว ‘…เห็นนางกลับมาจากเยี่ยนจิง ปักปิ่นเงินปิ่นทอง สวมชุดผ้าไหมหลิงหลัว โดยมีพ่อบ้านใหญ่อู๋มาส่งด้วยตัวเอง ไม่เหมือนคนตกอับ พี่สะใภ้นางค้นกระเป๋าสัมภาระของนางในคืนนั้น เอาเสื้อผ้า เครื่องประดับ และเงินสามร้อยตำลึงที่ฮูหยินให้เป็นรางวัลแก่นางไป ปกติแล้วหากไม่ใช้ไปซื้อเกลือก็ใช้ไปซื้อน้ำมัน เอาแต่ชี้นิ้วสั่งนาง แต่กลับไม่แบ่งเงินให้นางเลยสักตำลึงเดียว พอตงชิงทำหน้าไม่พอใจก็ชี้หน้าด่าอย่างไม่ไว้หน้า บอกว่าตงชิงจะเก็บสิ่งของเหล่านี้ไว้เป็นสินสอดทองหมั้น ตงชิงอายจนไม่กล้าพูดอะไร ทำเอาท่านพ่อท่านแม่ของตงชิงไม่สบายใจ ซ้ำยังใช้เงินของตงชิงไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย มารดาของตงชิงขอร้องให้คนมาเป็นแม่สื่อให้ คนที่ดูดีหน่อยพอเห็นนางอายุมากแล้วแต่ยังไม่มีคู่ครองก็ไล่กลับมา บอกว่าเป็นเพราะนางประพฤติตัวไม่เหมาะสมจึงไม่ตอบตกลง คนที่ตอบตกลง แปดเก้าในสิบส่วนเป็นพวกอันธพาลในหมู่บ้าน ไม่เพียงไม่มีเงิน ซ้ำยังไม่ออกค่าสินสอดทองหมั้น บังเอิญมีพ่อค้าสะสมผ้าไหมจากซูโจวอาศัยอยู่ข้างๆ เคยเห็นหน้าคาดตาตงชิงอยู่บ้าง จึงได้ขอให้คนมาช่วยหมั้นหมาย บอกว่าภรรยาเอกจากไปนานแล้ว เหลือบุตรสาวเพียงคนเดียว อยากจะแต่งภรรยาเอกคนที่สอง บิดากับมารดาของตงชิงเห็นว่าแม้คนผู้นี้จะอายุพอๆ กับพวกเขา อีกทั้งยังรูปร่างเตี้ยแคระ แต่เขาก็ยอมที่จะออกค่าสินสอดห้าสิบตำลึงจึงได้ตอบตกลง ไม่กี่เดือนต่อมาครอบครัวของพวกเขาได้ถูกใจเรือนในเขตอำเภอ พี่สะใภ้ของนางจึงพาหลานชายไปขอยืมเงินจากตงชิงและแวะเที่ยวเล่นที่ซูโจว เมื่อมาถึงซูโจวถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วภรรยาของพ่อค้าผู้นั้นยังไม่ตาย ไม่เพียงแต่ภรรยายังไม่ตาย ซ้ำยังมีบุตรชายภรรยาเอกอีกสามคน บอกกับคนอื่นๆ ว่าตงชิงเป็นภรรยาที่ซื้อมา เมื่อพี่สะใภ้ของตงชิงมาเยี่ยมเยียนที่เรือน ไม่เพียงแต่ถูกด่าทอ ซ้ำยังบอกให้สาวรับใช้สูงวัยในเรือนใช้ไม้ตีพี่สะใภ้ของตงชิง พี่สะใภ้ของตงชิงพึ่งรู้ว่าพ่อค้าผู้นั้นไม่อยู่เรือนมาหลายปี มีภรรยาเอกเป็นคนจัดการเรื่องในเรือนทั้งหมด ภรรยาเอกผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงดุร้ายที่มีชื่อเสียงในระแวกสิบลี้ หน้าตาบูดบึ้ง ตีสาวใช้ ด่าบ่าวไพร่เป็นปกติ ให้อนุไปคุกเข่าที่ลานทั้งคืนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่ออนุภรรยาในเรือนเห็นนางก็เหมือนกับหนูเห็นแมว ตอนที่ตงชิงพึ่งเข้ามา ภรรยาเอกก็จัดการนาง ตอนนี้ถูกทรมานจนไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ไร้ซึ่งใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเฉกเช่นแต่ก่อน…’
คนรอบข้างไม่รู้เรื่องในใจของจู๋เซียง เมื่ออาจารย์เจี่ยนกับชิวจวี๋เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว บรรดาสาวใช้น้อยใหญ่ข้างกายสืออีเหนียงกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็พากันไปที่เรือนของปินจวี๋ กินดื่มกันอย่างครึกครื้นอยู่นาน ต้าเสี่ยนให้ปิ่นจวี๋มาเล่นไพ่เป็นเพื่อนบรรดาสาวใช้ ส่วนตัวเองไปล้างจานอยู่ในครัว ยุ่งจนเหงื่อออกเต็มไปหมด
ชิวจวี๋เห็นดังนั้นก็รู้สึกทอดถอนใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางกับจู๋เซียงยิ่งสนิทชิดใกล้กันมากขึ้น
อาจารย์เจี่ยนสนใจงานปักที่วางอยู่บนเตียงเตาของปินจวี๋เป็นอย่างมาก
ปินจวี๋ยิ้มพลางอธิบายว่า “ข้าช่วยทำงานเย็บปักให้กับร้านขายของมงคลสมรสในเยี่ยนจิงแลกกับเศษเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายในเรือน”
“ปักได้ไม่เลวเลย!” อาจารย์เจี่ยนถามนางว่า “ม่านประตูแบบนี้ขายได้เท่าไร”
“หากซื้อวัสดุและเข็มกับด้ายเอง จะขายได้สองถึงสามตำลึง หากให้ทางร้านออกค่าวัสดุและเข็มกับด้าย จะขายได้หนึ่งถึงสองตำลึงเจ้าค่ะ”
“ราคาสูงกว่าหังโจวเสียอีก!”
“ผู้คนที่นี่ชอบลวดลายแบบซูโจว คิดว่ารูปแบบของพวกเราค่อนข้างแปลกใหม่”
ชิวจวี๋ยกน้ำแกงกุ้ยฮวาใส่เม็ดบัวเข้ามาพอดี ทั้งสองจึงหยุดบทสนทนา
พวกนางกลับมาถึงเรือนในตอนกลางคืนแต่กลับไม่พบสืออีเหนียง
“พ่อสามีของสือเหนียงเสียแล้ว ท่านโหวกับฮูหยินไปที่จวนเม่ากั๋วกง”