ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่โจวเสวียนออกไปเป็นเวลานานมากเฉินตันจูเปิดม่านรถดูเขาสั่งการผู้ติดตามอยู่ด้านนอก จากนั้นยังขี่ม้าหนีไปคนเดียว
สถานการณ์ทางด้านเมืองหลวงย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เดิมทีคิดว่าเป็นแค่เรื่องของตนเอง เวลานี้ถึงได้รู้ว่ายังมีเรื่องใหญ่อย่างแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
เฉินตันจูปล่อยม่านรถลง เอนกายพิงหมอนนุ่มอีกครั้งอย่างเหนื่อยล้า
“คุณหนู ท่านอย่าเหนื่อยเกินไป” อาเถียนพูดอย่างระมัดระวัง พลางนวดหัวไหล่ให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “จู๋หลินไปสืบแล้ว คงไม่เป็นอันใด มิฉะนั้นคงได้ข่าวแล้ว หวังไต้ฟูยังอยู่กับพวกเราก่อนหน้านี้ด้วย”
เมื่อได้ยินชื่อของหวังไต้ฟู เฉินตันจูลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง นางนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา
“อาเถียน” นางจับมือของอาเถียน “ตอนที่หวังไต้ฟูมาช่วยข้า ท่านแม่ทัพก็ล้มป่วยใช่หรือไม่ จากนั้นเนื่องจากหวังไต้ฟูไม่ได้อยู่ข้างกายเขา จึง…”
อาเถียนตกใจกลัวจนใบหน้าซีดเผือด นางส่ายหัวระรัว “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่เจ้าค่ะ! คุณหนูท่านอย่าคิดมาก!”
เฉินตันจูเค้นยิ้มให้นาง “พวกเรารอข่าวเถิด” นางนั่งกลับไปอีกครั้ง แต่ร่างกายไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย มือที่จับหมอนนุ่มเอาไว้จมลึกลงไป
เมื่ออดีตชาติ ตอนที่นางตาย แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็เพิ่งตาย แต่ว่าชาตินี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่อาจรับรองได้ว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กจะไม่ตายในเวลานี้
ชายชราผู้นั้นอายุไล่เลี่ยกับท่านพ่อ ทำสงครามมาหลายสิบปี ถึงแม้ไม่ได้พิการทางขาเหมือนท่านพ่อ แต่ย่อมมีบาดแผลมากมาย เขาดูเหมือนเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ ถึงแม้รูปร่างอ้วนท้วมผิวหนังแห้งเหี่ยว แต่ยังคงมีบารมีดุจเสือ เพียงแต่ข้างตัวเขามักมีหวังไต้ฟูติดตาม เฉินตันจูรู้ว่าฝีมือของหวังไต้ฟูเก่งกาจอย่างมาก ดังนั้นข้างกายของแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่สามารถขาดหวังไต้ฟูได้
นิ้วของนางคำนวณเวลาเบาๆ ก่อนนางเดินทาง ถึงแม้จะไม่ได้ไปพบแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่สามารถมั่นใจว่าเขาไม่ได้ป่วย ดังนั้นย่อมเป็นเวลาที่นางสังหารเหยาฝู…
เฉินตันจูกำนิ้วแน่น หวังไต้ฟูย่อมไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง ย่อมเป็นเพราะแม่ทัพหน้ากากเหล็กคาดเดาได้ว่านางต้องการทำสิ่งใด ท่านแม่ทัพไม่ได้ส่งกองกำลังมา หากแต่ส่งหวังไต้ฟูมา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาเพื่อขัดขวางนาง หากแต่เพื่อช่วยนาง
นางถูกช่วยแล้ว แต่ท่านแม่ทัพ…
เฉินตันจูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หวังว่าชะตากรรมของท่านแม่ทัพจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เหมือนดั่งเมื่ออดีตชาติ รอนางใกล้ตาย เขาค่อยตาย
คนขบวนหนึ่งเดินทางอย่างรวดเร็ว องครักษ์ที่จู๋หลินส่งออกไปกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ได้นำข่าวที่เป็นประโยชน์กลับมา
“เพียงแค่บอกว่าท่านแม่ทัพป่วย” พวกเขาพูด “ค่ายทหารรักษาการณ์เข้มงวด พวกเราเข้าไปไม่ได้ ไม่ได้พบกับท่านแม่ทัพหรือหวังไต้ฟู เฟิงหลิน”
ดูท่าทางจะสาหัสจริง เฉินตันจูไม่ให้พวกเขาเดินทางไปมาหลายรอบ ทุกคนเร่งความเร็ว ในไม่ช้าก็เดินทางมาถึงเขตแดนของเมืองหลวง
มีกองกำลังของโจวเสวียนเปิดทาง ระหว่างทางจึงไร้อุปสรรค แต่ในไม่ช้า ด้านหน้าปรากฏคนขบวนหนึ่ง ไม่ใช่ทหาร แต่เมื่อพวกเขาเห็นผู้นำขบวนสวมชุดขุนนางบุ๋น กองกำลังยังคงชะลอลง
เพราะว่าขุนนางบุ๋นท่านนั้นถือพระราชโองการในมือ
โจวเสวียนถามอย่างรำคาญ “ขุนนางหลวงอย่างเจ้าไม่อยู่ในเมืองหลวง ออกมาทำอันใด”
เขาอยากออกมาหรือ สีหน้าของหลี่จวิ้นโส่วเศร้าโศกมาก เดิมทีเขาไม่เป็นจวิ้นโส่วแล้ว เขาเข้ารับตำแหน่งในที่ว่าการตามความปรารถนา ได้รับหน้าที่ใหม่ ทั้งสบายและอิสระ รู้สึกว่าในชีวิตนี้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเฉินตันจูอีกแล้ว สุดท้าย เมื่อบอกว่าฮ่องเต้รับสั่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินตันจู ผู้บังคับบัญชาของเขาก็ผลักเขาออกมาทันที
เขาจะทำอย่างไรได้!
