หลังจากที่ชิงเฟิงฟังจบก็ยิ่งฉงน
เนื่องจากนึกถึงการตายของบิดา ดังนั้นจึงโศกเศร้าอย่างมากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็อาจจะตายหรือ เศร้าจนถึงที่สุดจึงหัวเราะออกมา?
โจวเสวียนมองสีหน้าฉงนของเขา ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตบไหล่ของชิงเฟิงเบาๆ “เจ้าไม่ต้องคิดมาก ชิงเฟิง การคิดไม่ตกมองไม่ชัด อันที่จริงก็เป็นความสุข”
ชิงเฟิงจึงโยนทิ้งไม่คิดอีก “ได้ ข้าไม่คิด เพียงแค่ติดตามคุณชายก็ดีพอแล้ว”
โจวเสวียนเงียบงันไปชั่วครู่ “อาจจะไม่ดีก็ได้”
สิ่งที่เขาจะทำ หากใช้คำพูดของเฉินตันจู ‘หากเจ้าตายไป ข้าทำได้เพียงไว้อาลัยท่านภายในใจ’…มันคือโทษประหารเก้าชั่วโคตร หากเรื่องที่เขาทำล้มเหลว ชิงเฟิงในฐานะผู้ติดตามคงไม่มีจุดจบที่ดี
เมื่อนึกถึงเฉินตันจู เขายิ้มขึ้นมา ดวงตาโศกเศร้า เฉินตันจูยิ่งน่าสงสาร ทำมากมายเพียงนั้น เพียงแค่ฮ่องเต้รับสั่ง ยังคงต้องอดทนเก็บซ่อนความแค้นไปรับพี่สาวของตนเอง พี่น้องเผชิญหน้ากับการพระราชทานที่เป็นความอัปยศสำหรับพวกนางพร้อมกัน
เวลานี้เฉินตันจูเดินทางไปถึงที่ใดแล้ว ถึงซีจิงแล้วหรือไม่ ทุกย่างก้าวบนทางของนางคงเหมือนกับการเหยียบย่ำลงบนปลายมีดใช่หรือไม่
โจวเสวียนมองไปยังทิศทางของเมืองซีจิง กำมือแน่น ดังนั้น…
“เรื่องบางเรื่องยังคงต้องทำ เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องทำ”
เพื่อตัวเขา แต่ก็เพื่อนาง
เมื่อเห็นอารมณ์แปลกประหลาดของคุณชาย ครานี้ชิงเฟิงไม่ได้คิดอีก หากแต่โยนเชือกม้าให้โจวเสวียน “คุณชาย พวกเรากลับค่ายกันเถิด”
เมื่อโจวเสวียนกลับไปถึงค่ายทหาร ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว เมื่อเขาเข้าใกล้ค่ายทหารก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ
“เกิดอันใดขึ้น” โจวเสวียนรีบถามรองแม่ทัพที่เดินเข้ามา
รองแม่ทัพพูดเสียงเบา “หวังเจียนกลับมาแล้ว”
โจวเสวียนส่งเสียงสงสัย กระโดดลงจากม้า “ยังกล้ากลับมาอีก? เขาหายาดีเจอแล้วหรือ?” พูดพลางมุ่งตรงไปยังกระโจมของท่านแม่ทัพ…
รองแม่ทัพรั้งเขาเอาไว้ “ท่านโหว เวลานี้ยังคงไม่ให้เข้าใกล้”
แต่โจวเสวียนมุ่งตรงไปยังกระโจมท่านแม่ทัพแล้ว เมื่อเห็นเขาเข้าใกล้ หอกของทหารต่างเพ่งเล็งมาทางเขา
โจวเสวียนไม่ได้บุกเข้าไป เขาหยุดลง
“ท่านโหว” รองแม่ทัพไล่ตามมาด้วยความหอบ “ฝ่าบาทยังทรงไม่ให้เข้า รอก่อนเถิด หวังเจียนนำยากลับมาแล้ว คงจะมีข่าวดีในอีกไม่ช้า”
โจวเสวียนมองไปยังกระโจมท่านแม่ทัพทางนั้น พูด “หวังว่าจะมีข่าวดี”
…
ภายในกระโจมของท่านแม่ทัพที่แน่นหนากว่าวันปกติราวกับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด ฉากกั้นหนึ่งปิดกั้นเอาไว้ บนเตียงด้านหลังฉากกั้นมีแม่ทัพหน้ากากเหล็กนอนอยู่ ด้านข้างเป็นฮ่องเต้ที่มีสีหน้าดำทะมึน
สิ่งที่แตกต่างคือ แม่ทัพหน้ากากเหล็กที่เดิมทีนอนนิ่งไม่ขยับนั้น ร่างกายของเขานิ่มนวลขึ้นอย่างมาก อีกทั้งยังส่งเสียงถอนหายใจยาวออกมาหลังจากเปลี่ยนท่าทางการนอน “ฝ่าบาท กระหม่อมต้องการพักผ่อน”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและขาดพลังงานหลังจากหายป่วย ฟังแล้วทำให้คนรู้สึกสงสาร
