กว่าสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว ไท่ฮูหยินยังไม่เข้านอน เรียกพวกเขาไปพูดคุย
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“เสียวันนี้ตอนเช้าต้นยามซื่อ ก่อนหน้านี้ได้ส่งผู้ดูแลให้รีบนำจดหมายไปส่งที่เขตไท่หยวนแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนก็ควรจะมาถึงแล้ว หวังไท่ฮูหยินสุขภาพไม่ดีตั้งแต่ตอนที่หวังหลังจากไป สือเหนียงก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องนี้ ตอนนี้เจิ้นซิ่งกำลังช่วยดำเนินการอยู่ทางนั้น ฝ่ายกรมพิธีการได้ทำการประกาศข่าวสารแล้วขอให้สำนักดาราศาสตร์หยินหยางช่วยเลือกวันให้ บรรดาญาติๆ จะถือศีลอดทุกๆ เจ็ดวัน สามวันหลังจากเสียชีวิตจะจัดพิธีศพและส่งข่าวสารให้ญาติสนิทมิตรสหาย วันนี้ตอนกลางคืนได้จัดเตรียมกระโจม ชุดไว้ทุกข์ และซุ้มประตูไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าให้ผู้ดูแลจ้าวคอยช่วยเหลืออยู่ที่นั่น”
ไท่ฮูหยินเห็นว่าทุกอย่างได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วจึงพยักหน้าแล้วกำชับสืออีเหนียงว่า “พวกเจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องไปช่วยงานทางด้านนั้นอีก”
ทั้งสองคนคำนับแล้วถอยออกไป
เมื่อกลับมาถึงเรือนสืออีเหนียงก็กำชับสาวใช้น้อยให้ไปผสมน้ำยาแก้ไอมาให้สวีลิ่งอี๋ “ช่วงนี้อากาศค่อนข้างแห้ง ท่านโหวระวังจะเจ็บคอเอาได้”
สวีลิ่งอี๋รับถ้วยยามาจิบหนึ่งอึก “พรุ่งนี้ข้าจะไปกรมพิธีการกับอี๋ชิง เพื่อรีบตัดสินเรื่องตำแหน่งสืบทอดของสกุลหวัง ตอนเช้าเจ้าไปหาพ่อบ้านไป๋เพื่อไปเอาเงินสองพันตำลึงไปให้เจิ้นซิ่ง วันนี้ข้าได้ยินเจิ้นซิ่งบ่นว่าแม้แต่เงินจะซื้อชุดไว้ทุกข์ก็ยังไม่เพียงพอ”
สืออีเหนียงรับคำ ปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋ไปพักผ่อน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปที่จวนสกุลหวังกับสวีลิ่งอี๋พร้อมกับนำตั๋วเงินไปด้วย
เมื่อคืนหลัวเจิ้นซิ่งพักอยู่ที่สกุลหวัง หลัวเจิ้นเซิง จูอานผิง และชีเหนียงได้มาถึงแล้ว ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกัน เมื่อเห็นสองสามีภรรยาสกุลสวีก็พากันลุกขึ้น หลัวเจิ้นซิ่งถามพวกเขาว่า “ทานข้าวแล้วหรือยัง”
“พวกเราทานมาแล้ว!” เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาก็เข้ามาคำนับ อวี๋อี๋ชิง เฉียนหมิง ซื่อเหนียง และอู่เหนียงก็มาถึงแล้ว เมื่อรู้ว่าสวีลิ่งอี๋กับอวี๋อี๋ชิงจะไปกรมพิธีการ เฉียนหมิงก็พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นข้าขอตามไปด้วย!” จูอานผิงได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นข้าจะอยู่ช่วยพี่ใหญ่ที่นี่”
“ได้สิ!” หลัวเจิ้นซิ่งก็รู้สึกว่าในสกุลหวังไม่มีคนที่ช่วยงานได้ คนที่ช่วยงานได้มีเพียงผู้ดูแลเจ้าเพียงคนเดียว
ทุกคนแยกย้ายกันไปทำธุระ
สืออีเหนียงเดินตามอยู่ด้านหลัง เมื่อทุกคนออกจากห้องโถงบุปผาแล้วก็นำตัวเงินมอบให้หลัวเจิ้นซิ่ง “พี่ใหญ่รับไปก่อน หากไม่พอค่อยว่ากัน!”
หลัวเจิ้นซิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับมา “ชีเหนียงก็ให้เงินข้ามาสองพันตำลึง ข้าได้นำเงินพวกนี้จดไว้ในบัญชีแล้ว เมื่อบุตรเขยและคุณหนูตระกูลพวกเขามาข้าจะมอบบัญชีให้พวกเขา”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีเงินไว้ใช้จ่ายแล้วจริงๆ !
สืออีเหนียงพยักหน้า ไปเยี่ยมหวังไท่ฮูหยินพร้อมกับซื่อเหนียง อู่เหนียง และชีเหนียง จากนั้นก็ไปหาสือเหนียง
อู่เหนียงถอนหายใจ “…เมื่อสองวันก่อนพึ่งจะซื้อจวนที่มีทางเข้าสามประตูที่ตรอกซื่อเซี่ยง กะว่าจะรับพวกเจ้าไปเลี้ยงฉลอง คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้ คงต้องรอไปอีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน!”
สืออีเหนียงประหลาดใจมาก
หลายวันก่อนได้ยินคุณนายสี่สกุลหลัวบอกว่าอู่เหนียงยืมเงินคุณนายใหญ่สกุลหลัว ตอนวันพิธีสรงสามของน้องเจ็ดก็ไม่เห็นนางจะพูดอะไร ทำไมถัดมาไม่กี่วันก็ไปซื้อจวนเสียแล้ว
นางคิดถึงกิจการที่คุณนายสี่พูดถึงเมื่อคราวที่แล้ว
น่าเสียดายที่พิธีสรงสามเป็นเรื่องของบรรดาสตรี เฉียนหมิงไม่ควรมา มิเช่นนั้นก็จะสามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ที่เยี่ยนจิงหรือไม่…
ซื่อเหนียงกลับมีสีหน้าเรียบเฉย นางยิ้มเล็กน้อยพลางพูดว่า “เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องไปแน่นอน!”
ชีเหนียงกลับพูดอย่างตรงไปตรงมา “พี่หญิงห้าซื้อเรือนตั้งแต่เมื่อไร ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีข่าวคราวเลย”
มุมปากอู่เหนียงกระตุกเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ซื่อเหนียงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ใครจะไปเหมือนเจ้า จะซื้อจวนทั้งทีก็เอะอะไปสามบ้านแปดบ้าน”
ชีเหนียงเบะปาก ไม่พูดอะไรอีก
ตอนที่นางซื้อจวน ผู้ดูแลสกุลสวีกับสกุลอวี๋ก็ช่วยนางดูสถานที่ไปไม่น้อย
หลังจากที่ซื่อเหนียงหยอกล้อชีเหนียง ก็ยิ้มแล้วถามอู่เหนียงว่า “แล้วจะจัดการย้ายถิ่นฐานเมื่อไร ที่เรือนยังขาดอะไรหรือไม่ หากเป็นของชิ้นใหญ่ข้าไม่กล้าพูดถึง หากเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ข้าที่เป็นพี่หญิงสี่ของเจ้ายังสามารถหาให้เจ้าได้!” นางเน้นคำว่า ‘พี่หญิงสี่’
เดิมทีชีเหนียงอยากจะถามอู่เหนียงว่าขาดอะไร เมื่อถึงเวลานางจะช่วยหามาเสริมให้ ตอนนี้ได้ยินซื่อเหนียงพูดเช่นนี้ กลับทำให้ไม่อาจเอ่ยปากได้ นางไม่อาจมอบของขวัญที่มีค่ากว่าของขวัญของพี่หญิงได้ เช่นนั้นจะให้พี่หญิงเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
เดิมทีอู่เหนียงคิดจะขอฉากกั้นเจ็ดบานหรือชุดข้าวของเครื่องใช้สีดำจากชีเหนียงแต่พอซื่อเหนียงพูดเช่นนี้นางจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดลงไป เห็นเพียงความหงุดหงิดที่ปรากฏบนใบหน้าของนาง นางยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่ได้ขาดอะไร ข้ารู้ว่าพี่เขยสี่เป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในตอนนี้ เมื่อถึงเวลานั้นให้พี่เขยสี่ช่วยเขียนบทกลอนให้ข้าสักสองสามแผ่น สิ่งนี้มีค่ากว่าสิ่งอื่นใด”
สืออีเหนียงที่อยู่ข้างๆ เข้าใจในทันทีจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “มีเพียงท่านโหวของพวกเราที่เป็นคนหยาบกระด้าง เช่นนั้นข้าขอมอบสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือของร้านตัวเป่าเก๋อให้ก็แล้วกัน”
ชีเหนียงเห็นว่าของขวัญของทั้งสองมูลค่าไม่มากแต่กลับดูสง่างาม จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอมอบเก้าอี้จุ้ยเวิงของจังหลี่จี้ก็แล้วกัน”
สืออีเหนียงเห็นซื่อเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางยิ้มเล็กน้อย ได้ยินอู่เหนียงหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่หญิงสี่กับน้องหญิงทั้งสองเกรงใจกันเกินไปแล้ว เห็นทีว่าข้าจะไม่จัดงานฉลองเข้าจวนไม่ได้แล้ว!”
ทุกคนพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในห้องของสือเหนียง
สือเหนียงสวมชุดไว้ทุกข์แล้ว ใบหน้าซูบผอมจนเหลือแต่ดวงตากลมโตที่บวมเหมือนลูกท้อเห็นได้ชัดว่านางร้องไห้มา
ทุกคนประหลาดใจเล็กน้อย
นางพยักหน้าให้ทุกคน ให้อิ๋นผิงไปยกชามา
ซื่อเหนียงเป็นตัวแทนของบรรดาพี่น้องเข้าไปทักทายนาง นางตอบทีละคำถาม แม้ว่าจะตอบเพียงสั้นๆ แต่ก็มีความชัดเจน เพียงแต่ไม่เหลือบมองสืออีเหนียงแม้แต่นิดเดียว ไม่ตอบคำถามของสืออีเหนียง ปล่อยให้สืออีเหนียงทำตัวไม่ถูก ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรอีก ให้ซื่อเหนียงเป็นคนพูดคุยกับสือเหนียง
ไม่นานนักคุณนายใหญ่สกุลหลัวก็มาถึง
“คุณหนูทั้งหลายโปรดอภัยด้วย” เมื่อนางเดินเข้ามาก็คำนับทุกคน “หลายวันมานี้ต้องช่วยท่านพ่อท่านแม่เก็บข้าวของ เนื่องจากมีกำหนดเดินทางกลับอวี๋หังวันที่สิบสองเดือนหน้า”
สือเหนียงได้ฟังก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “ตัดสินใจตั้งแต่เมื่อไร ทำไมข้าไม่รู้” นางถามเสียงแหลม
ซื่อเหนียง อู่เหนียง และชีเหนียงต่างก็ไม่พูดอะไร ซื่อเหนียงกับชีเหนียงเป็นคนเรือนสองย่อมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ที่อู่เหนียงไม่ได้บอกเพราะไม่อยากสร้างปัญหา
คุณนายใหญ่สกุลหลัว เห็นว่าสือเหนียงถามตัวเองต่อหน้าบรรดาพี่น้องเรือนสอง ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นึกได้ว่าสือเหนียงไม่ได้มาร่วมพิธีสรงสามของคุณชายเจ็ดสกุลหลัว จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “พึ่งตัดสินใจในวันที่ทำพิธีสรงสามของน้องเจ็ด”
สือเหนียงไม่ได้พูดอะไรแต่กลับนิ่งไป
นางมักจะมีท่าทางแปลกๆ อยู่เสมอทุกคนจึงไม่แปลกใจ และไม่มีใครไปปลอบใจนาง ซื่อเหนียงและคนอื่นๆ เข้าไปคำนับคุณนายใหญ่สกุลหลัว แล้วถามถึงคุณนายสี่สกุลหลัว
เมื่อถึงวันที่สาม หลายตระกูลได้มอบเครื่องเซ่นไหว้สามอย่างให้แก่สกุลหวัง บุตรเขยและคุณหนูสกุลหวังต่างก็มาถึงกันแล้ว หวังหลินร้องไห้ตั้งแต่ได้รับจดหมายจนมาถึงตอนนี้ ตอนที่เดินเข้าประตูมาก็ต้องมีคนคอยพยุงเข้าไป เจียงกุ้ยเข้ามาทักทายสวีลิ่งอี๋ก่อนแล้วจึงไปจุดธูปหน้าป้ายวิญญาณพ่อตา เพราะเห็นบิดาแท้ๆ ของหวังหลังซื่อจื่อเดินวนไปวนมาอยู่ข้างๆ สกุลหวังเองก็ไม่มีใครสนใจมาจัดการพิธีเช่นเคย ยังคงให้หลัวเจิ้นซิ่งกับจูอานผิงเป็นคนจัดการพิธีศพ จากนั้นเขาก็ไปกรมพิธีการกับสวีลิ่งอี๋และอวี๋อี๋ชิง ส่วนเฉียนหมิงก็ยังคงวิ่งไปวิ่งมาระหว่างจวนสกุลหวังกับกรมพิธีการ สืออีเหนียงและคนอื่นๆ ไปตั้งแต่เช้าตรู่ของทุกวัน พอฟ้ามืดถึงกลับจวน กว่าจะผ่านเจ็ดวันแรกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อทำพิธีเซ่นไหว้เสร็จแล้วทุกคนก็หยุดพัก มานั่งล้อมวงกันคำนวณบัญชี
เมื่อรวมของกำนัลหนึ่งพันตำลึงของกรมพิธีการกับของกำนัลของแขกที่มางานก็ได้เพียงแค่พอต่อค่าใช้จ่าย ไม่ต้องพูดถึงเงินที่จะคืนสกุลสวีกับสกุลจู โชคดีที่จูอานผิงเป็นคนใจกว้าง บทสรุปนี้เป็นไปตามที่สวีลิ่งอี๋คิดไว้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เงินคืน แล้วก็ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อย แต่เจียงกุ้ยกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง สัญญาว่าเขาจะเป็นคนคืนเงินเอง สวีลิ่งอี๋กับจูอานผิงพากันปฏิเสธ ต่อมาเจียงกุ้ยได้นำเงินสองพันตำลึงมาให้หลังจากนั้น
สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋พักอยู่ที่เรือนทั้งวัน รอข่าวจากกรมพิธีการ จู่ๆ คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็มาหา “…สือเหนียงอยากจะเชิญพวกเจ้าไปงานเลี้ยงที่ตรอกกงเสียน”
“ตอนนี้หรือ” สืออีเหนียงประหลาดใจ “เจ็ดวันแรกของท่านกั๋วกงพึ่งจะผ่านไปเอง!”
คุณนายใหญ่สกุลหลัว พยักหน้า “ดังนั้นจึงได้นัดไปที่ตรอกกงเสียน นางบอกว่าทุกคนต่างก็มาช่วยงานอยากจะพาเด็กๆ มาคำนับท่านลุง และลุงเขย นอกจากนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ก็จะกลับอวี๋หังแล้ว อยากจะพาเด็กๆ มาพบท่านตากับท่านยาย”
ตั้งแต่หวังเฉิงจู่สืบทอดตำแหน่งภายใต้ชื่อของหวังหลัง เด็กคนนั้นยังไม่เคยไปตรอกกงเสียน แล้วก็ไม่เคยมาจวนสวีเลย
สืออีเหนียงรู้สึกว่าการกระทำของสือเหนียงนั้นแปลกประหลาดมาก
“เชิญข้าด้วยหรือ”
“เชิญเจ้าด้วย” คุณนายใหญ่สกุลหลัวเองก็รู้ว่าสือเหนียงมีปมกับสืออีเหนียง “ข้าตั้งใจถามนางโดยเฉพาะนางบอกว่าจะเชิญพวกเจ้าทั้งสองไปด้วย แล้วยังบอกว่าคนที่นางซาบซึ้งใจมากที่สุดก็คือท่านโหว หากไม่มีท่านโหว อย่าว่าแต่เรื่องสืบทอดตำแหน่งเลย เกรงว่านางคงไม่มีที่ยืนตั้งนานแล้ว คนอื่นจะไม่ไปก็ได้ แต่พวกเจ้าไม่ไปไม่ได้”
นี่ช่างสมกับเป็นสือเหนียงเสียจริง ขนาดเชิญแขกก็ยังพูดล่วงเกินผู้อื่นได้!