“ฝ่าบาทมีพระราชโองการ” หลี่จวิ้นโส่วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉินตันจูเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม รีบนำตัวคุมขังในคุกหลวง รอคอยการสืบสวน”
ก่อนจะมองไปยังโจวเสวียน ยกพระราชโองการในมือขึ้น
“ท่านโหวโจว ท่านจะขัดขืนพระราชโองการหรือ”
โจวเสวียนไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “ข้าไม่ได้ต้องการขัดขืนพระราชโองการ ข้าจะไปรับโทษต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทด้วยตนเอง”
เพียงแค่ถูกฮ่องเต้โบยอีกครั้ง
เผชิญกับความไร้เหตุผลของโจวเสวียน หลี่จวิ้นโส่วไม่เกรงกลัว เขาพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น “ท่านโหวไปรับโทษเป็นหน้าที่ของผู้เป็นขุนนาง ส่วนหน้าที่ของข้าคือจับกุมเฉินตันจู ขอให้ท่านโหวเหยียบข้ามร่างของข้าไป ข้าตายอย่างสมเกียรติ ไร้ความข้องใจ”
พูดพลางยกพระราชโองการขึ้นสูง พลางเดินขึ้นหน้า
โจวเสวียนก่นด่าด้วยความขุ่นเคือง ขุนนางบุ๋นที่สมควรตายเหล่านี้…ก่อนจะเศร้าโศก ท่านพ่อของเขาก็เป็นขุนนางบุ๋น อีกทั้งยังตายไปแล้วด้วย
เหตุการณ์ตึงเครียด ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างกำอาวุธแน่น
“ใต้เท้าหลี่!” เฉินตันจูเปิดม่านรถตะโกน เพียงแค่ประโยคเดียว นางก็ปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง
สีหน้าหนักแน่นของหลี่จวิ้นโส่วเปลี่ยนไป เขาใช่ว่าไม่เคยเห็นเฉินตันจูร้องไห้ ตรงกันข้าม เขาเคยเห็นมากกว่าผู้อื่น เพียงแต่ครานี้เหมือนจริงกว่าหลายคราก่อน...
“ท่านร้องอันใดกัน” เขาทำหน้าเฉยชา “มีความไม่เป็นธรรมอันใด เมื่อถึงเวลาบอกมาอย่างละเอียดก็พอ”
เฉินตันจูพูดพลางร้องไห้ “ข้าได้รับความไม่เป็นธรรมในเวลานี้! ท่านแม่ทัพป่วย ท่านจะห้ามข้าไปพบท่านแม่ทัพได้อย่างไร ไม่ให้ข้าไปพบท่านแม่ทัพ ต้องการให้คนผมดำอย่างข้าส่งคนผมขาว…”
เรื่องเหลวไหลอันใดกัน หูสองข้างของหลี่จวิ้นโส่วอื้ออึ้ง เด็กคนนี้พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว
“ท่านอย่าพูดเหลวไหล” เขารีบตะโกนเสียงดัง “ท่านแม่ทัพป่วยย่อมมีเหล่าหมอหลวงรักษา เหตุใดจึงกลายเป็นคนผมดำส่งคนผมขาว พูดเหลวไหลยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงโกรธ รีบตามข้าไปคุกหลวง”
เด็กคนนี้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กป่วยเช่นนี้แล้ว ยังคิดจะใช้เขาเป็นที่พึ่ง หลบเข้าไปในค่ายทหารหรือ เวลานี้ฝ่าบาททรงร้อนใจกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กอย่างมาก เปรียบดั่งเกล็ดมังกรที่แตะต้องไม่ได้!
