แต่สือเหนียงกลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จับมือเด็กผู้นั้น “ข้าจะพาเขาไปโขลกศีรษะคำนับท่านแม่”
ตอนนี้ถือว่านางเป็นคนสำคัญ สองสามีภรรยาสกุลสวีเดินตามมาติดๆ คนอื่นๆ พากันยกโขยงเข้าไปยังห้องด้านใน
นายหญิงใหญ่กำลังเอนกายพิงหัวเตียง เมื่อเห็นสือเหนียงเดินเข้ามาแววตาก็เผยให้เห็นความเยือกเย็น
สือเหนียงทำเป็นมองไม่เห็น
นางขอเสื่อจากคุณนายใหญ่ จากนั้นก็คุกเข่าอยู่หน้าเตียงนายหญิงใหญ่พร้อมกับหวังเฉิงจู่
หวังเฉิงจู่โขลกศีรษะคำนับนายหญิงใหญ่สามครั้งแล้วลุกขึ้นยืน
สือเหนียงกลับหมอบลงข้างเตียง พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ วันนี้ข้าตั้งใจมาเยี่ยมท่านเป็นพิเศษ” เสียงของนางเบามาก แต่กลับล่องลอยอยู่ในอากาศไม่จางหายราวกับควันธูป “ตั้งแต่ที่ท่านให้ข้าแต่งเข้าสกุลหวัง ข้าก็อยากกลับมาเยี่ยมท่านอยู่เสมอ แต่ไม่เคยมีโอกาส ข้าคิดว่านี่อาจจะเป็นเรื่องที่เสียใจที่สุดในชีวิตข้า คิดไม่ถึงเลยว่าหวังหลังจะตาย ข้าเองก็ไม่มีบุตร สกุลหวังไม่เพียงไร้ผู้สืบทอด แต่หลังจากครบรอบร้อยปีของท่านกั๋วกง เกรงว่าจะเกิดการแย่งชิงอำนาจ สกุลหวังได้เตรียมให้หวังเฉิงจู่เป็นผู้สืบทอดภายใต้ชื่อของท่านกั๋วกงเพื่อสืบทอดกิจการของสกุล”
นางเงยหน้ามองนายหญิงใหญ่แล้วยิ้มกว้าง ฟันขาวละเอียดเปล่งประกายแวววาว
“ท่านแม่ ข้าอยากจะขอบคุณท่าน โชคดีที่ท่านสอนให้พี่ใหญ่รู้จักความจงรักภักดี ความกตัญญู ความเมตตา และความชอบธรรม พี่ใหญ่นึกถึงความสัมพันธ์พี่น้องของพวกเราจึงออกหน้าช่วยสนับสนุนข้า โชคดีที่ท่านให้น้องหญิงสิบเอ็ดแต่งกับหย่งผิงโหว หย่งผิงโหวจึงได้ออกหน้าวิ่งเต้นไปทั่วเพื่อข้า สกุลหวังไม่เพียงแต่จะให้หวังเฉิงจู่มาสืบทอดภายใต้ชื่อของข้า ทั้งยังให้ข้ามีบุตรชายมาเลี้ยงดูในอนาคต หลังจากตายแล้วก็สามารถตั้งป้ายวิญญาณในหอบรรพชนของสกุลหวังได้ ได้รับธูปบูชาร้อยปีจากคนในจวนเม่ากั๋วกง ขณะที่มีชีวิตก็ยังได้ดื่มด่ำกับความรุ่งโรจน์ทางโลกในฐานะมารดาของหลานชายคนโตของท่านกั๋วกง” พูดพลางดึงมือเหี่ยวย่นของนายหญิงใหญ่มากุมไว้ “ตอนนี้ท่านกั๋วกงได้จากไปแล้ว บุตรชายข้าหวังเฉิงจู่จะรับตำแหน่งเป็นเม่ากั๋วกง ข้าเองก็จะต้องเป็นไท่ฮูหยินจวนเม่ากั๋วกงแล้ว ท่านแม่ ท่านดีใจกับข้าหรือไม่”
นางพูดพลางยิ้มหน้าบาน
รูม่านตาสีดำขลับ แต่กลับสว่างและร้อนระอุ ราวกับมีเปลวเพลิงบางๆ กำลังลุกไหม้ ประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด เป็นเช่นนี้อยู่นาน ทำเอาคนที่มองดูรู้สึกหนาวเหน็บ
ทำไมสือเหนียงถึงต้องแต่งงานกับหวังหลัง นายหญิงใหญ่มีแผนการอะไร เกรงว่าคนในห้องนี้คงจะพอเข้าใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เว้นเสียแต่ชีเหนียง สือเหนียงดูเหมือนดีใจ แต่กลับพูดประโยคนี้ออกมาด้วยความไม่พอใจ นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ คนในห้องนี้นอกจากชีเหนียงแล้วคนอื่นๆ คงจะฟังเข้าใจอยู่ไม่มากก็น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างนายหญิงใหญ่
ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว นิ้วที่สั่นคลอนชี้ไปยังสือเหนียงที่ร่างกายผอมบางราวกับตะเกียบ ได้ยินเพียงเสียง “อึก อึก” ดังออกมาจากลำคอ
ภายในห้องมีหลัวเจิ้นซิ่งที่สีหน้าหม่นหมอง ซื่อเหนียงที่สีหน้าไม่เปลี่ยน อู่เหนียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชีเหนียงที่ดวงตาฉายแววประหลาดใจ สืออีเหนียงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา สวีลิ่งอี๋ที่กำลังครุ่นคิด และหวังเฉิงจู่ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนตกใจทำตัวไม่ถูก
ส่วนคุณนายใหญ่กับคุณนายสี่กลับเดินเข้าไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คนหนึ่งพยุงอยู่ทางด้านซ้าย อีกคนหนึ่งพยุงอยู่ทางด้านขวาของสือเหนียง
“นานๆ ทีคุณหนูสิบจะกลับมาสักครั้ง” คุณนายใหญ่พูดต่อว่า “มีอะไรก็นั่งลงค่อยๆ พูดจากันเถิด!”
สือเหนียงสะบัดแขนออกจากมือของคุณนายใหญ่แล้วลุกขึ้น นางจ้องมองหลัวเจิ้นซิ่งอย่างแน่วแน่ “พี่ใหญ่ คำพูดของข้ามีคำใดเสียมารยาทอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ตอนนี้พวกเราบรรดาพี่น้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ชีวิตของข้าก็ต้นร้ายปลายดี ครอบครัวอื่นหากมีเรื่องเช่นนี้ก็แทบจะดีใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ทำไมท่านแม่กลับตรงกันข้าม ไม่เพียงแต่ไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย จิตใจกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น หรือว่า…” ดวงตาของนางฉายแววดูแคลน พูดเน้นทีละคำว่า “หรือหวังว่าพวกเราพี่น้องจะไม่ลงรอยกัน บุตรสาวที่แต่งงานออกไปต้องไร้ที่พึ่งจึงจะดีอย่างนั้นหรือ”
หลัวเจิ้นซิ่งสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของป้าสวี่ก็ดังขึ้นในห้อง “นายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
หลัวเจิ้นซิ่งหันกลับไปแล้วคุกเข่าลงบนพื้นไม้
เห็นเพียงนายหญิงใหญ่หลับตาแน่น ร่างกายอ่อนยวบลงบนหมอนอิง เห็นได้ชัดว่าเป็นลมไปแล้ว
“ท่านแม่ ท่านแม่…” เรื่องเกี่ยวกับบิดามารดาเช่นนี้ ต่อให้หลัวเจิ้นซิ่งสงบสติอารมณ์เพียงใดก็ยังตื่นตระหนกไปชั่วขณะ
ในห้องเริ่มวุ่นวาย
เริ่มจากอู่เหนียง ชีเหนียง คุณนายสาม และคุณนายสี่เข้าไปยืนล้อมรอบ จากนั้นคุณนายใหญ่ก็ทิ้งสือเหนียงไว้แล้วเดินตามไป สือเหนียงกับหวังเฉิงจู่ถูกพวกนางเบียดจนเซ คนหนึ่งไปยืนอยู่ท้ายเตียง อีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่หัวเตียง หวังเฉิงจู่รีบวิ่งไปจับแขนเสื้อสือเหนียงอย่างลนลาน
สือเหนียงมองนายหญิงใหญ่ ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น
คนที่มองนายหญิงใหญ่ยังมีอีกหนึ่งคน
นั่นก็คือสืออีเหนียง
ความรู้สึกทุกอย่างปะทุขึ้นในใจนาง
แม้จะรู้ว่าสือเหนียงคงไม่เรียกพวกนางมาโดยไร้เหตุผล แต่นางก็คิดไม่ถึงว่าสือเหนียงจะทำเช่นนี้
จะว่าไปแต่ไหนแต่ไรมาสือเหนียงก็เป็นคนโง่เขลามาโดยตลอด ตอนที่นางผลักตัวเองล้มลงกับพื้น นางไม่ได้ก้มหัวยอมรับผิดหรือขอโทษนายหญิงใหญ่เพื่อขอให้นายหญิงใหญ่ให้อภัย แต่กลับแอบมาข่มขู่นางที่หน้าเตียงตอนกลางดึกว่า ‘หากเจ้ากล้าตาย ข้าจะตีอี๋เหนียงห้าไปด้วย’ ตอนที่นายหญิงใหญ่จะให้นางแต่งกับหวังหลัง นางก็ไม่ได้คิดหาวิธียกเลิกงานแต่งหรือว่าออกบวชไปกับอี๋เหนียงใหญ่และอี๋เหนียงสอง แต่กลับคิดว่าจะฆ่าตัวตายอย่างไร เช่นเดียวกับครั้งนี้ สกุลหวังตกต่ำไร้ที่พึ่งแล้ว นางก็ไม่ได้คิดจะหาวิธีเชื่อมความสัมพันธ์กับบรรดาพี่น้องสกุลเดิม แต่กลับเชิญคนในเรือนมาจนครบเพื่อมาเล่าเรื่องราวของตัวเองจนนายหญิงใหญ่โมโห…ด้วยความโง่เขลานี้ทำให้คนอื่นรู้สึกเหนื่อยหน่ายและทอดถอนใจ
จู่ๆ ก็มีผ้าเช็ดหน้าสีขาวนวลจันทร์ผืนหนึ่งบดบังสายตาของสืออีเหนียง
นางเงยหน้าขึ้น เห็นแววตาเป็นกังวลของสวีลิ่งอี๋
“เช็ดสักหน่อย” เขาพูดเสียงเบาพลางยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือนาง จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว บังสืออีเหนียงไว้ข้างหลังตัวเอง
สืออีเหนียงยืนเช็ดหางตาอยู่ข้างหลังสวีลิ่งอี๋ นางพึ่งสังเกตเห็น ไม่รู้ว่าอวี๋อี๋ชิง เฉียนหมิง จูอานผิงและคนอื่นๆ มายืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไร ซื่อเหนียงกำลังกำชับเฉียนหมิงว่า “ไปเชิญหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
เฉียนหมิงรับคำ
จูอานผิงพูดขึ้นมาว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”
เฉียนหมิงพยักหน้า ทั้งสองคนรีบเดินออกไปจนค่อยๆ พ้นจากสายตาของสืออีเหนียง
หลัวเจิ้นซิ่งพึ่งจะได้สติกลับมา ตะโกนเรียกหลัวเจิ้นเซิง “รีบไปเชิญหมอหลวงมาเร็วเข้า!” แล้วพูดต่อว่า “อย่าเพิ่งทำให้ท่านพ่อตกใจ”
ซื่อเหนียงรีบเดินเข้าไป “เฉียนหมิงกับจูอานผิงไปเชิญหมอหลวงแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ปรึกษากับอวี๋อี๋ชิงว่า “ท่านพี่ ท่านว่าส่งคนไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อที่ห้องดีหรือไม่”
“ข้าไปเอง!” อวี๋อี๋ชิงกับสวีลิ่งอี๋พูดขึ้นพร้อมกัน
ซื่อเหนียงหันไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงพูดเสียงเบาว่า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านโหวแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าให้นาง แล้วไปที่ห้องหนังสือของนายท่านใหญ่พร้อมกับอวี๋อี๋ชิง
หลัวเจิ้นเซิงถามอย่างลนลานว่า “แล้ว แล้วข้าจะทำอะไร”
หลัวเจิ้นซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นหลัวเจิ้นต๋าที่อยู่ข้างๆ ก็มีท่าทางทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน จึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้ากับเจิ้นต๋าไปพักผ่อนอยู่ด้านนอกก่อน หากมีเรื่องอันใดข้าจะเรียกพวกเจ้าเอง”
ทั้งสองคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเดินออกจากห้องโถง
ซื่อเหนียงเข้าไปพยุงคุณนายสี่ “เจ้ากำลังท้องกำลังไส้”
สืออีเหนียงได้สติกลับมา สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเข้าไปประคองสือเหนียง “ในห้องมีคนเยอะ เจ้าออกไปนั่งข้างนอกก่อน ให้ท่านแม่ผ่อนคลายลงสักหน่อย” หลังจากนั้นก็มองไปที่หวังเฉิงจู่ ส่งสัญญาณให้เขาออกไปด้วยกัน
ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย สีหน้าของเขาตึงเครียด ปลายนิ้วเรียวขาวจับชายเสื้อของสือเหนียงไว้แน่น เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย
ครั้งนี้สือเหนียงไม่ได้ปฏิเสธสืออีเหนียง นางเดินตามหลังสืออีเหนียงออกมาจากห้องด้านใน
หลัวเจิ้นเซิงเห็นดังนั้นจึงรีบให้สาวใช้น้อยไปรินชามา
สือเหนียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ส่วนหวังเฉิงจู่ยืนอยู่ข้างๆ สือเหนียง ทางด้านซื่อเหนียงก็กำลังพยุงคุณนายสี่ออกมา ตามมาด้วยคุณนายสาม ชีเหนียง และอู่เหนียง
“คนเยอะไปก็ไม่มีประโยชน์” ซื่อเหนียงพยุงคุณนายสี่มานั่งลงตรงข้ามสืออีเหนียง อธิบายให้สืออีเหนียงฟังว่า “มีพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ และป้าสวี่ก็พอแล้ว”
คุณนายสาม ชีเหนียง และอู่เหนียงนั่งลงถัดจากคุณนายสี่ เผชิญหน้ากับสือเหนียง แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ
หากนายหญิงใหญ่ไม่เป็นอะไรก็ดี แต่หากเป็นอะไรขึ้นมา แน่นอนว่าสือเหนียงคือคนที่ฆ่ามารดาของตัวเอง แม้ว่าคนในนี้ต่างก็เป็นญาติสนิทของสกุลหลัว พวกเขาย่อมระมัดระวังไม่ให้คนนอกเอาไปพูด แต่ว่าต่อไปสำหรับสือเหนียงแล้ว…เกรงว่าคงจะค่อยๆ ห่างเหิน
ทุกคนนั่งกันอยู่เงียบๆ รอประมาณสองก้านธูปก็มีสาวใช้น้อยวิ่งมา “ท่านเขยห้าพาหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ”
บรรดาสตรีไปหลบอยู่ที่ห้องตะวันออก
ซื่อเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างห้องตะวันออก เมื่อเห็นจูอานผิงพาหมอหลวงออกมาจากเรือนหลักก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าจะไปดูสักหน่อย!”
สืออีเหนียงพยักหน้า ไปที่ห้องด้านในกับซื่อเหนียง
นายหญิงใหญ่นอนอยู่บนเตียง หลัวเจิ้นซิ่งนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างเตียง ป้าสวี่กับคุณนายใหญ่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังหลัวเจิ้นซิ่ง ป้าสวี่ถือผ้าเช็ดหน้าซับหางตาอยู่ตลอดเวลา
“เป็นอย่างไรบ้าง” ซื่อเหนียงถามคุณนายใหญ่เบาๆ
คุณนายใหญ่เดินมาหานางแล้วส่ายหน้าอย่างช้าๆ พูดเสียงกระซิบว่า “บอกว่าต้องลองทานยาไปเรื่อยๆ ดูก่อน!”
ต้องลองทานยาไปเรื่อยๆ แสดงว่าอาการป่วยอันตรายมาก
ซื่อเหนียงกับสืออีเหนียงมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้พูดอะไร
คุณนายใหญ่สูดหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยความกระตือรือร้นว่า “ทุกคนมานั่งที่ห้องโถงกันเถิด นี่ก็ล่วงเลยเวลามามากแล้ว ข้าจะให้บรรดาสาวใช้ไปยกสำรับมา ส่วนเรื่องของท่านแม่ก็ใช้ว่าไม่เคยเกิดขึ้น ทุกคนทานข้าวก่อนค่อยว่ากัน” พูดพลางเหลือบมองหลัวเจิ้นซิ่ง
หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทานข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
สือเหนียงกับสืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ ตามคุณนายใหญ่ไปที่ห้องโถง ยกโต๊ะมาวางตรงที่หลัวเจิ้นซิ่งอยู่หนึ่งโต๊ะ แล้วยกไปวางที่ห้องตะวันออกหนึ่งโต๊ะ
เวลาทานอาหารสือเหนียงนั่งอีกฝั่งหนึ่งอยู่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ นั่งเบียดเสียดกันอยู่อีกสามฝั่ง สีหน้าของหวังเฉิงจู่ดูหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิม
หลังทานอาหารเสร็จ อวี๋อี๋ชิงก็บอกข่าวร้ายของนายหญิงใหญ่ให้นายท่านใหญ่ฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
นายหญิงใหญ่ป่วยมาเนิ่นนานแล้ว ทุกคนเลยรู้สึกเคยชินกับอาการป่วยของนางที่ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายมานานแล้ว นายท่านใหญ่ไม่ได้ถามอะไรอีก เข้าไปดูนายหญิงใหญ่แล้วปลอบใจทุกคนว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ทานยาสักสองสามครั้งประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ตอนที่นายท่านใหญ่กำลังพูดคำนี้ หลัวเจิ้นซิ่งกำลังป้อนยาให้ท่านแม่อยู่
นายหญิงใหญ่กัดฟันแน่น จะงัดอย่างไรก็งัดไม่ออก
คุณนายใหญ่เคยปรนนิบัติแม่สามี จึงส่งสายตาให้ซื่อเหนียงกับสืออีเหนียง “เกรงว่าจะไม่ค่อยดี คุณหนูสี่ก็ป่วยอยู่ ไม่สู้กลับไปพักผ่อนก่อน ให้คุณหนูสิบเอ็ดคอยดูแลอยู่ที่นี่ หากมีเรื่องอันใดพวกเราค่อยส่งจดหมายไปรายงานเจ้าก็ยังไม่สาย”
“ข้าต้องกินยาทุกวัน วันละสามมื้ออย่าได้ขาด” ซื่อเหนียงพึมพำว่า “ข้าจะกลับไปรักษาตัวก่อนแล้วค่อยมาใหม่”
คุณนายใหญ่พยักหน้า หันไปเรียกอวี๋อี๋ชิง หลัวเจิ้นต๋า จูอานผิง คุณนายสามและชีเหนียงมาปรึกษา หลังจากนั้นก็ให้อวี๋อี๋ชิง คุณนายสาม และจูอานผิงอยู่ที่นี่ต่อ แล้วพาหลัวเจิ้นต๋ากับชีเหนียงไป
สืออีเหนียงปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ เฉียนหมิง และอู่เหนียง
เฉียนหมิงกับอู่เหนียงมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋พึมพำ “พวกเราอยู่ต่อเถิด!”
เฉียนหมิงได้ฟังดังนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นพวกเราก็อยู่ต่อกันเถิด!”
“พี่หญิงห้ากลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “ซินเกอยังรออยู่ที่เรือน”
น้ำย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำฉันใด ผู้อาวุโสก็ย่อมรักและเอ็นดูคนรุ่นหลังฉันนั้น
“เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน” อู่เหนียงมองเฉียนหมิง “พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาใหม่”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
สืออีเหนียงกำชับให้หู่พั่วกลับไปรายงานไท่ฮูหยิน และนำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ตัวเองกับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋กับเฉียนหมิงไปหานายท่านใหญ่ สืออีเหนียงเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน
ตอนที่เปิดผ้าม่านกลับนึกถึงสือเหนียง
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไปห้องตะวันออก
สือเหนียงลุกขึ้น ยืนหลังตรง ใบหน้ามีรอยยิ้มเย็นชา “นางยังไม่ตายหรือ” แต่ดวงตากลับเผยให้เห็นถึงความสับสน