หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1039 แนวทางจื่อเยว่!

บทที่ 1039 แนวทางจื่อเยว่!

“สวี่อินหลิงเก็บงำไว้ลึกเสียจริง!”

“หึ นังงูพิษ ใช้หน้าตาหลอกล่อให้คนคิดว่าอ่อนแอ ข้าเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด!”

“เจ้าเล่ห์เสียจริง คิดๆ ดูแล้ว การกระทำก่อนหน้าทั้งหมดของสวี่อินหลิงก็เพื่อที่จะผลักหวังเป่าเล่อออกมาให้เป็นเป้าสายตาของพวกที่ละโมบดาวเคราะห์เต๋าให้เบนไปทางเขาให้หมด ส่วนตัวเองก็แอบพัฒนา…”

ภายใต้การบีบคั้นของหวังเป่าเล่อ สวี่อินหลิงไม่สามารถเก็บซ่อนพลังปราณต่อไปได้ ผู้ชมทั้งสี่ด้านล้วนเข้าใจเหตุผลในทันที ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้น ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ที่ดาวชะตาต่างก็รับรู้ด้วยเช่นกัน

อันที่จริงกลอุบายของสวี่อินหลิงไม่ได้ฉลาดสักเท่าไร ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมองออก เพียงแต่หากจะลงมือกับสวี่อินหลิงหรือหวังเป่าเล่อก็ต้องมีเหตุผลที่เพียงพอ

ดังนั้นผู้ที่มองออกจึงยอมให้สวี่อินหลิงเป็นคนปูทาง ทว่าตอนนี้ความแตกแล้วและเหตุผลนี้ก็ไม่ใช้ไม่ได้อีก จุดนี้สวี่อินหลิงเองก็รู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นความโกรธเกลียดในใจนางตอนนี้จึงทะยานสูง ท่ามกลางเสียงดังสนั่นกับหวังเป่าเล่อในที่นี้ การต่อสู้จึงยิ่งรุนแรงขึ้น

ส่วนซุนหยางสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

แม้เขาจะต้องการเหตุผลในการลงมือต่อหวังเป่าเล่อ แต่ในใจกลับไม่ใด้ใส่ใจพลังต่อสู้ของสวี่อินหลิงสักเท่าไร เวลานี้สวี่อินหลิงลงมือโหดเหี้ยมไร้ผู้เปรียบ เขารู้สึกเพียงตอนนี้ใบหน้าแสบร้อน ความรู้สึกที่ถูกคนหลอกใช้ได้ทิ่มแทงจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา

“หวังเป่าเล่อพูดไว้ไม่มีผิด นี่มันคนต่ำช้า!” ในขณะที่ซุนหยางกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เสียงดังสนั่นก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การลงมือของหวังเป่าเล่อกับสวี่อินหลิงได้ทำให้มวลคลื่นดาวเคราะห์เต๋ายิ่งขยายวงกว้าง ทำให้เขาต้องถอยหลังอย่างห้ามไม่ได้

จวบจนเสียงดังสั่นรุนแรงลอยออกมา สวี่อินหลิงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ท่ามกลางเศษกระดาษปลิวว่อนจำนวนมากที่เกิดจากพลังเทพ ร่างกายเซถอยหลายก้าว แววตาฆ่าฟันวาบวับ มือขวายกวาดขึ้น เมื่อเสียงกระพรวนลอยแว่ว ดาวเคราะห์เต๋าด้านหลังพลันเด่นชัดขึ้น กฎพลังระเบิดขึ้นอีกครั้งเกิดเป็นระลอกคลื่นจำนวนมาก ในขณะที่กำลังกระจายไปรอบๆ เสียงสวี่อินหลิงพลันดังขึ้น

“วิถีกระดาษ”

หลังจากเสียงสะท้อน หลังจากกฎดาวเคราะห์เต๋าระเบิดขึ้น ร่างกายของสวี่อินหลิงก็ค่อยๆ กลายเป็นกระดาษ ส่วนที่เริ่มเปลี่ยนเป็นกระดาษส่วนแรกคือมือทั้งสองของนาง หลังการเปลี่ยนแปลงเป็นกระดาษมวลพลังของนางก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

เพียงพริบตาก็ราวกับขึ้นสู่ระดับสูง กลิ่นอายกล้าแกร่ง สั่นสะเทือนไปทั่ว นัยน์ตาหวังเป่าเล่อวาววับ ตั้งแต่เขาเป็นดาวพระเคราะห์ก็ต่อสู้กับคนอื่นมาไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับสวี่อินหลิงตรงหน้านี้ คู่ต่อสู้เหล่านั้นต่างเทียบไม่ติด!