เฉินตันจูร้องไห้ “ถึงแม้จะมีหมอหลวง แต่ก็แค่รักษาโรค ข้าในฐานะบุตรสาวเหตุใดจึงไม่อาจพบท่านพ่อได้ หากความจงรักภักดีกับความกตัญญูไม่อาจครอบครองร่วมกันได้ เฉินตันจูย่อมต้องกตัญญูก่อน หลังจากเยี่ยมท่านพ่อแล้ว เฉินตันจูจะยอมตายเป็นการไถ่โทษ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อฝ่าบาท!”
ท่านพ่อ?! หลี่จวิ้นโส่วตกตะลึงอย่างมาก พูดจาเหลวไหลอันใดกัน เหตุใดจึงกลายเป็นท่านพ่อได้
“ก็คือท่านพ่อ ข้ายอมรับท่านแม่ทัพเป็นท่านพ่อนานแล้ว!” เฉินตันจูร้องไห้ “ใต้เท้าหลี่ท่านไม่เชื่อ ท่านตามข้าไปถามท่านแม่ทัพ!”
ท่านแม่ทัพเป็นเช่นนี้แล้ว เขายังวิ่งไปถามเรื่องนาง? อยากให้ฮ่องเต้ส่งเขาเข้าคุกหลวงด้วยหรือ เจ้าเด็กคนนี้ แม้จะเป็นเช่นนี้ ใบหน้าของหลี่จวิ้นโส่วก็ไม่อาจสุขุมเหมือนก่อนหน้านี้ โจวเสวียนใช้อำนาจข่มเขา เขาในฐานะขุนนางย่อมไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ มิฉะนั้นจะถือเป็นขุนนางราชสำนักได้อย่างไร เขาจะมีบารมีได้อย่างไร เขาจะเลื่อนขั้นได้อย่างไร…แค่ก แต่เฉินตันจูไม่ได้ใช้อำนาจข่มเขา อีกทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย ทั้งความจงรักภักดีทั้งความกตัญญู
“ท่านพ่อมีพระคุณต่อข้าอย่างมาก ท่านพ่อล้มป่วย ข้าไม่อยู่ข้างกายปรนนิบัติ ข้ายังเป็นคนอยู่หรือ” ทางนั้นหญิงสาวยังคงร้องไห้ฟูมฟาย “แม้จะเป็นพระราชโองการของฝ่าบาท แม้ข้าต้องถูกประหารตรงนี้เพราะขัดขืนพระราชโองการ ข้าก็ต้องไปพบท่านพ่อ…”
ความปวดหัวอันคุ้นเคยของหลี่จวิ้นโส่วกลับมาอีกแล้ว เฮ้อ เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
“เฉินตันจู ท่านอย่าสร้างปัญหา” เขาพูดอย่างระอา “รอ รอข้าทูลต่อฝ่าบาท…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ด้านหลังมีขบวนรถม้าเดินทางเข้ามา ขันทีหลายคนวิ่งเข้ามา “องค์ชายสามเสด็จ”
องค์ชายสาม?
หลี่จวิ้นโส่วรีบมองไป ก่อนจะเห็นองค์ชายสามเดินลงมาจากบนรถ เขาพยักหน้าทักทายหลี่จวิ้นโส่ว จากนั้นเดินไปยืนข้างเฉินตันจู มองหญิงสาวที่กำลังร้องไห้
เฉินตันจูร้องไห้ เรียกขานองค์ชายสาม
องค์ชายสามพูดเสียงเบา “อย่าร้องเลย ข้าทูลต่อฝ่าบาทแล้ว ให้เจ้าไปเยี่ยมท่านแม่ทัพก่อน”
เฉินตันจูจับแขนเสื้อของเขาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน “จริงหรือเพคะ”
องค์ชายสามเอ่ย “ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อใดกัน” ก่อนจะมองหลี่จวิ้นโส่วอีกครั้ง “ข้าเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ได้รับพระราชานุญาตจากพระองค์ ข้าจะเดินทางไปค่ายทหารพร้อมเฉินตันจูด้วยตนเอง จากนั้นส่งนางไปคุกหลวงด้วยตนเอง ขอให้ใต้เท้ารอสักครู่”
เมื่อเป็นเช่นนี้ มีองค์ชายสามรับรอง หลี่จวิ้นโส่วเก็บพระราชโองการลง “กระหม่อมไปพร้อมกับองค์ชาย”