“ขอโทษนะคะ…ใช่คุณอีอูยอนหรือเปล่าคะ”
“ครับ ไม่ใช่ครับ”
อีอูยอนตอบโดยที่ไม่ละสายตาไปจากหน้าต่าง หญิงสาวที่รู้สึกอับอายลังเลก่อนจะเดินจากไป
แม่ง ตั้งใจจะคุยเรื่องอะไรกันแน่วะ
อีอูยอนกัดริมฝีปาก เขาหงุดหงิดกับความจริงที่อีกฝ่ายไม่สามารถพูดเรื่องที่จะพูดกับหมอที่เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งต่อหน้าตัวเองได้จนโมโห
เปิดประตูเข้าไปตอนนี้…
ตอนนั้นเอง ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออก พอสบตากัน อินซอบก็แอบเหลือบตาขึ้นข้างบน
สีหน้าอึ้งๆ นั่น…แม่งโคตรจะทำให้ไอ้นั่นแข็งเลย
อีอูยอนกลืนคำด่าลงไปและเดินไปข้างๆ อินซอบ
“คุยเรื่องอะไรเหรอครับ”
“คุยเรื่องความฝันกับเรื่องเสียงแว่วที่ได้ยินที่ทะเลสาบวันนั้นน่ะ”
“แล้วคุยเรื่องความฝันอะไรเหรอ”
พออีอูยอนถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้ อินซอบก็พูดอ้อมแอ้มไปว่า ‘แค่ฝันน่ะ’
“แล้วหมอว่ายังไงบ้างครับ”
“ก็พูดเหมือนเดิมแหละ บอกว่าให้พักให้เต็มที่ ห้ามเครียด ให้ระวังหัว…”
อินซอบอธิบายคำเตือนที่หมอบอกให้รู้ทีละข้อ
“แล้วก็บอกว่าอะไรอีกนะ”
อินซอบค่อยๆ หยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋า
“หมอสั่งให้กินอาหารให้ครบกับพักผ่อนให้เยอะๆ แล้วก็บอกว่าต้องพักสมอง ห้ามดูโทรศัพท์หรือเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน คอมพิวเตอร์ก็ด้วย”
“คุณเขียนลงไปหมดเลยเหรอครับ”
วินาทีที่เห็นกระดาษโน้ตที่ถูกเขียนด้วยภาษาเกาหลีที่ไม่ชำนาญยิ่งกว่าเมื่อก่อน อีอูยอนก็ลืมว่าโมโหอยู่และเกือบจะหัวเราะออกมา
“อือ…ไม่ได้เหรอ”
…ด้วยสภาพที่จำอะไรไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายนั้นน่ารักขึ้นอย่างไม่ได้วางแผนไว้
อีอูยอนส่งเสียงดังเหอะ และแย่งกระดาษของอินซอบไป
“ผมขอยึดมันไว้นะครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมเองก็ต้องจำเหมือนกัน”
นี่เป็นคำโกหก เขาตั้งใจที่จะช่วยตัวเองขณะดูสิ่งนี้ในตอนกลางคืนต่างหาก
ขณะที่รอให้ลิฟต์ขึ้นมา อินซอบก็ลูบชายเสื้อและเริ่มสังเกตท่าทีของอีอูยอน
“คือว่า”
“…”
อีอูยอนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน อินซอบทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยเรียกว่า ‘อีอูยอน’
“มีอะไรเหรอครับ”
“ฉันมีเรื่องจะรบกวนน่ะ”
“ไม่ได้รบกวนคุณหมอ แต่เป็นผมเหรอครับ”
น้ำเสียงเอาแต่ใจถูกส่งกลับมา
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องแล้ว”
อินซอบรีบส่ายหน้า
ไอ้คนจิตใจดีเอ๊ย
“คืออะไรล่ะครับ ลองบอกมาสิครับ”
อีอูยอนขึ้นลิฟต์และพูด ในระหว่างอินซอบกำลังลังเล คนก็กรูเข้ามาในชั้นถัดไป อีอูยอนยืนหันหลังให้ฝูงชน เขาดันอินซอบเข้ากำแพงลิฟต์และขวางด้านหน้าของอีกฝ่ายไว้ อินซอบที่ถูกบังด้วยไหล่กว้างมองเห็นแต่ใบหน้าของอีอูยอน พวกเขาหายใจรดกันในระยะที่ชายเสื้อเฉียดกัน
“จะรบกวนเรื่องอะไรครับ”
อีอูยอนก้มตัวและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เบาพอที่จะให้อินซอบได้ยินคนเดียว อินซอบก้มหน้าลงและไม่สามารถตอบอะไรได้เลย สุดท้ายอีอูยอนต้องถามคำถามเดิมถึงห้าครั้งในขณะที่ลงจากชั้นห้ามาที่ชั้นใต้ดินชั้นสี่
***
“…อยากมาที่นี่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“อื้อ”
อีอูยอนถอนหายใจเบาๆ ด้วยสายตา คำตอบที่ได้รับมาอย่างยากลำบากจากปากของอินซอบคือการขอให้พาไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
“ถึงผมจะไม่รู้ แต่ดูเหมือนคุณจะชอบปลามากเลยนะครับ”
อีอูยอนที่สวมหมวกต่ำๆ เดินตามหลังอินซอบและพูด เนื่องจากเป็นตอนเที่ยงของวันธรรมดาจึงไม่ค่อยมีผู้เข้าชมมากนัก
“วิ่งลงไปในทะเลสาบเพื่อจับปลาหรือเปล่า”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นนะ ฉันได้ยินจริงๆ…เสียงน่ะ คุณหมอเองก็บอกว่ามันเกี่ยวกับความทรงจำ”
“อย่าพูดถึงผู้ชายคนอื่นต่อหน้าผมครับ”
น้ำเสียงน่ากลัวถูกส่งกลับมา อินซอบพูดว่า ‘หา?’ และหันกลับไปมองอีอูยอน
“ดูปลาที่ชอบให้เต็มที่เถอะครับ แล้วก็อย่าวิ่งลงไปในทะเลสาบอีก”
อีอูยอนแกล้งแหย่อีกครั้งว่าเป็นการล้อเล่น
“…”
แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
แม้อินซอบจะรู้สึกไม่ยุติธรรมนิดหน่อย แต่ก็ปิดปากเงียบ
‘ความฝันเป็นการแสดงออกของจิตใต้สำนึกครับ ถ้าหากมีคนที่ปรากฏตัวขึ้นในความฝันซ้ำๆ ผมว่ามันเกี่ยวข้องกับความทรงจำนะครับ’
พอเขาบอกว่าคนคนเดิมปรากฏตัวในความฝันทุกวัน หมอก็ตอบแบบนั้นกลับมา
‘งั้นมีอะไรที่ผมลองทำได้บ้างไหมครับ’
อินซอบอยากให้ความทรงจำกลับมาไวๆ นอกเหนือจากความรู้สึกอึดอัดและกังวลใจแล้ว เขาไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุอย่างเมื่อวานซืนอีกเป็นครั้งที่สอง
‘บอกว่าคนคนเดิมปรากฏตัวขึ้นใช่ไหมครับ’
‘ครับ’
อินซอบรีบพยักหน้า
‘เป็นเพื่อนหรือครอบครัวเหรอ’
‘…เอ่อ ไม่ใช่ครับ’
อินซอบลังเลก่อนจะตอบเสียงเบาว่า ‘เหมือนจะเป็นคนที่คบอยู่ครับ’ แต่เขาจำใบหน้าหรือเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ มีเพียงความรู้สึกที่รู้สึกกับบรรยากาศในฝันเท่านั้นที่บอกว่าเป็นแบบนั้น ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง หัวใจที่เต้นแรง…และความสุข และหากถูกจับมือ ภายในลำคอของเขาก็จะร้อนผ่าว เพราะความรู้สึกที่พลุ่งพล่านจนยากที่จะบรรยาย
‘ถะ ถึงจะไม่แน่ใจ แต่ก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นครับ…มั้งนะ’
อินซอบกังวลว่าถ้าอีอูยอนกำลังฟังอยู่นอกประตูจะทำยังไง ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าพี่ชายของตนฝันถึงคนรักที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนหรือเปล่าทุกคืนคงจะผิดหวังอย่างแน่นอน
‘ผมคิดว่าการเจอคนคนนั้นตรงๆ จะเป็นการดีที่สุดนะ เพราะการทำแบบนั้นจะช่วยได้มากเลยล่ะครับ ยังติดต่อกับคนรักอยู่ไหมครับ’
