ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Historiette > 1-4

Side Story < Love Historiette > 1-4

เขาเตรียมตัวนอนและนอนลงบนเตียง พอดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม ความกลัวและความกังวลก็ถาโถมเข้ามา

ถ้าความทรงจำไม่กลับมาจะทำยังไง…คิดถึงแม่จัง…คิดถึงพ่อ พวกน้องชาย วิล…แล้วก็เจนนี่ด้วย…เรามาที่เกาหลีทำไมนะ

‘คุณมาเรียนที่เกาหลีน่ะครับ จากนั้นก็ติดต่อกับผมแล้วก็เลยได้เจอกันด้วย’

ชายหนุ่มยื่นบัตรนักศึกษามหาวิทยาลัยให้ อินซอบจำไม่ได้เลยจึงลูบไล้บัตรนักศึกษาอยู่พักใหญ่

‘คุณอยู่ที่เกาหลีได้สักพักแล้วล่ะครับ ไม่จำเป็นต้องพยายามที่จะนึกหรอก เอาเป็นว่าอย่าฝืนเลยครับ รักษาตัวให้หายดีสำคัญที่สุด’

แม้จะพยักหน้าเงียบๆ แต่เขาก็ไม่สามารถขจัดความรู้สึกไม่ปลอดภัยทิ้งได้ ชายหนุ่มยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาให้ หลังจากที่ตนถามว่าสามารถโทรศัพท์คุยกับพ่อแม่ได้ไหม

‘แล้วของผมล่ะครับ’

‘พังตอนที่เกิดอุบัติเหตุน่ะครับ ใช้ของผมไปก่อนนะครับ’

ชายหนุ่มปลดรหัสโทรศัพท์มือถือและต่อสายไปที่อเมริกาในขณะที่ตนลังเล

‘อย่าพูดเรื่องอุบัติเหตุดีกว่านะครับ พวกเขาจะเป็นห่วงเปล่าๆ’

ชายหนุ่มพูดแบบนั้นในระหว่างที่เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้น อินซอบเองก็พยักหน้า เพราะหมอบอกว่าความทรงจำจะกลับมาในไม่ช้า

หลังจากเสียงสัญญาณดังอยู่สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงที่ง่วงนอนของแม่

‘แม่…’

น้ำตาแทบไหล เขาอยู่ในสภาพที่ตื่นขึ้นมาแล้วย้ายมาอยู่ประเทศอื่น แถมยังจากมาในอนาคตด้วย เขาทั้งไม่คุ้น สับสน…และกลัว

‘ปีเตอร์เหรอ ทำไมลูกถึงโทรศัพท์มาเวลานี้ล่ะ ลูกมักจะโทรศัพท์มาตรงเวลาเสมอนี่’

‘แค่อยากโทรน่ะครับ ผมโทรศัพท์มาหาเพราะคิดถึงเฉยๆ ครับ’

‘’ได้เลย ถ้าลูกอยากโทรก็โทรมาได้ตลอดเลย ให้เปลี่ยนสายเป็นพ่อแทนไหม’

‘ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องหรอกครับ วะ ไว้ผมจะโทรศัพท์มาใหม่คราวหน้าครับ’

‘ได้สิ ไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหม ปีเตอร์’

‘ไม่ได้มีเรื่องอะไรครับ…รักนะครับ แม่’

‘อื้อ แม่ก็รักลูกมากเหมือนกัน รู้ใช่ไหม’

‘ครับ งั้นราตรีสวัสดิ์ครับ’

พอคุยโทรศัพท์เสร็จ อินซอบก็บอกว่าจะไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยและลุกขึ้นทันที เพราะเขาไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าน้องชายแท้ๆ

เขาเปิดน้ำใส่อ่างล้างหน้าและร้องไห้อยู่สักพักก่อนจะออกมาที่ห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มยื่นแก้วน้ำให้โดยไม่พูดอะไร อินซอบเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงเล็กๆ ก่อนจะรับแก้วน้ำมา เขารู้สึกว่าน้ำเย็นๆ หวานมากเพราะคอแห้งหลังจากร้องไห้

ถ้าดูจากการที่โทรศัพท์ไปหาจากเกาหลีแล้วแม่ไม่ตกใจ เรื่องที่ว่าตนมาเกาหลีด้วยตัวเองคงเป็นเรื่องจริง

“แต่ก็ยังแปลกอยู่ดี…”

เขามีความสนใจและความกระตือรือร้นที่ใกล้ชิดเกี่ยวกับเกาหลี แต่กลับไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเกาหลีเลยสักครั้งเพราะใช้ชีวิตที่อเมริกามาทั้งชีวิต ยิ่งความคิดที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลีด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่…

มีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่านะ เรามาเกาหลีด้วยเหตุผลสำคัญที่จำไม่ได้หรือเปล่า ต้องนึกให้ออก ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม…

…กลัวจัง อยากกลับบ้าน แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องที่สำคัญคืออะไร แต่ขอกลับบ้านไม่ได้เหรอ วิล…แม่…พ่อ…บ้าน…อยากกลับบ้าน…

อินซอบไม่สามารถกลั้นการร้องไห้ที่พุ่งขึ้นมาได้และคลุมผ้าห่มจนมิดหัว น้ำตาที่กลั้นเอาไว้อย่างยากลำบากไหลทะลักออกมา ที่ห้องพักผู้ป่วยเขาไม่สามารถร้องไห้ได้อย่างเต็มที่ เพราะอยู่กับชายหนุ่มเสมอ

“ฮือ…ฮึก…ฮือออ…”

แม้จะพยายามไม่ส่งเสียงออกมาให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถกลั้นการร้องไห้ที่ระเบิดออกมาได้ ตอนแรกเขาคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้อาจเป็นฝันร้าย แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่สามารถตื่นขึ้นจากฝันที่โหดร้ายได้ แม้จะพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากที่สุดต่อหน้าน้องชาย แต่เขาก็สับสน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“ฮือ…ฮึก…ฮึก…”

ทำยังไงดี ต้องทำยังไงต่อไปดี…

ตอนนั้นเองผ้าห่มก็ถูกเปิดออก ชายที่ปรากฏตัวพร้อมกับถือหนังสือไว้ในมือข้างหนึ่งเดาะลิ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ผมนึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”

“…รู้ได้…”

เขาไม่มีเวลาเช็ดน้ำตาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มถอนหายใจและอุ้มอินซอบขึ้นมานั่งทั้งผ้าห่ม

“อย่าร้องไห้ครับ”

น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของชายหนุ่ม เขาจะรู้สึกเหมือนหน้าอกข้างหนึ่งถูกทำลายอย่างน่าประหลาด แต่ไม่ใช่ระดับที่จะพึ่งพิงหรือรู้สึกสนิทสนมด้วยได้

“ทำไมถึงคลุมโปงแล้วร้องไห้อยู่คนเดียวล่ะ มันทำให้ผมเจ็บใจนะ”

ชายหนุ่มพึมพำราวกับพูดคนเดียวและตบหลังอินซอบเบาๆ พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกใจอ่อนปวกเปียก ความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้ท่วมท้นขึ้นมา เขารู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเรื่อยๆ…เพราะอึดอัดใจและหายใจไม่ออก

“อย่าร้องไห้เลยครับ ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นอะไร…นะ? ไม่เป็นไรนะครับ”

อินซอบพยักหน้า น้ำตาที่ไหลออกมาไหลอาบแก้ม ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่และใช้ฝ่ามือใหญ่กุมใบหน้าของอินซอบเอาไว้

“ร้องไห้ทำไมครับ กลัวอะไรขนาดนั้นเหรอ”

“…แค่…”

เขารู้สึกเหมือนพอลืมตาขึ้นมาแล้วยืนอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่รู้จัก ทั้งเหงาทั้งน่ากลัวทั้งฉุกละหุกจนเขาอยากจะคว้าอะไรก็ได้ไว้

อินซอบจับแขนของชายหนุ่มไว้และสะอื้นพร้อมกับพูดต่อ

“ผมไม่รู้ครับ ผมจำอะไรไม่ได้…แล้วภาษาเกาหลีก็ยากด้วย…ผมอยากกลับบ้าน…”

อีกฝ่ายดึงอินซอบเข้ามากอด แขนที่แข็งแกร่งเพิ่มแรงกอดจนหายใจได้ยาก

“เอ่อ ดะ เดี๋ยว…”

เขาอยากขอให้เอาแขนออกไป

“มันจะไม่เป็นไรครับ”

จนกระทั่งได้ฟังคำพูดของชายหนุ่ม

“ทุกอย่างต้องไม่เป็นไรครับ ความทรงจำต้องกลับมา และทุกอย่างจะดีขึ้นครับ ผมสัญญา ผมจะช่วยเองครับ…ผมจะช่วย เพราะงั้นคุณอย่าร้องไห้เลยนะครับ”

แปลก อีกฝ่ายบอกตนว่าอย่าร้องไห้ และบอกว่าจะไม่เป็นไร แต่เขากลับได้ยินเหมือนเป็นคำอ้อนวอน

“เพราะฉะนั้น…อย่าไปเลยนะครับ”

ชายหนุ่มกระซิบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ผู้ชายที่สูงกว่าตัวเองและเหมือนจะไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลยพูดแบบนั้นราวกับอ้อนวอน อินซอบรู้สึกทั้งรักและสงสารจนเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายซบหน้าผากลงกับไหล่ของอินซอบและกระซิบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาอยู่หลายครั้ง