ท้ายที่สุดก็เป็นเพราะสวี่อินหลิงนั้นเหมือนตัวเอง ต่างก็เป็นดาวเคราะห์เต๋าอีกทั้งการฝึกตนก็พัฒนาอย่างรวดเร็วราวกับอยู่ขั้นเดียวกับตน คือดาวพระเคราะห์ระดับกลาง

ดาวเคราะห์ระดับกลางที่ได้พลังหนุนจากดาวเคราะห์เต๋าสามารถบดขยี้ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ได้เกินกว่าครึ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ทื่สวี่อินหลิงได้แสดงเคล็ดวิชาลับสุดยอดออกมา นาทีนี้เมื่อมวลพลังระเบิดออกหวังเป่าเล่อท่าทีเคร่งขรึมขึ้น ขณะที่มือขวาเคลื่อนสูง เวทผนึกดาราอยู่ในร่างเคลื่อนที่ด้วยความเร็วทำให้แผนที่ดาวเทพวัวที่ด้านหลังเกิดเงาร่างมายาขึ้น

อีกทั้งยังมีบทสวดแห่งเต๋าไหลวนอยู่ภายใน เมื่อเห็นทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดใกล้ได้เวลาปลดปล่อย ทว่าในเวลานี้พลันมีเสียงราบเรียบลอยแว่วมาจากดาวชะตา

“พอได้แล้ว พวกเจ้าผู้เยาว์ทั้งสองหากจะสู้กันก็ไปสู้กันที่นอกดาวชะตา ไม่ต้องมาอวยพรวันเกิดประมุกฎสวรรค์แล้ว”

คำพูดนี้ราวกับบัญญัติกฎใหม่ เพียงพริบตาก็ทำให้อวกาศนอกดาวชะตาพลันสะท้าน มวลพลังอันน่าสะพรึงเข้ามาเยือนได้กลายเป็นการคุกคามล่องลงสู่สนามต่อสู้

ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงดารานิรันดร์ทั้งหลายที่กำลังต่อสู้กันอยู่รอบๆ สีหน้าเปลี่ยนไป ภายใต้กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวต่างก้าวถอยอย่างอดไม่อยู่ไม่กล้าสู้กันต่อ ทางสวี่อินหลิงกับหวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เมื่อถูกกลิ่นอายนี้กดดันเงาร่างเทพวัวที่ด้านหลังพลันสั่นคลอน แต่ดาวเคราะห์เต๋าที่เกิดจากดาวบรรพกาลเก้าดวงกลับทะเล้นลองดีคล้ายกับลอยขึ้นตามสัญชาตญาณไม่ยอมถูกกดขี่ อยากจะระเบิดพลังต่อต้านพิชิตชัย

เพียงแต่หวังเป่าเล่อเป็นนายของดาวเคราะห์เต๋าควบคุมการเคลื่อนไหว ดังนั้นภายใต้ความนึกคิดดาวเคราะห์เต๋าก็หายวาบไปในทันที เวทผนึกดาวก็กระจายหายไปเช่นกัน ยืนกำหมัดประสานมือจากตำแหน่งเดิมหันคารวะไปทางที่มาของกลิ่นอายและถ้อยคำจากดาวชะตา

“เป็นผู้เยาว์ที่หุนหันล่วงเกิน ผู้อาวุโสโปรดอภัย!” กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงแต่หางตากลับปรายมองสวี่อินหลิงฉายแววลุ่มลึก เขารู้ดีว่าจะฆ่าสวี่อินหลิงที่นี่นั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นก่อนหน้าดูเหมือนลงมือรุนแรงแต่ความจริงคือกำลังเฝ้าสังเกตดาวเคราะห์เต๋าของอีกฝ่าย

เขาจำได้ว่าดาวเคราะห์เต๋าของสวี่อินหลิงไม่เหมือนกับของตัวเองเป็นการอัญเชิญที่มาจากการละทิ้งอำนาจการควบคุมของตัวเอง ดังนั้นจะควบคุมให้สงบลงตามต้องการได้หรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่อง

และความจริงก็เป็นเช่นนี้ แทบเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อถอนพลังกลับสลายดาวเคราะห์เต๋า ด้านสวี่อินหลิงร่างกายสั่นเทารุนแรง นางกำลังกดพลังลงทว่ารู้สึกยากจะรับไหว นางอยากจะสลายดาวเคราะห์เต๋าไปเช่นกัน แต่ดาวเคราะห์เต๋าของนางช่างหยิ่งทะนงเหลือเกิน

ความทะนงตนเช่นนี้มีหรือจะยอมให้ผู้อื่นบีบบังคับ ดังนั้นไม่เพียงไม่สลายตัวตามความต้องการของสวี่อินหลิง แสงสว่างกลับเรืองรองยิ่งกว่าเก่า

นี่ทำให้สวี่อินหลิงสีหน้าเปลี่ยนไป ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงพ่มลมเย็นชาแว่วมาจากทางดาวชะตา ในขณะที่เสียงลอยแว่วมา ระหว่างที่อวกาศบิดหมุนก็เกิดฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งที่เกิดจากดาวชะตาพุ่งมามายังสวี่อินหลิงก่อนคว้าจับไป!

