จู๋หลินยกแส้ขึ้นเพื่อเร่งม้า รถม้าเคลื่อนตัวไปบนถนนอย่างสั่นคลอน
“เจ้าช้าลงหน่อย” อาเถียนเปิดม่านรถกำชับ “คุณหนูยังไม่หายดี”
เฉินตันจูที่นั่งหนุนหมอนนุ่มหลายใบภายในตัวรถพูด “ไม่เป็นอันใด ข้าต้องไปให้เร็วที่สุด”
อาเถียนมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวและเหงื่อที่ไหลซึมบนหน้าผากของหญิงสาว น่าสงสารอย่างมาก
“คุณหนูท่านยังไม่หายดีนะเจ้าคะ” นางพูดเสียงสะอื้น “หวังไต้ฟูบอกว่าท่านต้องพักฟื้นอีกสามสี่วัน”
แต่หลังจากที่เฉินตันจูกินยาเม็ดนั้น ผล็อยหลับไปตื่นหนึ่ง นางก็รีบสั่งให้จู๋หลินออกเดินทางกลับเมืองหลวงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
“ในเมื่อพิษในร่างกายข้าถูกกำจัดแล้ว ข้าย่อมไม่ตาย เดินทางไม่เป็นปัญหา” เฉินตันจูอธิบายต่ออาเถียน “แต่หากยังคงพักรักษาต่อไป มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่รอด เรื่องนี้คงถูกรายงานไปถึงราชสำนักแล้ว พวกเราต้องกลับไปให้เร็วที่สุด ไม่เพียงต้องเร่งกลับไป ยังต้องให้ทุกคนรู้ว่า ข้าเฉินตันจูยังมีชีวิตอยู่”
เพื่อป้องกันถูกผู้อื่น…โดยเฉพาะองค์รัชทายาท…ลอบสังหาร
คนตายก็ไม่อาจพูดได้ มีเพียงให้คนที่มีชีวิตอยู่พูดไปตามใจ
ดังนั้นนางจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่และสามารถพูดไปตามใจ
อาเถียนกระจ่าง นางทำได้เพียงออกแรงกอดเฉินตันจูไว้แน่น ลดแรงกระแทกให้นาง ถึงแม้จู๋หลินยังคงโกรธที่เฉินตันจูหาที่ตาย แต่เขาก็พยายามสุดความสามารถในการเคลื่อนม้าให้เร็ว แต่กระแทกน้อยที่สุด ในเวลาเดียวกัน เขาสั่งให้องครักษ์คนอื่นตะโกนไปตลอดทางด้วย
เมื่อไม่มีคนตะโกน เมื่อมีคนยิ่งตะโกน
“หลบไป! หลบไป!”
“รถของคุณหนูตันจูมาแล้ว!”
รถม้าต่างหลบซ้ายหลบขวาอยู่บนถนน ฝุ่นคลุ้งไปทั่วตลอดทั้งทาง ทุกคนต่างหลบหลีก ผู้คนที่ได้ยินเสียงตะโกนนี้ยิ่งตกตะลึงอย่างมาก
ชื่อเสียงของคุณหนูเฉินตันจูแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินแล้ว ถึงแม้จะอยู่นอกเมือง แต่ทุกคนต่างก็รู้จัก คนที่ได้ข่าวไม่ไวนั้นรู้สึกตกตะลึงที่คุณหนูเฉินตันจูมาอาละวาดในพื้นที่ของพวกเขา คนที่ได้ข่าวไวนั้นรู้สึกประหลาดใจ คุณหนูเฉินตันจูไม่ได้เดินทางออกจากเมืองหลวงกลับซีจิงหรือ
เหตุใดจึงกลับมาในเวลานี้ อีกทั้ง ทหารเกราะทองที่ฮ่องเต้พระราชทานเล่า?
