“หากจะบอกว่าข้าคิดไว้นานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนอย่างเช่นตอนนี้” อาจารย์เจี่ยนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “หลังจากที่ข้ามาถึงเยี่ยนจิงแล้วเห็นปินจวี๋ช่วยร้านค้าเย็บปักม่านประตูจึงได้เริ่มไตร่ตรองอย่างละเอียด”
ด้วยนิสัยของอาจารย์เจี่ยน หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว ทั้งยังบอกเรื่องนี้กับตน เกรงว่าคงไม่เพียงแค่วางแผนไว้เท่านั้น ซ้ำยังมีความมั่นใจในการเปิดร้านเย็บปักอีกด้วย
สืออีเหนียงมักจะกลุ้มใจกับการประหยัดการนำสินเดิมมาใช้อยู่เสมอ เมื่อได้ยินอาจารย์เจี่ยนพูดเช่นนี้ก็เหมือนได้เห็นแสงสว่าง “อาจารย์ พวกเรามาปรึกษากันอย่างจริงจังเถิดเจ้าค่ะ!”
“การเย็บปักของหอเซียนหลิงเห็นได้ทั่วไป ร้านฉ่ายซิ่วก็ใช้วัสดุที่เห็นได้ทั่วไป เดิมทีทั้งสองร้าน ร้านหนึ่งอยู่เหนือ ร้านหนึ่งอยู่ใต้ ต่างคนต่างทำกิจการของตัวเอง นับว่าไม่มีเรื่องอะไรให้กลุ้มใจ แต่หลังจากหัวหน้าร้านฉ่ายซิ่วเสียชีวิต นายน้อยที่รับช่วงต่อก็ให้บุตรสาวแต่งงานกับตระกูลเจียงแห่งตงหยาง จากนั้นก็ดึงตัวหลู่ชิ่งเหนียงร้านเย็บปักที่มีชื่อเสียงของเจียงหนานมาแล้วเริ่มทำกิจการงานเย็บปัก ไม่เกินสองถึงสามปีร้านฉ่ายซิ่วก็เป็นหนึ่งในเจียงหนาน ส่วนรากฐานของหอเซียนหลิงอยู่ทางเหนือ แม้ว่าจะมีอุปสรรคเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีคลื่นลูกใหญ่ แต่ใจของคนมักจะไม่รู้จักพอ ชื่อเสียงของร้านฉ่ายซิ่วรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน เริ่มมีความคิดที่จะทอผ้าของเจียงหนาน ไม่ต้องพูดถึงฝีไม้ลายมือของนายน้อยเลย ปีที่แล้วในพระราชพิธีหมื่นพรรษา ร้านฉ่ายซิ่วตัดเย็บชุดลายหมื่นอักษรถวาย ฝ่าบาททรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก พระราชพิธีหมื่นพรรษาในปีนี้เจียงหนานไม่เพียงแค่ให้ร้านฉ่ายซิ่วถวายชุดสิบสองชุด ซ้ำยังมอบหน้าที่จัดเทศกาลไหว้บะจ่างที่หอเซียนหลิงเคยจัดให้ร้านฉ่ายซิ่วรับผิดชอบแทน หอเซียนหลิงจึงได้เริ่มรู้สึกเป็นกังวล ส่งเถ้าแก่รองของพวกเขาไปประจำการที่เจียงหนาน เริ่มแรกช่างเย็บผ้าที่มีชื่อเสียงในเจียงหนานได้ช่วยงานหอเซียนหลิง เมื่อร้านฉ่ายซิ่วเห็นดังนั้นก็เริ่มเชิญช่างเย็บผ้าที่มีความสามารถมาร่วมงานกันในราคาสูง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้อาจารย์เจี่ยนก็เหลือบมองสืออีเหนียงแล้วพูดอย่างมีนัยยะว่า “ทั้งสองสกุลต่างก็มีเงินและอิทธิพลมาก ร้านฉ่ายซิ่วมีหลู่ชิ่งเหนียง นางเป็นผู้สืบทอดของหลู่ไป๋ ใช้สีสันที่งดงามสง่า ชุดลายหมื่นอักษรที่ถวายแด่ฮ่องเต้ถูกทำขึ้นโดยนาง ส่วนสำนักอื่นๆ ในเจียงหนานใช้สีที่เน้นความเป็นธรรมชาติและเรียบหรู…ถ้าไปร้านฉ่ายซิ่ว หากไม่เปลี่ยนหลักการก็ต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาธรรมดาทั่วๆ ไป หากเปลี่ยนหลักการ ก็หมายความว่ายอมรับว่าหลู่ไป๋เป็นอันดับหนึ่งในเจียงหนาน หากเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็หมายความว่าจะไม่ได้รับงานที่ดี ไม่ได้ค่าแรงที่ดี ต้องดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก หากไปหอเซียนหลิง หอเซียนหลิงนั้นตั้งอย่างมั่นคงอยู่ทางเหนือมานานแล้ว เจียงหนานเป็นเพียงแค่สาขาย่อย แต่ถึงอย่างไรก็สำคัญ ทว่าร้านฉ่ายซิ่วกลับทำตัวก้าวร้าว ต้องการขยายเครือข่ายมาถึงเยี่ยนจิง เมื่อถึงจุดสำคัญใครจะกล้ารับประกันว่าพวกเขาจะไม่ต้องยอมแลกเพื่อรักษาไว้ หรือละทิ้งกิจการที่เจียงหนานเพื่อปกป้องกิจการของกรมพระราชวังอย่างเต็มที่ ถึงอย่างไรกิจการของกรมพระราชวังก็นับว่าทำเงินได้ดี เมืองเล็กๆ อย่างเจียงหนานจะเทียบได้อย่างไร แต่ช่างเย็บปักอย่างพวกเราล้วนเกิดและเติบโตที่เจียงหนาน ครอบครัวและญาติพี่น้องล้วนอยู่ที่เจียงหนาน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราจะเผชิญหน้ากับความโมโหของร้านฉ่ายซิ่วได้อย่างไร ต่อให้ถึงตอนนั้นตามหอเซียนหลิงไปอยู่ทางเหนือ ญาติพี่น้องและสหายจะตามมาได้ทั้งหมดหรือไม่ หากถึงตอนนั้นแล้วยังปรับตัวไม่ได้จะทำอย่างไร”
อาจารย์เจี่ยนถอนหายใจเบาๆ
“เหตุผลที่ข้าเคยใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้เป็นเพราะ ประการแรกข้าอาศัยชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ทุกอย่างราบรื่น ประการที่สองคือการที่หอเซียนหลิงกับร้านฉ่ายซิ่วขัดแย้งกันทำให้ข้าได้ผลประโยชน์ แต่ตอนนี้หากไม่เข้ากับร้านฉ่ายซิ่วก็ต้องเข้าหอเซียนหลิง แน่นอนว่าต้องหนีเอาตัวรอดจากความยากลำบาก”
นี่คงเป็นเหตุผลหลักที่อาจารย์เจี่ยนเดินทางไกลจากบ้านเกิดมาเยี่ยนจิงกระมัง!
หนึ่งในทักษะการเย็บปักของหอเซียนหลิงมาจากอาจารย์เจี่ยน หากอาจารย์ก็เจี่ยนเข้าร่วมกับร้านฉ่ายซิ่ว ก็เท่ากับตบหน้าหอเซียนหลิงอย่างรุนแรง มิน่าล่ะคนของหอเซียนหลิงจึงมาชักชวนอาจารย์เจี่ยนหลายครั้งเพื่อทำฉลองพระองค์อภิเษกสมรสของพระชายาองค์ชายใหญ่ แต่หากไม่เข้าร้านฉ่ายซิ่วก็ต้องเข้าหอเซียนหลิง หากอาจารย์เจี่ยนอยากเข้าหอเซียนหลิง ก็คงเข้าหอเซียนหลิงไปนานแล้ว เหตุใดต้องสอนคนเย็บผ้าให้ทำมาหากินสู้ชีวิตในเจียงหนานด้วย ซ้ำยังบีบบังคับคนอย่างอาจารย์เจี่ยนให้มาถึงจุดที่ไม่มีที่ไปได้เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายล้วนใช้วิธีที่หยาบคาย
สืออีเหนียงอยากจะถามอาจารย์เจี่ยนว่ามีความแค้นกับหอเซียนหลิงหรือไม่ แต่เมื่อเห็นดวงตาอาจารย์เจี่ยนที่ดูหมดหนทาง นางก็กลืนคำพูดที่อยากจะพูดลงไป
“อาจารย์เจี่ยน ท่านบอกว่าร้านฉ่ายซิ่วหลังจากที่นายน้อยของพวกเขาให้บุตรสาวของตนแต่งกับตระกูลเจียงแห่งตงหยางแล้วจึงได้เริ่มดึงตัวหลู่ชิ่งเหนียงแล้วเข้าสู่กิจการงานเย็บปัก เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าตระกูลเจียงแห่งตงหยางในรุ่นนี้มีบุตรสาวชื่อว่าจิ่นขุย เป็นสะใภ้ขององค์หญิงฉังหนิง”
“จะใช้องค์หญิงฉังหนิงหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ก็เคยได้ยินข่าวลือดังกล่าว บอกว่าสกุลเจียงมีบุตรสาวที่ได้แต่งเข้าจวนองค์หญิง” อาจารย์เจี่ยนพูดต่อว่า “น่าจะเป็นจิ่นขุยที่เจ้าพูดถึง!”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ
ในเมื่อหอเซียนหลิงกล้าทำกิจการของกรมพระราชวัง เบื้องหลังจะต้องมีผู้หนุนหลังรายใหญ่แน่นอน แต่ร้านฉ่ายซิ่วใช้เวลาเพียงสองสามปีก็โจมตีหอเซียนหลิงได้แล้ว…เยี่ยนจิงก็เล็กเพียงนี้มักจะเจอกันได้ง่ายอยู่แล้ว หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะต้องกังวลเรื่องผู้หนุนหลังรายใหญ่ของหอเซียนหลิง มีเพียงคนที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างเริ่นคุนเท่านั้นที่สามารถทำได้!
“แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป” อาจารย์เจี่ยนเห็นดังนั้นก็พูดหยอกล้อว่า “ข้าไม่ได้เตรียมที่จะแย่งชิงกิจการกับหอเซียนหลิงและร้านฉ่ายซิ่ว ข้าเพียงแค่อยากจะเปิดร้านขายของมงคลสมรสเล็กๆ ทำกิจการเล็กๆ ก็เท่านั้น!”
เมื่อได้ยินอาจารย์เจี่ยนบอกว่าแค่ต้องการเปิดร้านขายของมงคลสมรส สืออีเหนียงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ข้าคิดอย่างรอบคอบแล้ว เจ้าไม่สามารถออกหน้าได้ คนของข้าก็มีเพียงชิวจวี๋คนเดียว หากนับปินจวี๋ด้วยอย่างน้อยก็มีสองคน หากจะเปิดร้านเย็บปัก ไม่สู้เปิดร้านขายของมงคลสมรสจะดีกว่า ทำกิจการเพียงประเภทเดียว เมื่อทำเช่นนี้ ประการแรกคือลงทุนน้อย หากขาดทุนก็จะไม่เจ็บตัว หากกิจการไม่ดีก็ยังสามารถลงทุนต่อไปเพื่อรักษากิจการได้ ประการที่สองคือทักษะการเย็บปักนั้นมีมากมาย หากเรียนรู้ทั้งหมดก็อาจจะทำได้ไม่ดีสักอย่าง ข้าอยากจะส่งเสริมจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อน ทำให้ดีที่สุด อยากให้ผู้คนพอนึกถึงเรื่องงานมงคลสมรสพวกนี้ก็จะนึกถึงร้านของพวกเรา ประการที่สามเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับหอเซียนหลิงและร้านฉ่ายซิ่ว พวกเขาทำกิจการใหญ่ พวกเราทำกิจการเล็กๆ อย่างชาวบ้าน เป็นเหมือนกิจการขายของมงคลสมรสที่พวกเขาเอื้อมถึงได้” อาจารย์เจี่ยนมองสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุขโดยมีเจียงหนานเป็นตัวอย่าง สตรีพากันเลี้ยงไหม คนที่มีความสามารถก็จะหาเงินได้สิบเอ็ดถึงสิบสองตำลึงต่อปี หากโง่หน่อยก็ยังสามารถหาได้สามถึงสี่ตำลึง ใครจะยังทนทำงานเย็บปักอยู่ที่บ้านทุกวัน พอจะแต่งงาน สิ่งของใหญ่ๆ ก็หาซื้อได้ตามร้านขายของมงคลสมรส ข้าเคยถามปินจวี๋มาแล้ว ปินจวี๋บอกว่าที่เยี่ยนจิงมีเศรษฐีมากมาย เด็กผู้หญิงที่ครอบครัวยากจนเข้าไปเป็นสาวใช้ในจวนก็มีมากมาย ปกติก็ช่วยเจ้านายทำโน่นทำนี่ เมื่อถึงคราวตัวเองที่จะออกเรือนก็ใช่ว่าจะสามารถได้รับสิ่งที่พอใจได้ ย่อมต้องไปซื้อที่ร้านขายของมงคลสมรส ส่วนคนร่ำรวย ปกติสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็เป็นบรรดาสาวใช้ที่ทำให้ ทำของเล็กๆ น้อยๆ ยังพอได้ แต่หากทำของชิ้นใหญ่กลับมีไม่มากที่สามารถทำได้ จะทำเองก็ไม่มีเวลา พอบุตรสาวจะแต่งงานก็ต้องไปซื้อที่ร้านขายของมงคลสมรสเช่นกัน ราคาสินค้าของหอเซียนหลิงมีมูลค่าที่แพงเกินไป คนธรรมดาไม่สามารถซื้อได้ หลายปีมานี้ร้านขายของมงคลสมรสหลายร้านที่ประตูตงต้าล้วนขายดีจนน่าใจหาย”
สืออีเหนียงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ความคิดของอาจารย์ช่างดีจริงๆ!”
เมื่ออาจารย์เจี่ยนเห็นว่านางเห็นด้วย จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นช่วงนี้ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย สำรวจดูว่ามีร้านอะไรดีๆ หรือไม่ แล้วลองดูร้านขายของมงคลสมรสสักสองสามร้านว่ามีที่มาอย่างไร ขายอะไรบ้าง ขายดีหรือไม่…เมื่อถึงเวลานั้นจะได้พอมีข้อมูลอยู่บ้าง”
สืออีเหนียงคิดถึงสะใภ้หลิวหยวนรุ่ย “…ข้าจะให้นางไปกับท่าน นางเป็นคนไหวพริบดี มาเยี่ยนจิงได้หลายปีแล้ว คุ้นเคยกับสถานที่มากกว่าท่าน หากมีคนไปเป็นเพื่อนก็จะมีความกล้ามากขึ้น”
อาจารย์เจี่ยนไม่ได้ปฏิเสธ “ได้สิ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องรบกวนเจ้าอยู่แล้ว”
สืออีเหนียงรีบกำชับให้สาวใช้น้อยนำจดหมายไปให้สะใภ้หลิวหยวนรุ่ย ให้นางมาพรุ่งนี้เช้า แล้วปรึกษากับอาจารย์เจี่ยนเรื่องเป็นหุ้นส่วน “ใครจะเป็นผู้ถือครองรายใหญ่ ใครจะเป็นผู้ถือครองรายเล็กเจ้าคะ”
อาจารย์เจี่ยนพูดอย่างลังเลว่า “ข้ามีเงินไม่มากเท่าไร”
“การทำกิจการสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการไม่แบ่งแยกหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจน” สืออีเหนียงมองอาจารย์เจี่ยนพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “หากท่านเป็นผู้ถือครองรายใหญ่ ข้าให้เงินท่านยืมก่อนก็มีค่าเท่ากัน แต่จะไม่แบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจนไม่ได้”
อาจารย์เจี่ยนนับว่าเป็นคนที่เดินทางไปตามแถวเทียบท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำเพื่อทำกิจการอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าเคยเห็นคนมากมายที่ก่อเรื่องวุ่นวายกันจนตายเพราะเงินเพียงหนึ่งก้อนมาแล้วตั้งเท่าไร เมื่อได้ฟังสืออีเหนียงพูดเช่นนี้กลับรู้สึกโล่งใจและมีความมั่นใจในการเปิดร้านขายของมงคลสมรสมากขึ้น
“เจ้าเป็นผู้ถือครองรายใหญ่เถิด!” อาจารย์เจี่ยนพูดพึมพำว่า “ร้านเย็บปักนี้ต่อไปข้าจะมอบให้ชิวจวี๋ ตอนนี้นางก็อายุยังน้อย และเคยปรนนิบัติรับใช้เจ้า หากมีเจ้าคอยดูแลร้าน ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อนางแต่งงาน…ครอบครัวของแม่สามีก็จะไม่สามารถแย่งชิงร้านไปได้”