แต่ฮ่องเต้ไม่ได้รู้สึกสงสารต่อขุนนางชราผู้นี้แม้แต่น้อย เขายื่นมือจับหัวไหล่ของแม่ทัพชรา “ลุกขึ้น! นอนอันใดกัน เจ้ายังนอนไม่พอหรือ”
แม่ทัพชราถูกดึงขึ้นนั่งอย่างหมดทางเลือก “ฝ่าบาท กระหม่อม…”
ฮ่องเต้ยกมือถอดหน้ากากเหล็กของเขาลง เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผิวขาวคนหนึ่ง ความงดงามที่แปลกประหลาดจางหายไปตามราตรี ใบหน้าที่รูปงามนี้เย็นยะเยือกราวกับหิมะบนภูเขา
“เสด็จพ่อ” เสียงเย็นชาราวกับระอา เขาเก็บความชราลง ใช้เสียงเย็นชาเรียกขานแผ่วเบา ต้องการปลอบประโลมความวุ่นวายของจิตใจผู้คน
“ฉู่อวี๋หยง” ฮ่องเต้ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย เขากัดฟันเรียกชื่อหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าโกรธเคือง เขาเหม่อลอย และแปลกหูเล็กน้อยเมื่อชื่อนี้ถูกเรียกออกมา
ชื่อนี้เรียกน้อยครั้งมากตั้งแต่เล็กจนโต บางครั้งเขานึกย้อนกลับไปยังสับสนเล็กน้อย ตนเองเคยมีบุตรชายคนนี้ ตั้งชื่อนี้จริงหรือ
เมื่อบุตรชายคนนี้กำเนิดและถูกอุ้มมา เขาอ่อนแออย่างมาก ราวกับแมวน้อยที่เพิ่งคลอดออกมา ฮ่องเต้นึกถึงมารดาของเด็กคนนี้ นางในที่ผอมเพรียวเช่นเดียวกัน ภาพในความทรงจำที่เขาจำได้อย่างแม่นยำคือความงามที่กำลังพลิ้วไหวที่ริมทะเลสาบอย่างหาได้ยาก ตอนนั้นเขาเพียงแค่หยอกล้อว่าความงามดุจดั่งมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา
แต่ความงามดุจดั่งมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภาเหมาะเพียงแค่ชื่นชม ไม่เหมาะสำหรับการให้กำเนิด เมื่อมีบุตรก็ทำให้ร่างกายของตนเองพังทลาย ตนเองต้องแลกด้วยชีวิต เด็กที่ให้กำเนิดออกมาก็เกือบจะไม่รอดทุกเวลา
‘ชื่ออวี๋หยงแล้วกัน’ เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อคิดได้ว่าอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน อย่างน้อยก็ถือว่าเคยเดินผ่านโลกมนุษย์สักครั้งแล้ว เช่นนั้นก็ทิ้งชื่ออันงดงามแต่ก็ราวกับไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์เอาไว้เถิด
ชื่อนี้คงอยู่จนถึงตอนนี้ แต่ยังคงดูเหมือนยังล่องลอยอยู่นอกโลกมนุษย์อยู่ ตัวของเขาก็ราวกับไม่มีอยู่
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของฮ่องเต้ก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย
“เจ้าเป็นผู้ที่ต้องการสวมหน้ากากของแม่ทัพหน้ากากเหล็กเอง ตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร”
องค์ชายหกมองฮ่องเต้ พูดอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อตรัสว่าหากใส่แล้วจะถอดออกไม่ได้อีก”
ฮ่องเต้พูดเสียงต่ำ “เวลานี้เจ้ากำลังทำสิ่งใด”
องค์ชายหกยื่นมือไปจับแขนเสื้อของฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ…”
ฮ่องเต้สะบัดเขาออก ก้าวถอยหลังไปอย่างระแวง “มีเรื่องใดก็พูด อย่าดึง”
องค์ชายหกตอบรับ คุกเข่าอยู่บนเตียง มองไปยังฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ กระหม่อมไปห้ามเฉินตันจูสังหารคุณหนูสี่ตระกูลเหยา”
ฮ่องเต้สีหน้าผงะ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก “เฉินตันจู? นางสังหารคุณหนูสี่ตระกูลเหยา?”
องค์ชายหกพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เรื่องเกิดกะทันหัน กระหม่อมไม่มีวิธี เพื่อไม่ให้ร่องรอยถูกเปิดเผย จึงทำได้เพียงถอดหน้ากากออก กระหม่อมรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้มีพระราชโองการของฝ่าบาท เพียงแค่บอกว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กป่วย ย่อมไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้ ยิ่งไม่มีทางถูกเปิดเผย ดังนั้นกระหม่อมจึงกล้าทำเช่นนี้…”
เสียงที่นุ่มนวลชัดเจนนั้นราบเรียบ ฮ่องเต้ยกมือขึ้น “เดี๋ยวๆๆ หยุดก่อน เรื่องนี้ไม่สำคัญยังไม่ต้องพูด เจ้าพูดต่อเฉินตันจูเป็นอย่างไร”
องค์ชายหกถอนหายใจ “เสด็จพ่อ หลี่เหลียงถูกสังหารโดยเฉินตันจู หลี่เหลียงมีความแค้นอันยิ่งใหญ่กับนาง เหยาฝูยิ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งความแค้นนี้ นางจะปล่อยเหยาฝูไปได้อย่างไร กระหม่อมเคยห้ามไม่ให้เสด็จพ่อพระราชทานความดีความชอบให้หลี่เหลียง…”
สีหน้าของฮ่องเต้ดำทะมึน น้ำเสียงเย็นชา “อย่างไร ข้าจะพระราชทานความดีความชอบให้แก่ผู้ใด ยังต้องให้เฉินตันจูเห็นชอบ?”
“เฉินตันจูย่อมไม่อาจบงการฝ่าบาทได้” องค์ชายหกพูด “อีกทั้งนางไม่กล้าขัดขืนฝ่าบาท นางเพียงแค่บงการตนเอง ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะตายไปพร้อมกับคุณหนูสี่ตระกูลเหยา เช่นนี้ นางไม่ต้องทนทุกข์ต่อศัตรูของนาง ยิ่งไม่มีผลต่อการพระราชทานของฝ่าบาท”
คนตายแล้วยังสามารถรับพระราชทานได้
ฮ่องเต้โกรธจนตัวสั่นเทา เดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจม เฉินตันจู เฉินตันจู!
“นางตายแล้วหรือ” เขาตะโกน
องค์ชายหกส่ายหัว “ตอนที่กระหม่อมเดินทางไปถึง ไม่ทันได้ห้ามนางลงมือ คุณหนูสี่ตระกูลเหยาถูกสังหารแล้ว” เขานั่งตัวตรง “แต่ว่าฝ่าบาทวางใจ กระหม่อมช่วยเฉินตันจูที่ต้องยาพิษเช่นเดียวกันไว้ได้ ถึงแม้ยังไม่ฟื้น แต่คงไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต รอคอยบทลงโทษจากฝ่าบาท”
ลงโทษ! ต้องลงโทษให้หนัก! ฮ่องเต้กัดฟัน ก่อนจะชะงักฝีเท้าลง มององค์ชายหกที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง
“มิใช่กระมัง” ฮ่องเต้ตรัส “บอกว่าเจ้าไปห้ามเฉินตันจูสังหารคนอันใดกัน เจ้าไปช่วยเฉินตันจูมากกว่ากระมัง”
องค์ชายหกสีหน้าเปิดเผย “ฝ่าบาท ลงโทษคนเป็นดีกว่าลงโทษคนตาย กระหม่อมทำเพื่อฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้ถ่มน้ำลาย “ข้าไม่เชื่อคำพูดหลอกลวงของเจ้า!” พูดพลางสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปอย่างขุ่นเคือง
ขันทีจิ้นจงด้านนอกกระโจมฉงน รีบเดินตาม “ฝ่าบาท ฝ่าบาท เสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
ส่วนหวังเจียนที่ถือยาเดินมารีบชะงักฝีเท้าด้วยความว่องไว แนบตัวชิดกับกระโจม ราวกับเกรงว่าฮ่องเต้จะเห็น
ฮ่องเต้ย่อมเห็นอีกฝ่าย แต่หมดแรงที่จะด่าเขา
“ไต้ฟูแต่ละคนล้วนไร้ความสามารถ” ฮ่องเต้เพียงแค่ก่นด่า “ข้าจะไปหาไต้ฟูให้ท่านแม่ทัพเอง!”
พูดพลางมองขันทีจิ้นจงที่ผงะ ก่อนจะตะโกน
“กลับวัง!”