การปรากฏของมือนี้ทำให้ผู้คนนอกอวกาศไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับใดต่างสั่นสะท้านใจราวกับหัวใจถูกบางอย่างคว้าไว้ สูญสิ้นเรี่ยวแรงต่อสู้

“ผู้อาวุโส!!” เป็นครั้งแรกที่สวี่อินหลิงเผยแววตาหวาดกลัวอย่างรุนแรง นางรู้ดีว่าการลงมือนี้ดาวเคราะห์เต๋าอาจไม่เป็นอะไร แต่ตัวนางเองไม่มีทางทนไหว อันตรายอยู่ตรงหน้านางกัดลิ้นอย่างรุนแรงพ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ไม่ลังเลที่จะใช้วิชาลับเพื่อบังคับเก็บดาวเคราะห์เต๋า

บางทีอาจเป็นเพราะวิชาลับของนางได้ผลอยู่บ้างหรือบางทีอาจเป็นเพราะดาวเคราะห์เต๋าที่หยิ่งทะนงของนางก็ไม่ยินยอมที่จะให้ร่างที่ใช้นี้ตายด้วยเหตุนี้ ดังนั้นภายใต้ความไม่เต็มใจที่ตีกันอยู่ ดาวเคราะห์เต๋าจึงสลายไป!

เมื่อสลายหายไป มือใหญ่ที่มาจับนั้นก็ค่อยๆ เลือนลางก่อนหายไปท่ามกลางสายตาของผู้คน แรงกดดันที่นอกอวกาศก็มลายหายตามไป

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองสวี่อินหลิงทีใบหน้าซีดขาวก่อนส่ายหน้าน้อยๆ

“เดิมทีก็ถูกควบคุมอยู่แล้วกอรปกับเป็นทาสของดาวเคราะห์เต๋า มีดาวเคราะห์เต๋าเป็นนาย เผชิญหน้ากับการควบคุมไม่ได้ตลอดเวลาอีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะถูกทิ้งเปลี่ยนคนรับใช้ใหม่ สวี่อินหลิงเอ๋ยสวี่อินหลิง เจ้าใช้ชีวิตให้ดีเถอะ อย่าได้มาหาเรื่องข้าอีก!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเรียบๆ ไม่สนใจสวี่อินหลิงอีก ไหวร่างกายเคลื่อนไปยังดาวชะตา เซี่ยไห่หยางตามอยู่ด้านหลังเบนหน้ามองสวี่อินหลิงไม่พูดอะไร

เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงทั้งหลายก็เช่นกัน ตรงเข้าสู่ดาวชะตาด้วยความรวดเร็ว ส่วนดารานิรันดร์คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปอยู่ช้างนายน้อยของตน ทางด้านซุนหยางก่อนที่จะไปก็ได้หันมองมาทางสวี่อินหลิงเช่นกัน เพียงแต่นัยน์ตาเขาได้ฉายแววเยียบเย็น เห็นได้ชัดว่าได้เกลียดสวี่อินหลิงเข้ากระดูกดำแล้ว

สำหรับคนอื่นๆ จากนอกอวกาศที่เฝ้ามองฉากต่อสู้นี้ก็ทยอยกลายเป็นลำแสงแดงยาวบินไปยังดาวชะตา มีเพียงสวี่อินหลิงและผู้คุ้มครองนางที่รวมตัวกันมาจากทุกสารทิศ แต่ละคนนิ่งเงียบไม่พูดจามองสวี่อินหลิงที่ตอนนี้สีหน้าเบี้ยวบูด ยืนอยู่ด้านหลังนางไม่รู้จะพูดอะไรดี

“หวังเป่าเล่อ!!” สิ้นเสียง สีหน้าสวีอินหลิงค่อยๆ กลับคืนเป็นปกติ นัยน์ตาปรากฎความโกรธเกลียดวาบผ่าน

นางเกลียดที่หวังเป่าเล่อมองตัวเองออกทะลุปรุโปร่งรวมทั้งที่ตนถูกดาวเคราะห์เต๋าควบคุม ตัวเองมีสภาพที่ไม่มั่นคง ที่นางอิจฉาคือเพราะเหตุใดดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อถึงยอมตามใจเจ้านาย ส่วนดาวเคราะห์เต๋าของตัวเองกลับต้องการให้ตัวเองสละละทิ้งทุกอย่างวิงวอนถึงยอมหลอมรวมเข้ากับตน

“อาจารย์จื่อเยว่กล่าวไว้ไม่ผิด บนโลกนี้มีสิ่งไม่ยุติธรรมอยู่เยอะมาก หากอยากหลุดพ้น อยากบงการชีวิตของตน ทางเดียวคือการฝังเมล็ดพันธุ์!” สวี่อินหลิงปิดตาลงหยิบแผ่นหยกสีม่วงออกมาจากกำไลเก็บของ ลูบคลำอยู่ในมือ

“แม้ข้าอาจจะมีอันตรายใหญ่หลวง แต่ว่าข้ายังต้องการปลูกเมล็ดพันธุ์ต่อไป!”

……………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท