ตอนที่ 361 ยกหินทับเท้าตัวเอง
หลินม่ายมองแผ่นหลังที่ห่างไกลออกไปของซูอวี้อิ๋ง แล้วมองฟางจั๋วหรานอย่างจนใจ “คุณนี่มีพวกดอกท้อเน่า(1)เยอะจริงเชียว!”
ฟางจั๋วหรานก็เอือมระอาเช่นกัน เขาเองก็ไม่อยากมีดอกท้อเน่าหรอก
เขากลับบ้านด้วยกันกับหลินม่าย พลางถามอย่างไม่สบายใจ “ม่ายจื่อ คุณจะรังเกียจผมเพราะผมมีผู้หญิงมาเกาะแกะเยอะเกินไปหรือเปล่า?”
หลินม่ายครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนพูดขึ้น “ไม่ถึงขั้นรังเกียจหรอก แต่คงจะเหนื่อยใจหน่อย ฉันก็หวังว่าคุณจะจัดการกับพวกผู้หญิงที่มารุ่มร่ามด้วยตัวเอง พยายามไม่ให้พวกหล่อนมาทำท่าทีอวดดีต่อหน้าฉันค่ะ”
แม้ในใจเธอจะสามารถเข้าใจได้ว่าผู้ชายที่ดีเลิศไปหมดรอบด้านนั้นล่อผึ้งเรียกผีเสื้อมาไต่ตอมได้ง่าย แต่การเข้าใจกับความว้าวุ่นใจนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
ดอกท้อเน่าของใครคนนั้นก็จัดการเอง
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า กุมมือเล็กของหลินม่ายข้างหนึ่งอย่างละอายใจ
หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ หลินม่ายคิดจะให้ฟางจั๋วหรานนอนกลางวันที่บ้านสักครู่หนึ่งแล้วค่อยไปทำงาน
เขาใช้ชีวิตของเขาได้ดีมาก ไม่มีนิสัยเสียอะไรเลย
หากเขาป่วยหนักขึ้นมาจริงๆ ก็คงเป็นเพราะความเหนื่อยได้เพียงอย่างเดียว อย่างนั้นก็ต้องพักผ่อนให้มากๆ
ฟางจั๋วหรานโบกมือไปมา “ผมกลับไปที่โรงพยาบาลดีกว่า มีประวัติคนไข้ที่ยังไม่ได้ดูอีกเยอะเลย”
หลินม่ายส่งเขาออกจากบ้านไป “อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปนะคะ ดูจนเหนื่อยแล้ว ก็ไปนอนพักที่ห้องพักผ่อนด้วยนะ ได้พักสายตาสักห้านาทีก็ยังดี”
ฟางจั๋วหรานสบสายตากังวลของเธอ ในใจก็ยิ่งรู้สึกละอายต่อเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
สาวน้อยคนนี้ดีต่อเขาขนาดนี้ แต่เขากลับไม่ได้ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เธอเลยแม้แต่น้อย แถมยังมีดอกท้อเน่าของตัวเองไปคอยราวีเธออยู่เสมอ
เธอบอกว่าเธออาจรู้สึกเหนื่อยใจเพราะต้องคอยจัดการกับดอกเท้าเน่าพวกนั้นไม่หยุดหย่อน หากถึงวันนั้นที่เธอเหนื่อยล้า แล้วเธอจะยังต้องการตนอยู่อีกหรือเปล่า?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฟางจั๋วหรานก็พลันรู้สึกกระวนกระวาย สาวเท้าเดินไปยังบ้านของฟางเว่ยกั๋วอย่างรวดเร็ว
เขาจะไปเตือนพวกเขา ว่าหากพวกเขาคนใดลากดอกท้อเน่ามาให้เขาอีก ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจแล้วกัน!