ไม่เพียงแต่เหล่าผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาเท่านั้นที่ตื่นตระหนก เฉินตันจูยังเดินทางไปจวนที่ว่าการที่เดินทางผ่านเพื่อแจ้งว่าถูกลอบทำร้าย
“ภายใต้แผ่นดินอันสงบ กลับยังมีโจรร้าย พวกเขาไม่ใช่โจรร้าย หากแต่เป็นการก่อกบฏ”
“พวกท่านในฐานะขุนนางของราชสำนัก ละเลยต่อหน้าที่ หรือมีการสมรู้ร่วมคิดกับโจร”
คุณหนูเฉินตันจูอาจตกใจกลัวจริง นางพูดจาเหลวไหลด้วยใบหน้าซีดเผือด ทำให้จวนที่ว่าการในพื้นที่ตื่นตระหนก เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างรีบวิ่งไปตรวจสอบเรื่องโจรร้ายทั่วทุกหนแห่ง
ข่าวแพร่สะพัดไปตลอดทางจนถึงเมืองหลวง ราชสำนักและประชาชนรู้เรื่องนี้แทบจะพร้อมกัน คุณหนูเฉินตันจูประสบกับการลอบโจมตีระหว่างเดินทางกลับซีจิง
“ต้องเป็นโจรร้ายที่ร้ายกาจเพียงใดกัน ทหารที่คุณหนูตันจูนำไปด้วยคือทหารเกราะทองเชียวนะ”
“เห็นว่าเป็นทหารเกราะทองยังกล้าจู่โจม อีกฝ่ายย่อมไม่ใช่โจร หากแต่มีเจตนาก่อกบฏ อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้องค์ชายสามก็ถูกจู่โจมเช่นเดียวกัน”
“ใช่ๆ ย่อมต้องเป็นโจรกลุ่มเดียวกันอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของฮ่องเต้โกรธจนดำทะมึน เฉินตันจูนี้เป็นโจรเรียกจับโจรชัดๆ
“นางไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเสียจริง” ฮ่องเต้กัดฟันพูด “ผู้ใดให้ความกล้าแก่นางกัน!”
ขันทีจิ้นจงยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง คิดภายในใจ อาจเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หรือองค์ชายสาม?
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินทางไปดูเฉินตันจูฆ่าคนด้วยตนเอง ส่วนองค์ชายสาม เมื่อเขาได้ยินข่าวนี้ ก็เริ่มมาขอความเมตตาจากฮ่องเต้แล้ว
องค์ชายสามย่อมรู้ว่าการถูกลอบโจมตีที่เฉินตันจูประกาศนั้นมีช่องโหว่มากมาย เป็นแค่เรื่องแต่ง
“เฉินตันจูนางไม่ได้ต้องการเป็นปรปักษ์กับเสด็จพ่อ” เขาร้องขอ “ความแค้นเรื่องการสังหารพี่ชาย หลอกลวงพี่สาว ล้มล้างตระกูลของนางกับหลี่เหลียง นางย่อมรู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการขัดขืนพระราชโองการ แต่นางไม่สามารถอยู่ร่วมแผ่นดินกับเหยาฝูได้ นางยอมตายก็จะกระทำเช่นนี้”
ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น “ข้าว่านางยังไม่อยากตาย ถึงได้ทำเล่ห์เพทุบายทุกรูปแบบ”
“นางทำเช่นนี้ก็เพื่อเสด็จพ่อ” องค์ชายสามพูดเสียงเบา “ประสบกับโจรร้ายคงจะดีกว่าเฉินตันจูที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทสร้างความวุ่นวาย มิฉะนั้นเกียรติยศของเสด็จพ่อจะเก็บไว้ที่ใด”
ฮ่องเต้โกรธจนหัวเราะออกมา “จากที่เจ้าพูด ข้าควรจะขอบคุณเฉินตันจูหรือ!”
องค์ชายสามก้มคำนับ “เสด็จพ่อ กระหม่อมไม่บังอาจแก้ตัวแทนเฉินตันจู นางขัดขืนพระราชโองการ สังหารผู้อื่นตามใจเป็นความผิดอันมหันต์ แต่ขอฝ่าบาทโปรดเห็นแก่ที่นางเรียกคืนแผ่นดินเมืองอู๋ ให้คนนับแสนไม่ต้องเผชิญกับสงครามนั้น ไว้ชีวิตของนางด้วย” พูดพลางยิ้มเศร้าโศก “กระหม่อมรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ยากเข็นเพียงใด หลายปีนี้ที่กระหม่อมสามารถรอดจากความทุกข์ทรมานของโรคภัยได้ ก็เพราะไม่ต้องการให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่เสียพระทัย เฉินตันจูบังอาจเผชิญต่อความผิดอันมหันต์เพื่อฆ่าคน ก็เพียงแค่ไม่ต้องการให้คนในตระกูลของนางเสียใจ”
ภายในดวงตาของฮ่องเต้ฉายแววระอา “ซิวหยง ก่อนหน้านี้เจ้าขอร้องแทนนาง เพราะนางบอกว่าจะช่วยเจ้า เวลานี้นางไม่ได้ช่วยชีวิตเจ้า เจ้ายังเสี่ยงชีวิตเพื่อนางเพียงนี้?”
“เพราะนางเคยพยายามที่จะช่วยกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสามเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อ กระหม่อมเคยชินกับความขมขื่น ดังนั้นจึงรักษาความหวาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ปฏิบัติดีต่อกระหม่อม กระหม่อมล้วนยินดีชดใช้ด้วยชีวิต”
เมื่อนึกถึงคำพูดตอนที่องค์ชายสามมาถึง ฮ่องเต้ทั้งโกรธทั้งระอา ลงโทษเฉินตันจู องค์ชายสามไม่ยอม องค์ชายหกย่อมโกรธเคืองอย่างแน่นอน…
เหตุใดจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับหญิงสาวผู้นี้กัน
“ตอนนั้นข้าไม่ควรใจอ่อน ปล่อยให้นางอยู่ในเมืองหลวง” ฮ่องเต้ตรัสอย่างโกรธเคือง “ข้าควรให้นางไปพร้อมกับท่านอ๋องอู๋ ไม่แน่ว่าเวลานี้ ท่านอ๋องอู๋อาจถูกนางฆ่าตายไปแล้ว”
ขันทีจิ้นจงถอนหายใจ “ฝ่าบาทรู้ความดีความชอบของนางในใจ สงสารนาง อีกทั้งยินดีปกป้องนาง เพียงแต่เฉินตันจูผู้นี้ช่างไม่รู้ขอบเขต เวลานี้ควรทำอย่างไร ปล่อยให้นางพูดไปเรื่อยเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เย้ยหยัน “ย่อมไม่ได้! นางบอกว่าประสบกับโจรร้ายก็ประสบจริงหรือ คนมากมายเพียงนั้น คนอื่นตายแล้ว แต่นางยังมีชีวิตอยู่ นางก็คือผู้ต้องสงสัย ออกคำสั่งไปยังที่ว่าการ จับนางคุมขังไว้ในคุกหลวง รอลงอาญา!”
ขันทีจิ้นจงตอบรับ ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คุมขังไว้ในคุกหลวงคงจะได้ แต่ว่าไม่ต้องส่งคนของที่ว่าการไปรับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขามองไปยังฮ่องเต้ พูดขึ้น “ท่านโหวโจวได้พากองกำลังไปแล้ว”
หญิงสาวผู้นี้ไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้ต่อไปแล้ว นี่คือความคิดเดียวที่ฮ่องเต้มี
…
บรรยากาศภายในห้องทรงพระอักษรแห่งตำหนักบูรพาอึดอัด องค์รัชทายาทยืนอยู่ด้านหน้าชั้นวางตำราด้วยสีหน้าเฉยชา
ฝูชิงทำได้เพียงถามด้วยความจำใจ “ยังต้องส่งคนไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทพูดเสียงเรียบ “ไม่ต้องแล้ว อาเสวียนไปแล้ว เห็นแก่หน้าของอาเสวียน ไว้ชีวิตหญิงสาวผู้นั้นก่อน ไม่อาจบาดหมางกับอาเสวียนเพียงเพราะหญิงสาวผู้นั้น”
ฝูชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ว่าเฉินตันจูจะสร้างความวุ่นวายจนเป็นที่รู้จักและให้ความสนใจตลอดทาง แต่หากลงมือจริง องครักษ์เหล่านั้นอาจรั้งไม่ได้ แต่กองกำลังที่โจวเสวียนนำไปก็ไม่แน่ การฆ่าคนภายใต้การนำทัพของโจวเสวียนไม่ใช่เรื่องง่าย
“อนาคตยังอีกยาวไกล” เขากระซิบ “องค์รัชทายาทอย่ารีบร้อน”
เมื่อรอเขาเป็นฮ่องเต้ ทั้งแผ่นดินนี้ล้วนเป็นของเขา เขาต้องการให้ผู้ใดตาย ผู้ใดจะไม่ตายได้ องค์รัชทายาทสีหน้าเฉยชา “ข้าไม่รีบ”
ฝูชิงชะงักไปเล็กน้อย มองผ่านชั้นวางตำราไปยังเตียงที่อยู่ด้านหลัง มันเป็นสถานที่พักผ่อนขององค์รัชทายาท อีกทั้งยังเป็นสถานที่เสพสุขร่วมกับคุณหนูสี่ตระกูลเหยา
“องค์รัชทายาท” เขาถามเสียงแผ่ว “พวกเขาถามว่าร่างของคุณหนูสี่จะนำกลับมาด้วยหรือไม่”
องค์รัชทายาทหันกลับมา “นำกลับมาเพื่อสิ่งใด คนตายแล้วก็ส่งกลับไปซีจิงเถิด”
…
ต้นไม้ใบหญ้าบนแผ่นดินถูกลมในฤดูร้อนพัดจนพลิ้วไหว เกือกม้าที่กระทบพื้นทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายปกคลุมทั่วท้องฟ้า แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บดบังวิสัยทัศน์ของโจวเสวียน ท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวล เขามองเห็นคนขบวนหนึ่งเดินทางมาอย่างรวดเร็ว
โจวเสวียนสะบัดแส้เร่งม้าพุ่งตัวข้ามผ่านฝุ่นที่ปลิวว่อน
“เฉินตันจู…” เขาตะโกนเรียกเสียงดัง