‘ไม่แล้วครับ’
อินซอบส่ายหน้า ความจริงมันก็แปลก ถ้าเป็นคนที่สำคัญถึงขนาดที่โผล่มาในความฝันทุกวัน ทำไมไม่ติดต่อมาล่ะ น่าจะมีคนติดต่อไปตอนที่เกิดอุบัติเหตุสิ…หรือว่าเลิกกันแล้วเหรอ
‘อืม ถ้าเป็นแบบนั้น มีส่วนอื่นที่จำได้ไหมครับ พวกข้าวของที่เป็นสัญลักษณ์ สถานที่ หรือความรู้สึก’
ตอนที่ได้ยินคำว่าสถานที่ อินซอบก็นึกถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ มันเป็นที่ที่เขาเห็นคนคนนั้นในฝันเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเขาพูดคุยอะไรบางอย่างกับคนคนนั้นที่นี่ ต้อง…
อินซอบเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะเสียงเคาะนิ้ว
“คิดอะไรขนาดนั้นอยู่เหรอครับ”
“เปล่า กำลังดูปลาน่ะ”
อินซอบรีบเบนสายตากลับไปที่แท็งก์พลางเอ่ยตอบ
“อยากดูปลาอะไรเหรอ”
อีอูยอนยืนอยู่ข้างๆ และเอ่ยถาม
“ทั้งหมดเลย…ดูไปเรื่อยน่ะ”
อินซอบไม่กล้าพูดกับอีอูยอนว่าเป็นที่ที่มากับคนที่ไม่แน่ใจว่าเป็นคนรักของตัวเองหรือเปล่า ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าไม่ควรทำแบบนั้น
“ฉลามตรงนั้นกำลังฉีกเนื้อแพนกวินกินล่ะ”
“ครับ?”
อินซอบเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ อีอูยอนบอกว่า ‘ล้อเล่น’ ก่อนจะหัวเราะพร้อมกับล้วงมือเข้ากระเป๋า
“อย่าทำแบบนั้นสิ”
อินซอบส่งเสียงร้องพร้อมกับเบ้หน้าให้กับฉากที่แค่คิดก็โหดร้ายแล้ว
“ถ้าถูกกินแล้วจะยังไงล่ะครับ ฮ่าๆๆ ถ้าฉลามหิวก็สามารถกินแพนกวินได้นี่”
น้องชายของตัวเองที่สุขุมและเป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอมักจะแกล้งเล่นแบบนี้อยู่บ่อยๆ แม้ปกติจะมีบรรยากาศที่เชื่อได้ยากว่าเป็นน้องชาย แต่พอแสดงท่าทีที่เป็นเด็กออกมาในเวลาแบบนั้นกลับดูน่ารัก …แม้ตัวเขาเองจะรู้สึกอึดอัดใจก็ตาม
วัตถุสีขาวขนาดใหญ่ลอยผ่านไปในแท็งก์กลมๆ อินซอบร้องโอ๊ะและวิ่งไปตรงหน้าแท็งก์
“ดูเหมือนจะเป็นโลมานะ”
“เบลูกาครับ”
อีอูยอนเดินเข้ามาประชิดหลังอินซอบพลางพูด
“น่ารักจัง”
พออินซอบใช้มือลูบกระจกแท็งก์ เบลูกาก็สบตาและทักทาย หน้าตาของอินซอบกลับมาสดใส
“น่ารักมากเลย ดูเหมือนจะรู้จักคนด้วย ฉันว่ามันฉลาดมากเลย”
“ถึงยังไงก็เป็นแค่ปลา”
น้ำเสียงเย็นชาอีกแล้ว อินซอบพูดว่า ‘หา?’ และหันกลับไปมอง อีอูยอนกำลังทำแววตาอ่อนโยนและยิ้มให้ โดยไม่ทันได้รู้ตัว เบลูกาก็หายไปอีกฝั่งหนึ่งของแท็งก์แล้ว พออินซอบเดินไปมาอยู่หน้าแท็งก์ราวกับเสียดาย อีอูยอนก็จับไหล่เขาไว้และลากออกมา
“ของแบบนั้นมันมีอะไรดีเหรอครับ”
อินซอบงุนงงกับการกระทำราวกับเด็กเล็กๆ ที่อยากให้เขาสนใจตัวเองเล็กน้อย
“พะ เพราะมันน่าทึ่งน่ะ”
อีอูยอนหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ
“เมื่อก่อนก็พูดแบบนี้ มีสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเยอะนะ”
อินซอบรู้สึกถึงเดจาวูแปลกๆ เพราะคำพูดของอีอูยอน