สองสามีภรรยาฟางเว่ยกั๋วหวังจะประจบสอพลอตระกูลซู เพื่อความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ของฟางเว่ยกั๋ว
ด้วยเหตุนี้ตอนเที่ยงทันทีที่เลิกงาน สองสามีภรรยาจึงพากันไปหาพ่อลูกตระกูลซูที่เกสต์เฮ้าส์ แล้วเชิญพวกเขาไปกินข้าวที่ร้านอาหารในเจียงเฉิง
ซูอวี้อิ๋งออกไปข้างนอกอยู่นาน ขณะสองสามีภรรยานั้นนั่งพูดคุยกับพ่อซูอยู่ที่ห้องรับแขกเล็กๆ ในห้องพักของเขา รอให้ซูอวี้อิ๋งกลับมา
พูดคุยกันพักหนึ่ง พ่อซูก็ยกมือดูนาฬิกา เขาขมวดคิ้วแล้วพูดพึมพำ “ทำไมอิ๋งอิ๋งยังไม่กลับมาอีก?”
สิ้นเสียงของเขา ก็เห็นประตูที่แง้มไว้เอาไว้ถูกใครบางคนผลักออกอย่างแรง พร้อมกับซูอวี้อิ๋งวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าอาบน้ำตา
พ่อซูเห็นแล้วแทบขาดใจ พลันผุดลุกขึ้นยืน ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทำไมถึงร้องไห้หนักขนาดนี้? บอกพ่อมาเร็วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ฟางเว่ยกั๋วและหวังเหวินฟางมองหน้ากัน แล้วลุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หวังเหวินฟางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป ประคองซูอวี้อิ๋งนั่งลงบนโซฟา แล้วเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “มีอะไรค่อยๆ พูดออกมาเถอะ ถ้ามีใครมารังแกหนู คุณอาฟางกับพ่อของหนูจะออกหน้าจัดการให้เอง”
ซูอวี้อิ๋งร้องไห้อย่างหนักจนหายใจไม่ทัน หล่อนรับน้ำเย็นที่ฟางเว่ยกั๋วรินให้มาดื่มสองสามอึก แล้วเล่าเหตุการณ์พลางสะอึกสะอื้น
บอกว่าฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายรังแกหล่อนอย่างไร ส่วนที่หล่อนไปหาเรื่องหลินม่ายอย่างไรนั้นกลับไม่ได้พูดถึงเลยแม้แต่คำเดียว
พ่อซูรู้ว่าคำพูดของลูกสาวตนมีแต่น้ำเสียส่วนใหญ่ แต่เขาก็ไม่สนใจตรงส่วนนั้น ใครก็ตามที่มาทำให้ลูกสาวของเขาร้องไห้ เขาจะไปคิดบัญชีกับมัน
ในเมื่อตัวต้นเหตุทั้งสองคนที่รังแกลูกสาวสุดที่รักของเขาล้วนเกี่ยวข้องกับสามีภรรยาฟางเว่ยกั๋ว อย่างนั้นให้พวกเขาจัดการก็แล้วกัน
พ่อซูเหลือบมองฟางเว่ยกั๋วสองสามีภรรยาด้วยสีหน้าถมึงทึง “อิ๋งอิ๋งถูกจั๋วหรานกับหญิงหม้ายคนนั้นรังแก พวกคุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?”
ฟางเว่ยกั๋วสองสามีภรรยาตะลึงงัน
พวกเขาไม่นึกว่าฟางจั๋วหรานจะกลั้นแกล้งซูอวี้อิ๋งด้วยกันกับหลินม่าย
ในความคิดของพวกเขา ขอแค่ซูอวี้อิ๋งลงสนามรบ หลินม่ายก็จะเจียมเนื้อเจียมตัว แล้วถอยออกไปเอง
ฟางจั๋วหรานมีคู่ที่สมกันอย่างซูอวี้อิ๋งแล้ว เมื่อหันไปมองหลินม่ายอีกครั้ง ก็คงรู้สึกว่าเธอไม่คู่ควรกับเขา
แต่สถานการณ์ความเป็นจริงกลับแตกต่างจากที่พวกเขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง
หวังเหวินฟางนึกเสียใจอย่างที่สุด
ถ้ารู้แต่แรกว่ากำลังสู้รบของซูอวี้อิ๋งอ่อนแอขนาดนี้ ต่อกรกับหลินม่ายไม่ได้ จนผลลัพท์เลวร้ายขนาดนี้ หล่อนก็คงไม่ยุยงให้ซูอวี้อิ๋งไปหาเรื่องก่อกวนหลินม่ายหรอก
ตอนนี้จบเห่แล้ว ยกหินขึ้นมาให้ทับเท้าตัวเองชัดๆ แถมยังเจ็บสุดๆ อีกด้วย
ฟางเว่ยกั๋วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมจะพาจั๋วหรานมาขอโทษอิ๋งอิ๋งอย่างแน่นอน ตอนนี้เราไปกินข้าวกันเถอะ เลยเวลาเที่ยงครึ่งไปแล้ว อิ๋งอิ๋งคงจะหิวแล้วแน่ๆ”
ซูอวี้อิ๋งพูดด้วยความโกรธเคือง “หนูไม่กิน!”
พ่อซูเองก็พูดอย่างเย็นชา “ผมก็ไม่อยากกินเหมือนกัน พวกคุณไปซะเถอะ”
ฟางเว่ยกั๋วเริ่มปั้นหน้าต่อไปไม่ไหว
เขากับพ่อซูโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นอย่าว่าแต่พ่อซูเลย แม้แต่ผู้อาวุโสซูเจอคนรุ่นหลังอย่างเขาก็ยังปฏิบัติด้วยอย่างสุภาพ
แต่ตอนนี้พ่อซูกลับพูดจาหยาบคายกับเขาถึงขนาดนี้ ถึงกับออกคำสั่งไล่แขกเลยงั้นเหรอ!
แม้จะเดือดดาล แต่เขาก็ได้แต่อดกลั้นไว้
ใครใช้ให้ผู้อาวุโสตระกูลตนไม่สนเรื่องทางโลก ไม่ให้ลูกชายทั้งหลายของตัวเองขึ้นไปสู่จุดสูงสุดก่อนที่จะเกษียณกันล่ะ?
ทำให้เขาด้อยกว่าพ่อซู จนไม่อาจไม่ไว้หน้าเขาได้เลย
ฟางเว่ยกั๋วแสร้งทำเป็นพูดอย่างใส่ใจสองสามคำ แล้วจึงพาหวังเหวินฟางจากไป
ระหว่างทางเขาอดไม่ได้ที่จะตำหนิความมากเรื่องของหวังเหวินฟาง
ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนยุยงเสี้ยมสอนให้ซูอวี้อิ๋งไปก่อกวนหลินม่าย ต่อให้พ่อซูจะโมโหแค่ไหนก็คงไม่มาลงที่พวกเขา
หวังเหวินฟางโกรธจนพูดอะไรไม่ออก
ถ้าฟางเว่ยกั๋วคิดว่าหล่อนผิดที่ไปยุยงซูอวี้อิ๋ง แล้วตอนนั้นทำไมไม่ห้ามล่ะ?
การที่เขาไม่ห้ามปรามก็เป็นการสนับสนุนให้หล่อนทำเช่นนั้น แต่ตอนนี้กลับผลักความรับผิดชอบทั้งหมดมาให้หล่อน!
หวังเหวินฟางไม่กล้าแก้ต่างให้ตัวเอง เพราะกลัวว่าจะทำให้ฟางเว่ยกั๋วโมโห
หล่อนถามอย่างขุ่นเคือง “คุณคิดจะให้จั๋วหรานไปขอโทษอิ๋งอิ๋ง ถ้าจั๋วหลานไม่ทำตามที่คุณบอกจะทำยังไง?”
ฟางเว่ยกั๋วแค่นเสียงเย็นชา “ถึงเขาไม่ทำตามที่ผมบอก แต่จะไม่เคารพปู่กับย่าของเขาได้เหรอ?”
หวังเหวินฟางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น “เมื่อกี้นี้คุณไม่ได้ยินที่อิ๋งอิ๋งพูดเหรอ หลินม่ายบอกกับหล่อนว่า คุณพ่อคุณแม่ต่างก็สนับสนุนให้หล่อนกับฟางจั๋วหรานอยู่ด้วยกัน แม้แต่สร้อยข้อมือหยกที่ตกทอดกันมาก็ยังมอบให้หล่อนไปแล้ว แถมยังจะให้พวกเขาหมั้นกันในวันชาติด้วย ถ้าคุณจะให้คุณพ่อคุณแม่ออกหน้าให้……พวกเขาจะไม่ด่าคุณหรอกเหรอ?”
ฟางเว่ยกั๋วเงียบไปนานก่อนพูดขึ้น “คงจะไม่หรอก พ่อของฉันกับลุงซูเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกัน เขาย่อมต้องปราถนาให้จั๋วหรานกับอิ๋งอิ๋งได้คู่กันอยู่แล้ว”
หวังเหวินฟางถามอย่างสงสัย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นทำไมคุณไม่ขอให้คุณพ่อออกหน้าจับคู่จั๋วหรานกับอิ๋งอิ๋งให้ตั้งแต่แรกล่ะ?”
“เรื่องนี้คุณไม่เข้าใจหรอก พ่อของผมเกษียณตำแหน่งแล้ว คนไปชาก็เย็นชืด ถ้าเขาเอ่ยปากพูดเรื่องการแต่งงานกับตระกูลซู หากตระกูลซูไม่เห็นด้วยจะทำยังไง? ทั้งสองฝ่ายก็ต่างอึดอัด แต่ตอนนี้อิ๋งอิ๋งชอบพอกับจั๋วหรานแล้ว ถ้าให้พ่อของผมออกหน้าอีกครั้ง พ่อซูจะต้องไม่ปฏิเสธพ่อผมแน่ มีความสุขกันถ้วนหน้า”
หวังเหวินฟางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “แต่คุณได้พิจารณาถึงจั๋วหรานหรือยัง ถ้าเขาไม่ยอมตกลงจะทำยังไงล่ะ?”
ฟางเว่ยกั๋วแค่นหัวเราะ “คำพูดปู่กับย่าของเขา เขาไม่มีทางไม่ฟังหรอก!”
ขณะทั้งสองพูดคุยกัน ก็เดินมาถึงชุมชนหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ และเห็นฟางจั๋วหรานกำลังเดินออกมาทางนอกหมู่บ้านพอดี
ฟางเว่ยกั๋วอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเรียกฟางจั๋วหรานเอาไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก!”
ฟางจั๋วหรานไปที่บ้านของฟางเว่ยกั๋วเพื่อเตือนสองสามีภรรยา หลังจากคว้าน้ำเหลว เขาก็กำลังจะจากไป แต่กลับไม่คิดเลยว่าจะเจอกันโดยบังเอิญ
เมื่อเห็นฟางเว่ยกั๋วตะโกนเรียกเขา ฟางจั๋วหรานก็หยุดฝีเท้า แล้วพูดอย่างราบเรียบ “ผมเองก็กำลังมีเรื่องจะคุยกับคุณพอดี”
ฟางเว่ยกั๋วพูด “ไปคุยกันในบ้าน”
แม้ว่าจะเป็นตอนเที่ยง และผู้คนที่เดินไปมาในเขตชุมชนก็ไม่ได้มากนัก แต่เขารู้สึกว่าการคุยกันในบ้านจะปลอดภัยกว่า
แต่นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับคำปฏิเสธของลูกเนรคุณ “ผมไม่อยากไปที่บ้านของคุณ คุยกันตรงนี้แหละ”
ฟางเว่ยกั๋วสีหน้าแข็งทื่อ มองไปรอบกาย “ที่นี่…ไม่ค่อยดีหรอก”
“ไม่ค่อยดี? หรือว่าเรื่องที่คุณอยากจะคุยกับผมเป็นเรื่องที่ให้คนอื่นได้ยินไม่ได้งั้นเหรอ?” ฟางจั๋วหรานถามอย่างเย็นชา
หวังเหวินฟางพูดแทรก “พ่อของเธอเป็นโรคไขข้ออักเสบมาระยะหนึ่งแล้ว เขาไม่สามารถยืนนานๆ ได้”
ฟางจั๋วหรานมองตรงไปยังฟางเว่ยกั๋ว สายตาเฉียบคมนั้นราวกับจะสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่ง “คุณเป็นโรคไขข้ออักเสบงั้นเหรอ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1)ดอกท้อเน่า คือดอกท้อที่เบ่งบานแต่ไม่ออกผลและเน่าเสียไป เปรียบเปรยถึงความรักหรือความรู้สึกชอบพอของชายหญิงที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม การนอกใจคบชู้
สารจากผู้แปล
อย่าบังคับให้พี่หมอต้องโหดเลยนะ ไม่งั้นแม้แต่ฐานะพ่อแม่ก็ไม่อาจหยุดอะไรพี่แกได้
ไหหม่า(海馬)