สืออีเหนียงหัวเราะลั่น
มันต่างอะไรกันกับพ่อแม่ที่กลัวว่าบุตรสาวจะเสียเปรียบ ก่อนแต่งงานจึงได้มอบทรัพย์สินให้ลูกๆ
“อาจารย์พิจารณาเพื่อชิวจวี๋ได้อย่างรอบคอบจริงๆ เหตุใดตอนนั้นถึงไม่คิดถึงข้าบ้างเล่า”
อาจารย์เจี่ยนยิ้มพลางหยิกแก้มนาง “เจ้าเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ ยังต้องให้ข้าช่วยวางแผนอีกหรือ”
ชั่วขณะนั้นราวกับว่าได้ย้อนเวลากลับไปยามที่ได้เรียนเย็บปักกับอาจารย์เจี่ยน อู่เหนียงกับชีเหนียงพากันหนีเรียน นางแยกไม่ออกว่าอะไรคือสอย อะไรคือการเย็บ ส่วนสือเอ้อร์เหนียงตัวน้อยก็เอาแต่นั่งเหม่อลอย อาจารย์เจี่ยนก็หยิกแก้มนางเช่นนี้ ทั้งยังขู่นางว่า ‘หากปักไม่ดีระวังจะโดนตำหนิ ’
“อาจารย์เจ้าคะ” สืออีเหนียงอาศัยโอกาสนี้เอนกายพิงไหล่อาจารย์เจี่ยน “พวกเราพยายามกันอย่างหนักเช่นนี้ จะต้องได้รับการตอบแทน ต้องเปิดร้านขายของมงคลสมรสได้แน่นอน ท่านก็ไม่ต้องร่อนเร่ไปทั่ว ชิวจวี๋ก็จะมีที่ให้ก่อร่างสร้างตัว พวกเราจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
อาจารย์เจี่ยนลูบผมสืออีเหนียง ไม่ได้พูดอะไร
สืออีเหนียงกลับไปปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “…เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าจะมีพวกอันธพาลมาหาเรื่อง และกลัวว่าทางการจะเก็บเงินเพิ่ม อยากให้ท่านโหวช่วยพูดกับผู้ดูแลท่านนั้น แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงชื่อของจวนเรา เพียงแค่บอกว่าเป็นญาติของผู้ดูแลก็พอแล้ว” เรื่องแบบนี้ แน่นอนว่ายิ่งบอกสวีลิ่งอี๋เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
“เช่นนั้นหมายความว่าไม่ต้องการเงินลงทุนหรือ” สวีลิ่งอี๋ชำเลืองมองนาง
ดวงตาเรียวดุจหงส์จ้องมองที่นาง ทำเอาสืออีเหนียงตกใจ
“พวกเราทำกิจการเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านั้น” ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ เอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “ข้าคิดว่าคงไม่ต้องใช้เงินมากมายเท่าไรเจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างที่เจ้าพูด” สวีลิ่งอี๋ตะโกนเรียกหลินปัวเสียงดัง “เจ้าไปเรียกพ่อบ้านไป๋มา!”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรีบพูดขัดขึ้นมาว่า “ข้ายังพอมีเงินอยู่บ้าง…” ทันทีที่นางพูดก็รู้สึกว่าสีหน้าของสวีลิ่งอี๋ดูไม่ดีนัก จึงรีบพูดแก้ขึ้นมาว่า “ต้องรอให้อาจารย์เจี่ยนดูสถานการณ์ก่อน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจึงจะบอกท่านโหวได้ว่าต้องการเงินเท่าไร มิเช่นนั้นหากเอามาทีละเล็กทีละน้อย เกรงว่าท่านโหวจะรำคาญข้า!” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ดีขึ้น
“เจ้าอยากเปิดภายใต้ชื่อของผู้ดูแลไม่ใช่หรือ ข้าว่าเช่นนั้นก็เปิดภายใต้ชื่อของพ่อบ้านไป๋ดีหรือไม่”