“นี่ อูยอน”
“ครับ”
“ฉันเคยมาที่นี่ไหม”
“ไม่เคยครับ”
อินซอบแอบโล่งใจเพราะคำตอบของอีอูยอน ใช่แล้ว มันไร้สาระ คนในฝันก็…
“แต่เคยไปอควาเรียมที่อยู่ทางสถานีซัมซองครั้งหนึ่งนะ วันนี้ผมพามาที่นี่เพราะเขาบอกว่าเพิ่งเปิดใหม่น่ะครับ ทำไมเหรอครับ ไม่ชอบเหรอครับ จะไปที่นั่นอีกไหมล่ะครับ”
“ปะ…เปล่า”
อินซอบรีบส่ายหน้า คงเป็นอูยอนสินะ เพราะว่าสนิทกัน เพราะสนิทกันถึงขนาดที่ไปดูพระอาทิตย์ในวันปีใหม่กันสองคน การไปเที่ยวเล่นด้วยกันที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก็…
“ความจริงจะที่นั่นหรือที่นี่ก็ไม่ต่างกันหรอกครับ”
อีอูยอนที่พูดแบบนั้นยิ้มและพึมพำเหมือนพูดคนเดียว ‘ร้านขายปลาดิบตรงท่าเรือประมงก็ไม่ต่างอะไรกัน’ เขาขนลุกซู่ไปตามแนวกระดูกสันหลัง เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ตอนนั้น คนคนนั้น…
“มีอะไรเหรอครับ”
พออินซอบหยุดยืนนิ่งๆ และไม่ยอมตามมา อีอูยอนก็ขยับหมวกขึ้นและเอ่ยถาม
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ ไม่สบายตรงไหนเหรอครับ”
“เปล่า ไม่ได้ไม่สบาย คือว่า อูยอน…”
ตอนนั้นเอง ผู้หญิงสองคนก็เดินเข้ามาทางด้านหลังของอีอูยอน
“ขอโทษนะครับ ใช่อีอูยอน…”
อีอูยอนไม่หันกลับไปมองและคว้าข้อมือของอินซอบไว้ จากนั้นก็เริ่มเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง
“เดี๋ยว เดี๋ยวค่ะ!”
แม้พวกผู้หญิงจะรีบเอ่ยเรียก แต่อีอูยอนก็ไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นได้ยิน
“…เขาเรียกนะ”
“ถ้ามีคนที่ไม่รู้จักเข้ามาคุยด้วยตามถนนที่เกาหลีก็เป็นได้อยู่สองอย่างนะครับ คือพวกชวนเข้าลัทธิหรือไม่ก็นักต้มตุ๋น”
“หา?”
“คราวหน้าถ้ามีใครเข้ามาพูดกับพี่ ก็ให้แกล้งทำเป็นไม่รู้จักนะครับ”
ผู้หญิงพวกนั้นดูเกลี้ยงเกลาเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นพวกชวนเข้าลัทธิ หรือนักต้มตุ๋นนะ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้มองฉัน แต่มองนายด้วย…แถมยังรู้จักชื่อนายอีก
เหมือนกับฉากนั้นในความฝัน
อินซอบหยุดยืน เหมือนกับตอนนั้น มีพวกผู้หญิงตามมา คนคนนั้นจับข้อมือของเราและซ่อนอยู่ตรงมุม จากนั้นก็หันกลับมามองเราด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซุกซน
“เป็นอะไรครับ เสียดายกับการที่จะไม่ได้ดูปลาที่น่าเหลือเชื่อพวกนั้นขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
พออินซอบยืนนิ่งๆ อีอูยอนก็ยิ้มเหมือนเด็กหนุ่มขี้เล่นพลางพูด เพราะเข้าใจอาการนั้นในแง่ดี
“ไว้ค่อยมาใหม่คราวหน้าครับ”
อินซอบไม่สามารถตอบอะไรได้เลย
***
“…”
อินซอบทอดสายตามองตุ๊กตาเบลูกาสีขาวที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง
‘ถ้าเสียดายขนาดนั้น วันนี้ก็อดทนด้วยเจ้านี่ไปก่อนนะครับ’
อีอูยอนซื้อตุ๊กตาหนึ่งตัวจากร้านขายของที่ระลึกตรงทางออกของอควาเรียมและกอดไว้
‘แต่อย่าคิดที่จะกอดมันตอนนอนนะครับ ถ้าไม่อยากให้มันออกผจญภัยในทะเลสาบ’
เขาพูดต่อท้ายด้วยคำพูดที่ไม่เข้าใจ
อินซอบลูบตุ๊กตาพลางถอนหายใจก่อนจะวางลงตามเดิม เขาปวดหัวตุบๆ เพราะความคิดที่ยุ่งเหยิง เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำและเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำ แม้จะเพิ่งอาบน้ำไปเมื่อสักครู่นี้ แต่เขาก็อยากแช่ตัวในอ่างอาบน้ำอีก
พอน้ำเต็มประมาณหนึ่ง อินซอบก็ถอดเสื้อและเข้าไปในอ่างอาบน้ำ
“เฮ้อ…”
อินซอบกอดเข่าและถอนหายใจยาว
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้พันกันยุ่งเหยิงกับฉากต่างๆ ในฝัน ถึงขนาดที่เขาแยกไม่ออกเลยว่าตอนนี้เป็นความฝัน หรือความจริง
เดจาวูคือปรากฏการณ์ที่สมองสับสนในกระบวนการค้นหาความทรงจำและรู้สึกคุ้นเคยกับคน หรือสถานที่ที่เห็นเป็นครั้งแรก ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ
เขานึกถึงอีอูยอนที่แกล้งใช้ตุ๊กตาเบลูกาจิ้มแก้มตนในระหว่างทางที่กลับจากคังวอนโดมาที่โซล แววตาขี้เล่นที่เหมือนจะเคยเห็นในความฝัน…
“บ้าไปแล้ว”
อินซอบรีบใช้น้ำเช็ดหน้าราวกับพยายามจะล้างความคิดที่โผล่มาในหัวออก เขาต้องคิดมากจนสมองทำงานหนักเกินไปแน่ๆ อีกอย่างเขาคิดกับน้องชายแท้ๆ…
“อยู่ไหนครับ”
เขาได้ยินเสียงของอีอูยอนจากด้านนอก อินซอบตกใจเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำเรื่องไม่ดี และตอบกลับไปว่า ‘อยู่นี่!’
“ทำอะไรอยู่ครับ ผมเรียกหลายครั้งแล้ว”
เสียงนั้นใกล้เข้ามา
อินซอบตอบว่า ‘จะออกไปแล้ว’ และรีบลุกจากอ่างอาบน้ำ ในขณะที่เอื้อมมือออกไปเพื่อสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ เขาก็ลื่นน้ำที่หยดลงบนพื้นและล้มลงไปทั้งๆ อย่างนั้น เสียงโครมครามทำให้ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก และอีอูยอนที่ตื่นตกใจก็วิ่งเข้ามา
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ อยู่ๆ ก็ล้มเหรอครับ”
“ปะ เปล่า…”
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ เดี๋ยวผม…”
อินซอบรีบคว้าแขนของอีอูยอนไว้ และบอกว่าไม่ใช่แบบนั้นก่อนจะพูดต่อด้วยใบหน้าที่แดงซ่าน
“…ฉันลื่นล้มน่ะ”
อีอูยอนถอนหายใจและเสยผมที่ยุ่งเหยิงขึ้นไป อินซอบกลั้นหายใจเล็กน้อยให้กับภาพนั้น
“หัวไม่ได้กระแทกใช่ไหมครับ”
“อือ”
อินซอบพยักหน้า แต่ถึงอย่างนั้นอีอูยอนก็ยังใช้มือลูบด้านหลังศีรษะของอินซอบอย่างระมัดระวังราวกับไม่เชื่อ
“แค่ล้มเฉยๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
“แล้ว…”
เสียงที่ถูกกดให้ต่ำลงหยุดอย่างกะทันหัน อินซอบเงยหน้าขึ้น อีอูยอนกำลังมองตนอยู่ หรือจะพูดให้ชัดคือกำลังมองร่างกายเปลือยเปล่าที่อยู่ภายในเสื้อคลุมอาบน้ำที่เปิดอ้าอยู่ สายตาของอีกฝ่ายทำให้เขาหายใจไม่ออก มันต่างจากการดูโมโหหรืออารมณ์ไม่ดี แววตานั้นแฝงไปด้วยการคุกคามเล็กน้อย ความดึงดัน…และความต้องการที่หยาบคาย…