เมื่อพูดถึงตรงนี้สืออีเหนียงก็ยิ้มแล้วตอบตกลง เมื่อคุณนายใหญ่สกุลหลัวจากไปแล้วก็เอาเทียบเชิญไปให้สวีลิ่งอี๋ดู สวีลิ่งอี๋ไม่ได้สงสัยอะไร “ท่านกั๋วกงจากไปแล้ว อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องเศร้า ในเมื่อนางอยากจะเลี้ยงแขกก็จัดที่ตรอกกงเสียนดีกว่า”
บางทีตนอาจจะคิดมากไป!
สืออีเหนียงปลอบใจตัวเอง วันรุ่งขึ้นให้หู่พั่วเตรียมกล่องของขวัญชาดทาปากแปดสีกับผ้าสองสามผืน แล้วไปตรอกกงเสียนกับสวีลิ่งอี๋
อวี๋อี๋ชิง เฉียนหมิง จูอานผิง และคุณชายสามสกุลหลัวนามว่าหลัวเจิ้นต๋ามาถึงแล้ว กำลังพูดคุยกันอยู่ที่ห้องรับรองข้างห้องโถงบุปผา ทุกคนคำนับซึ่งกันและกัน หลัวเจิ้นต๋าพาสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงไปคารวะนายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่
ซื่อเหนียง อู่เหนียง ชีเหนียง คุณนายสามสกุลหลัว และคุณนายสี่สกุลหลัวกำลังนั่งคุยกันที่โต๊ะกลมกลางห้องโถง เมื่อเห็นสองสามีภรรยาสกุลสวีเข้ามาก็พากันลุกขึ้น อู๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พอดีเลย แขกคนสำคัญอย่างพวกเรามากันครบหมดแล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคนเชิญ”
สืออีเหนียงพึ่งรู้ว่าสือเหนียงยังไม่มา
นางยิ้มแล้วเอ่ยเรียก “พี่หญิงห้า” แล้วคำนับทุกคน กำลังจะเข้าห้องด้านในไปคารวะนายหญิงใหญ่ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “คุณหนูสิบมาแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนจ้องมองไปที่ประตูเป็นสายตาเดียว
สือเหนียงสวมชุดผ้าไหมหังโจวแขนยาวสีดำ จูงเด็กชายอายุเจ็ดขวบเดินเข้ามาช้าๆ
นางเกล้าผมขึ้นสูง แววตาเคร่งขรึม ตัวยืดตรง ศีรษะเชิดขึ้นเล็กน้อย ดูสง่างามและเคร่งขรึม
“คุณหนูสิบ!” คุณนายใหญ่สกุลหลัวยิ้มแล้วเดินไปหานางทันที
สือเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย ทักทายทุกคน เสียงของนางเบาราวกับไร้เรี่ยวแรง ดูวางตัวไม่ให้ชิดใกล้จนเกินไปแต่ก็ไม่ห่างเหินจนเกินไป แนะนำเด็กคนนั้นให้ทุกคนรู้จัก “นี่คือเฉิงจู่”
หวังเฉิงจู่มีฟันขาว ริมฝีปากแดง ดูงดงามสดใส ดวงตาคู่นั้นดูเฉียบคม แค่มองก็รู้ว่าเป็นเด็กฉลาด
เขาโค้งคำนับทุกคนอย่างนอบน้อม พอมาอยู่ตรงหน้าสวีลิ่งอี๋ก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม แต่พออยู่ต่อหน้าสืออีเหนียงกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เอียงคอถามนางว่า “ท่านคือน้าหญิงสิบเอ็ดของข้าหรือ”
หัวใจของสืออีเหนียงเต้นระรัว แต่ว่ากลับไม่เผยสีหน้าให้เห็น พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ได้ปริปากพูดอะไรมาก แววตาของหวังเฉิงจู่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจ
เด็กคนนี้เกรงว่าจะไม่ใช่คนที่วางใจได้