มันจะไม่เป็นไร เพราะงั้นอย่าร้องไห้เลยครับ อย่าไปนะครับ อยู่ที่นี่กับผมนะครับ…ผมจะช่วยเองครับ มันจะไม่เป็นไรครับ

ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็กำลังสับสนกับสถานการณ์นี้อยู่เหมือนกัน น้องชายที่ได้ติดต่อและได้เจอกัน…คงจะสนิทกันมากอย่างแน่นอน ถึงขนาดที่รับหน้าที่เฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลตลอดและหยิบยื่นบ้านครึ่งหนึ่งให้อย่างยินดี

นี่เป็นครั้งแรกที่อินซอบยอมรับความจริงว่าชายตรงหน้าเป็นน้องชายที่เด็กกว่าตัวเอง เขายกมือขึ้นลูบหัวของชายหนุ่มอย่างช้าๆ และรู้สึกได้ถึงการกลั้นหายใจเบาๆ ของอีกฝ่าย

“…ขอโทษครับ”

“…”

“เพราะผมคิดถึงแต่ตัวเอง…คุณน่าจะสับสนเหมือนกันแท้ๆ…ขอโทษนะครับ”

เขาขอโทษอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยการร้องไห้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น สายตาที่อัดแน่นและไม่ยอมแพ้ไล่มองใบหน้าของอินซอบ

“ผมอีอูยอนครับ”

“ครับ?”

“ชื่อของผม”

อินซอบพยักหน้าเบาๆ อีอูยอน นี่เป็นชื่อที่เขาได้ยินพวกชายวัยกลางวันเรียกที่ห้องพักผู้ป่วย ตอนนั้นเขาก็คิดว่าเป็นชื่อที่เหมาะกับอีกฝ่าย

“ผมปีเตอร์ครับ…ชื่อเกาหลีคือชเวอินซอบ”

“ผมรู้ครับ”

อีกฝ่ายคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดต่อด้วยภาษาอังกฤษ

“พูดภาษาอังกฤษดีไหมครับ ทำตามที่คุณสบายใจได้เลย”

แม้จะบอกว่าไม่ถนัดภาษาอังกฤษ แต่ก็เป็นการออกเสียงที่ต่อให้ฟังอีกครั้งก็ยังสมบูรณ์แบบ อินซอบครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรครับ…ผมพูดภาษาเกาหลีได้ครับ ผมเรียนมา”

“ตกลงครับ เยี่ยมเลย”

จู่ๆ ผู้ชายที่พูดแบบนั้นก็พึมพำราวกับพูดคนเดียว

“…เพราะเป็นแบบนี้เลยรู้สึกเหมือนเจอกันครั้งแรกจริงๆ เลย”

ชายหนุ่มหลับตาลงพลางหัวเราะ อินซอบคิดว่าเสียงหัวเราะสั้นๆ นั้นเพราะมาก

“แล้วผมเรียกคุณ เอ่อ คุณอีอูยอน…ว่าอะไรเหรอครับ”

เขานึกถึงความจริงที่ว่าตนไม่เคยเรียกอีกฝ่ายดีๆ เลยหลังจากลืมตาขึ้นมา ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“อยากเรียกว่าอะไรล่ะครับ”

“ครับ?”

“เรียกตามที่อยากเรียกได้เลยครับ”

อีกฝ่ายถูหน้าผากกับไหล่ของตนราวกับออดอ้อน อินซอบตกตะลึงเล็กน้อย แม้จะเป็นพวกแสดงความรักกันในครอบครัวอยู่บ่อยๆ แต่พวกน้องชายที่อเมริกาก็ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวกันแบบนี้ เหมือนเขาจะเคยอ่านเจอในหนังสือว่าที่เกาหลีหัวโบราณกับการแสดงความรักมากกว่าที่อเมริกา…แต่สมัยนี้วัฒนธรรมเปลี่ยนไปแล้วเหรอ

“เอ่อ งั้น…คุณ…”

ชายหนุ่มหันหน้ามาสบตาจากไหล่ของอินซอบ ราวกับสัตว์เลี้ยงที่รอให้เรียกชื่อของตน

…เราเรียกแค่ชื่อของคนคนนี้ได้เหรอ

แม้จะบอกว่าเป็นน้องชายแท้ๆ แต่อินซอบก็ยังเชื่อได้ยากว่าชายตรงหน้าเด็กกว่าตนถึงสองปี ปัญหาไม่ใช่การที่อีกฝ่ายดูมีอายุ แต่เป็นการที่ตนเองมีความกลัวที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ต่อชายหนุ่ม เขาไม่แน่ใจว่าตนจะก้าวข้ามสิ่งนั้นตามอำเภอใจได้ไหม

“ไม่เรียกชื่อเหรอครับ”

“…คุณอูยอน”

“ทำไมถึงใช้คำว่าคุณกับน้องล่ะครับ ต้องเรียกแค่ชื่อสิ”

ชายหนุ่มเช็ดน้ำตาที่เกาะอยู่ที่ขนตาของอินซอบออกพลางพูดต่อ

“แล้วก็พูดอย่างเป็นกันเองด้วยครับ ใครเขาใช้คำสุภาพกับน้องกันล่ะครับ”

“อ๋อ ได้สิ…อื้ม”

พอตอบออกไป อินซอบก็สังเกตท่าทีของอีกฝ่ายอย่างกระวนกระวาย ชายหนุ่มยิ้มอย่างช้าๆ จากนั้นก็พึมพำราวกับพูดคนเดียว

“…ผมเคยจินตนาการอยู่บ้าง”

ว่าพอพูดอย่างเป็นกันเองแล้วคงจะรู้สึกดีที่ได้ฟัง

ก่อนจะลืมตาขึ้นมาที่นี่ อินซอบไม่รู้เลยว่าตัวเองมีน้องแท้ๆ แต่เหมือนกับชายคนนี้รู้ว่ามีพี่ชายอยู่ตลอดเวลา

เขาจินตนาการว่าได้พูดอย่างเป็นกันเองกับพี่ชายที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งหน้าตาเหรอ แค่คิดถึงเรื่องนั้น เขาทั้งรักและสงสารชายที่อยู่ตรงหน้ามาก

ลมหายใจของชายหนุ่มเป่ารดไหล่ อินซอบขยับนิ้วเท้าอยู่ใต้ผ้าห่มเพราะรู้สึกจั๊กจี้ ความร้อนเพิ่มขึ้นทีละนิดตรงที่ร่างกายที่สัมผัสกัน

“…คือ…”

อินซอบเอ่ยปาก เพราะคิดว่าต้องพูดอะไรบางอย่าง

“หืม?”

“นะ นั่นเป็น…หนังสืออะไรเหรอ”

อินซอบชี้ไปที่หนังสือที่ชายหนุ่มถืออยู่ อีกฝ่ายชูหนังสือให้ดู มันเป็นผลงานของนักเขียนนิยาย SF ที่อินซอบชื่นชอบ

“ผมจะอ่านหนังสือให้ฟังครับ เพราะดูเหมือนคุณจะนอนไม่หลับ”

การดูโทรทัศน์ การอ่านหนังสือ และการใช้คอมพิวเตอร์ถูกห้ามไปสักระยะหนึ่ง หมออธิบายว่าการให้สมองได้หยุดพักเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

“…ไม่เป็นไร”

แม้จะพูดแบบนั้น แต่ความจริงเขาไม่อยากอยู่คนเดียว

หลังออกจากโรงพยาบาล ชายหนุ่มพาอินซอบไปที่บ้านพักตากอากาศที่คังวอนโด แม้จะสามารถเดินทางไปถึงได้ภายในเวลาสามสิบนาทีหากนั่งรถไปจากโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย แต่แถวๆ บ้านพักตากอากาศกลับไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลสาบ กลางคืนที่เงียบสงบอย่างที่ไม่สามารถใช้เวลากับอะไรได้เลยยาวนานเป็นพิเศษ มันทำให้เขาคิดถึงค่ำคืนที่ตนใช้เวลาอยู่บ่อยๆ ตอนเจ็บป่วยที่อเมริกา

“ผมจะอ่านแค่ตอนที่สนุกๆ เพราะผมก็อยากอ่านเหมือนกันครับ”

หนังสือที่ชายหนุ่มถือมามีทั้งหมดสามเล่ม เราอ่านเล่มหน้าหรือยังนะ แม้อินซอบจะครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่ก็พยักหน้า

ชายหนุ่มยิ้มพลางกางหน้าที่พับเป็นสัญลักษณ์ไว้ออก เขาเริ่มอ่านหนังสือด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ร่างกายที่ถูกกอดไว้ทั้งผ้าห่มสัมผัสกับหน้าอกของชายหนุ่ม แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ประดักประเดิดและไม่คุ้นอยู่สักหน่อย แต่อินซอบกลับชอบเสียงของชายหนุ่มที่อ่านหนังสือให้ฟังที่ได้ยินจากทางด้านหลังมากจนยอมฟังการอ่านออกเสียงนั้นอย่างเรียบร้อยโดยไม่พูดอะไร

น้ำเสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวลที่ค่อยๆ ช่วยปลอบประโลมความกังวลใจลง การอ่านออกเสียงที่ถูกต้องและชัดเจนถ่ายทอดเนื้อหาของนิยายได้อย่างครบถ้วนราวกับแกะสลักออกมา

อินซอบหลับตาลง เขาไม่รู้สึกถึงความไม่สบายใจที่เหมือนกับพื้นตรงใต้เท้าพังทลายลงไปอีกเลย

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท