อินซอบรีบรวบสาบเสื้อคลุมอาบน้ำเข้าหากัน เขารู้สึกหายใจลำบากราวกับติดอยู่ในลำคอ
อีอูยอนยื่นมือออกมา เขาจับขาของอินซอบอย่างไม่ลังเลราวกับเป็นนักเลงข้างถนนที่ไม่ได้เรียนมารยาท
“…”
ข้อเท้าที่ถูกจับอยู่ในกำมือใหญ่ร้อนราวกับถูกไฟจี้ แม้อินซอบจะลองเกร็งขาเพื่อทำให้มือของอีกฝ่ายร่วงลงไป แต่ก็เปล่าประโยชน์ มันเป็นความแตกต่างของแรงที่มาจากร่างกายที่เหนือกว่า ยิ่งเขาดิ้นมากเท่าไร สาบเสื้อคลุมอาบน้ำก็ยิ่งอ้าออกและเป็นอุปสรรคมากเท่านั้น
“…มะ มือ…อูยอน…”
เขาคิดจะขอร้องให้ปล่อยขา แต่เสียงกลับสั่นจนไม่สามารถพูดออกมาได้ครบ
“เรียกอีก”
เสียงที่ถูกกดให้ต่ำเอ่ยเร่ง
“หา?”
“เรียกชื่อ…ของผม”
อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นพี่ชายที่แก่กว่าสองปี แต่บ่อยครั้งที่น้องชายเรียกชื่อ หรือพูดอย่างเป็นกันเองด้วยแบบนั้นอย่างหน้าตาเฉย แต่เขากลับไม่รู้สึกว่าแปลก หรือกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเมื่อก่อนก็เป็นอย่างนั้น
“อูยอน…ฉัน…”
เท้าถูกดึงกลับไปตามเดิม หว่างขาของเท้าแตะเข้ากับต้นขาของอีอูยอนในสภาพที่อ้าขาออก อินซอบที่ตื่นตกใจลืมแม้กระทั่งการหายใจและเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ไหล่กว้างของอีอูยอนเต็มครรลองสายตา เขารู้สึกเหมือนอยู่ต่อหน้าสัตว์ที่หิวโซ เขาสมองขาวโพลน หายใจไม่ออก และหัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะ สุดท้ายอินซอบที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องไห้ออกมา
“ฮือ…ฮึก”
น้ำตาหยดแหมะๆ
“…แม่ง”
อีอูยอนสบถเบาๆ และปล่อยข้อเท้าของอินซอบที่จับอยู่
“อย่าร้องไห้ครับ”
เขากลับมาทำเสียงอ่อนโยน เป็นเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนที่ตัวเองรู้จัก…และเป็นเสียงของน้องชายที่อ่านหนังสือให้ฟังทุกคืน
อินซอบกลั้นน้ำตาและพยักหน้า ในระหว่างนั้นน้ำตาที่เกาะอยู่ที่ดวงตาก็ไหลลงมาอาบแก้ม อีอูยอนยื่นมาออกมาเพื่อที่จะเช็ดน้ำตาให้
“…”
อินซอบสะดุ้งและเบี่ยงตัวไปด้านหลัง มือของอีอูยอนที่หลงทางที่จะไปถูกเก็บกลับไปตามเดิม
“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมครับ มีส่วนอื่นที่ไม่ใช่หัวโดนกระแทกตอนล้มไหม”
อีอูยอนเอ่ยถาม
“…ไม่มี”
“ผมกลัวว่าจะล้มอีกเลยตั้งใจจะช่วยจับน่ะครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้ตกใจ”
โกหก ถ้าตั้งใจจะทำแบบนั้นก็ต้องจับมือและพยุงขึ้นมาสิ
“ลุกไหวไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าน้อยๆ และจับขอบอ่างอาบน้ำไว้ก่อนจะลุกขึ้น แม้ก้นที่โดนกระแทกในขณะที่ล้มจะเจ็บแปลบ แต่เขากลับจงใจที่จะไม่แสดงออก
“ไม่มีส่วนที่ช้ำ หรือบาดเจ็บเหรอครับ ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ”
“ไม่มี ไม่มีส่วนไหนที่บาดเจ็บเลย เพราะฉะนั้น…”
เขาอยากขอให้อีกฝ่ายออกไป อีอูยอนลุกขึ้นจากพื้นห้องน้ำอย่างช้าๆ
“ผมเตรียมอาหารไว้แล้ว ค่อยๆ ออกมานะครับ”
“…อื้อ”
“พี่”
ตอนที่อีอูยอนเรียกตนเองแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าเลือดอุ่นๆ ได้ไหลทะลักขึ้นมาที่หัวใจ เพราะรู้สึกเหมือนสิ่งที่ยังเป็นเด็กและอ่อนแอได้ขอร้องและอ้อนวอนตนไม่ให้ทิ้งไป
“…แต่อย่าออกมาช้ามากนะครับ เพราะอาหารจะเย็น”
อินซอบพยักหน้าอย่างยากลำบาก
***
อินซอบลุกขึ้น ดูเหมือนอาหารเย็นจะไม่ย่อยเลย ตลอดการกินข้าวทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันเลย มีเพียงเสียงกินข้าวและเสียงถ้วยชามถูกกระทบดังเป็นระยะๆ เท่านั้น
‘คุยกันหน่อยได้ไหมครับ’
พออินซอบกินอาหารเสร็จและกำลังดื่มน้ำ อีอูยอนก็เอ่ยปากพูดก่อน
‘วันนี้ฉันเหนื่อย…’
‘…’
อีอูยอนครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ตอบว่า ‘ได้ครับ’ และพยักหน้า
‘วันนี้ไม่ต้องอ่านหนังสือให้ฟังก็ได้ ฉันจะนอนเลย’
‘…เข้าใจแล้วครับ’
แล้วอินซอบก็เดินเข้าห้องไป
แม้จะรู้ว่าจำเป็นต้องคุยกัน แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ เขากลัว และมีความรู้สึกที่ไม่ควรจะขุดขึ้นมาอยู่เต็มไปหมด
“เฮ้อ…”
แม้ตั้งใจจะนอนอีกครั้ง แต่เขาก็รู้สึกอึดอัดใจจนทนไม่ไหว และคิดว่าต้องออกไปดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้ว
อินซอบออกจากเตียงและเปิดประตูห้อง เขารู้สึกว่าอากาศของห้องนั่งเล่นที่สูงมากหนาวเป็นพิเศษ อินซอบกระชับชุดนอนและก้าวเดินอย่างระมัดระวัง
“จะไปไหนครับ”
อินซอบตกใจกับน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินในความมืด และเกือบจะทรุดลงที่พื้น
“จะหนีเหรอ”
เป็นอีอูยอนนั่นเอง อีกฝ่ายที่นั่งเหม่ออยู่ตรงโซฟาโดยที่ไม่เปิดไฟเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ปะ เปล่า จะมาดื่มน้ำน่ะ”
พออินซอบเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก อีอูยอนก็ลุกขึ้นและเดินไปที่เครื่องกรองน้ำ เขาเติมน้ำใส่แก้วและยื่นให้
อินซอบเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงเล็กๆ ว่า ‘ขอบใจ’ และรับแก้วมา ปลายนิ้วของพวกเขาสัมผัสกัน อีอูยอนยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ และจ้องจนกระทั่งอินซอบดื่มน้ำเสร็จ
…ดื่มแค่น้ำแท้ๆ แต่เหมือนจะท้องอืดอีกแล้วเลย
อินซอบดื่มน้ำให้หมดอย่างยากลำบาก
“ดื่มอีกไหมครับ”
“ไม่แล้ว”
อีอูยอนรับแก้วไปและเอาไปวางที่อ่างล้างจาน
“ทำไมถึงยังไม่นอน”
เสียงที่เอ่ยถามแบบนั้นเหมือนกำลังเค้นถาม อินซอบรู้สึกอับอาย เพราะเขาปฏิเสธหนังสือที่อีอูยอนอ่านให้ฟังทุกคืนและเข้านอนไว
“ตื่นขึ้นมาน่ะ”
“ไม่ได้ไม่สบายตรงไหนใช่ไหม”
เสียงที่ถามแบบนั้นจริงจังจนเกินไป อินซอบรู้สึกเหมือนใจตกไปที่ตาตุ่ม
“…ฉันสบายดี”
แม้จะรู้สึกอึดอัดจนถึงบริเวณลิ้นปี่ แต่อินซอบก็กุเรื่องขึ้นอย่างลวกๆ ตอนนั้นเองขวดเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะก็เข้ามาในครรลองสายตาของอินซอบ นี่เป็นครั้งแรกที่อีอูยอนแตะเหล้าหลังจากมาที่นี่
‘ดื่มเหล้าไม่ได้เหรอ’
ก่อนหน้านี้อินซอบเจอไวน์ที่อัดแน่นอยู่ในตู้เย็นที่ใช้เก็บไวน์และถามไปแบบนั้น
‘ผมดื่มเก่งครับ ทำไมเหรอครับ’
‘…ก็คิดว่าแล้วทำไมถึงไม่ดื่มน่ะ’
‘ก็เผื่อไว้ไงครับ’
‘เรื่องอะไรเหรอ’
‘เพราะอาจจะต้องไปโรงพยาบาลเมื่อไรก็ได้’
อินซอบที่เข้าใจความหมายของคำนั้นช้าไปสักหน่อยโบกมือปฏิเสธ เขาบอกว่าถ้าเป็นเพราะตนล่ะก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากดื่มก็ดื่มได้เลย อินซอบหัวเราะโดยไม่พูดอะไรเป็นพิเศษ และเขาก็ไม่เคยแตะเหล้าเลย
“ดื่มเยอะไหม”
เหล้าสองขวดแทบจะว่างเปล่า
“นิดหน่อย ไม่สิ ดื่มเยอะไหมนะ”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าอีอูยอนเมาเหล้า เขาไม่ได้พูดไม่ชัด แต่ลักษณะการพูดนั้นต่างจากปกติเล็กน้อย
“มีเรื่องที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ให้กับคำถามของอินซอบ
“อื้อ”
คำตอบที่ตรงไปตรงมาถูกส่งกลับมา
“เพราะวันนี้ผมแม่งโคตรอารมณ์เสียเลย”
อีอูยอนพ่นคำหยาบออกมาอย่างคล่องแคล่วด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนและสงบสุขต่างจากปกติ
“ผมกำลังคิดอยู่น่ะครับ ว่าจะเปิดประตูเข้าไปดีหรือเปล่า ผมนอนไม่หลับ…ไม่สบายใจ และกลัวว่าถ้าลืมตาขึ้นมาคุณจะไม่อยู่…ก็เลยเช็กอยู่เรื่อย”
อีอูยอนที่พูดคำพูดที่ไม่มีเหตุผลยื่นหน้าเข้ามาจ้องอินซอบ
“…ดังนั้นผมก็เลยดื่มเพราะนอนไม่หลับ”
เขาซบหน้ากับไหล่ของอินซอบและพึมพำราวกับออดอ้อนว่า ‘ทำอย่างนั้นไม่ได้เหรอ’
อินซอบรู้สึกผิด เขารู้สึกถึงความละอายใจที่รักษาระยะห่างกับน้องชายอย่างไม่จำเป็นเพราะเรื่องในห้องน้ำ อีอูยอนอาจจะช่วยจับเพราะกลัวเขาลื่นจริงๆ อย่างที่พูดก็ได้
“…ดื่มได้”
อินซอบค่อยๆลูบผมของอีอูยอนพลางพูด เขาได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ
“เพราะคุณตามใจผมแบบนั้นทุกครั้ง คนเหี้ยอย่างผมเลยนิสัยเสีย”
อีอูยอนสูดหายใจเฮือกใหญ่ราวกับดมกลิ่นต้นคอของอินซอบ
“…ผมนอนไม่หลับ”
“ฉันอุ่นนมให้ไหม”
“พูดเรื่องไร้สาระอะไรเนี่ย ฮ่าๆๆๆ”
อีอูยอนหัวเราะเสียงดัง อินซอบเงยหน้ามองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยิ้มกว้างราวกับเป็นเด็กหนุ่มอย่างไม่รู้ตัว พวกเขาสบตากัน อินซอบรีบหันหน้าหนี
“รีบนอนเถอะ”
“…ผมอ่านหนังสือให้ฟังไม่ได้เหรอครับ”
“อะไรนะ”
“ผมจะอ่านหนังสือให้ฟัง”
ทีแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะขอให้อ่านหนังสือให้ฟัง แต่เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น อินซอบกะพริบตาที่กลมโตและส่ายหน้า
“นายเมาอยู่นะ จะมาอ่านหนังสืออะไรล่ะ นอนเถอะ”
“ผมไม่เมา”
…เมาชัดๆ เลย
อินซอบดันหลังอีอูยอน
“ไปนอน”
“แม่งเอ๊ย ผมบอกว่านอนไม่หลับไง”
อีอูยอนพ่นลมหายใจออกมาและใช้ฝ่ามือลูบใบหน้า
“…เพราะอย่างนั้นให้ผมอ่านหนังสือให้ฟังเถอะครับ ผมอยากทำอะไรสักอย่าง”
อินซอบลังเลก่อนจะตอบว่า ‘งั้นฉันจะอ่านให้’
“อะไรนะ”
“ฉันจะอ่านหนังสือให้ จนกว่านายจะหลับ”
อีอูยอนหัวเราะอีกครั้ง
“ลืมคำพูดที่หมอบอกไปแล้วเหรอครับ หนังสือ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ และโทรทัศน์ถูกสั่งห้ามนี่ครับ”
“งั้นฉันจะเล่านิทานให้ฟัง”
อินซอบลากแขนของอีอูยอนไป ถ้าไม่ทำแบบนั้น อีกฝ่ายคงจะยืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น และรบเร้าที่จะอ่านหนังสือให้ฟังต่อไปเรื่อยๆ
เขาลากอีอูยอนมาที่มาที่ห้องของอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าไปในห้องของอีกฝ่าย เขาเจอเตียงที่ไม่ยับเลยสักนิด เหมือนกับว่าหลังจากมาที่นี่ก็ไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง
อีอูยอนอ่านหนังสือให้ฟังทุกคืน และออกมาตอนที่ตนหลับ เขาไปออกกำลังกายตอนเช้า และอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาเสมอ…ที่ผ่านมาเราเคยเห็นเขานอนบ้างไหม
“หรือว่า…”
อินซอบหันหน้าไปเพื่อถามความสงสัยที่ผ่านมาในหัวแล้วก็กลั้นหายใจดังเฮือก อีอูยอนกำลังถอดเสื้อ
“จะ จะทำอะไรน่ะ”
“ก็คุณสั่งให้นอนนี่”
อีอูยอนโยนเสื้อยืดทิ้งและเอ่ยตอบอย่างหน้าตาเฉย ไหล่ที่กว้างและแข็งแกร่งของเขาปรากฏสู่สายตา ไหล่นั้นกว้างจนต่อให้บอกว่าเป็นนักกีฬาก็เชื่อ
“แล้วถอดเสื้อทำมะ…”
“งั้นจะใส่เสื้อนอนเหรอครับ”
อีอูยอนที่พูดแบบนั้นถอดกางเกงออกด้วย อินซอบรู้สึกว่าขืนปล่อยเอาไว้อย่างนั้นอีกฝ่ายต้องถอดกางเกงชั้นในออกด้วยแน่ๆ จึงรีบจับอีอูยอนให้นอนบนเตียง อินซอบกำลังจะไปเอาเก้าอี้ แต่อีอูยอนกลับจับแขนของอินซอบไว้
“จะไปไหน”
เขาทำสายตาเหมือนเด็กที่รั้งแม่ที่กำลังจะทิ้งตัวเองไปเอาไว้
“ไปเอาเก้าอี้…”
“นั่งตรงนี้ก็ได้นี่ครับ”
อีอูยอนจับให้อินซอบนั่งลงข้างๆ ตน ในระหว่างที่อินซอบกำลังมึนงง อีอูยอนก็เอาแขนก่ายหน้าผากและถอนหายใจออกมา สีหน้าของเขาดูซีดเผือดกว่าปกติ อินซอบจึงไม่กล้าดันทุรังที่จะไปเอาเก้าอี้
“…ให้เล่าอะไรให้ฟังดี”
“อะไรก็ได้นอกเหนือจากเทพนิยายที่มีเจ้าหญิงกับเจ้าชาย หรือนิทานสอนใจ แล้วก็ไม่เอาที่มีพวกสัตว์ด้วยครับ”
อินซอบที่นึกถึงเทพนิยายที่แม่เคยอ่านให้ฟังตอนเด็กตอบว่า ‘เข้าใจแล้ว’ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล แล้วจะให้เล่าเรื่องอะไรล่ะ
อินซอบครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วก็เอ่ยปากว่า ‘กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว’
“อื้อ”
อีอูยอนยิ้มตาหยีราวกับตอบรับ
“ไม่ต้องตอบก็ได้ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเด็กชายคนหนึ่ง”
อินซอบนึกถึงนิยายที่ตัวเองแอบเขียนคนเดียวและเริ่มเล่าอย่างตะกุกตะกัก อีอูยอนหลับตาลงและหฟังเรื่องเล่าของอินซอบเงียบๆ
“พอเขาตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น นกที่เห็นในฝัน…ฟังอยู่หรือเปล่า”
“…อื้อ”
เขาได้ยินเสียงที่ยานคางกว่าเมื่อกี้ อินซอบเริ่มเล่าอีกครั้ง ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอจากด้านข้าง
“หลับเหรอ”
อินซอบถามด้วยเสียงที่เบามากๆ ไม่มีคำตอบกลับมา อินซอบยกมือขึ้นโบกเหนือใบหน้าของอีอูยอนอยู่สองสามครั้ง ดูเหมือนจะหลับจริงๆ เพราะอีอูยอนไม่ขยับเลย
อินซอบค่อยๆ ลดมือลง เขามองใบหน้าของอีอูยอน สันจมูกที่สวยงามราวภาพวาดที่ลากยาวมาจากหน้าผาก ขนตาที่แนบสนิทอย่างนุ่มนวล และริมฝีปากที่ได้รูป…นี่เป็นใบหน้าที่ไม่เหมือนกับตนเลยสักนิด
“…อูยอน”
อินซอบเรียกชื่อน้องชายของตัวเองเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน พอเขาทำแบบนั้น อีอูยอนก็ลืมตาขึ้นมาราวกับโกหก พอสบตากัน อีกฝ่ายก็ยิ้มให้ราวกับตอบรับ เป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาราวกับเด็กหนุ่มที่ไม่ได้ระวังตัวอะไรเลย อีอูยอนยื่นแขนออกมากอดอินซอบ
“…!”
อินซอบที่ตกใจดิ้นเพื่อที่จะหนี แต่ไม่สามารถขยับได้ อีอูยอนใช้ร่างตัวเองกดอินซอบที่เปลี่ยนท่าทางราวกับลูกสัตว์ที่รู้สึกหนาวเหน็บไว้
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน…”
ลมหายใจที่สม่ำเสมอดำเนินต่อไป ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าอีอูยอนละเมอกอดตัวเอง และเขาก็หลับสนิทด้วย อินซอบเก็บมือที่ตั้งใจจะดันอีกฝ่ายออก
‘…ผมนอนไม่หลับ’
อินซอบนึกถึงเสียงของอีอูยอนที่พึมพำเหมือนพูดคนเดียว น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำจนรู้สึกว่าอันตราย
อยู่อีกสักพักค่อยออกไปแล้วกัน ออกไปตอนนี้อาจจะทำให้เขาตื่นก็ได้…เพราะดูเหมือนจะเหนื่อยมากเลย
อินซอบทอดสายตามองอีอูยอนที่นอนหลับอย่างเหน็ดเหนื่อยพลางคิด
เมื่อกี้เราคงคิดไปเอง แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะความทรงจำของเราสับสน…แต่พรุ่งนี้เราคงต้องตื่นไปขอโทษที่เข้าใจผิดไปเองและอ่อนไหวจนเกินเหตุ
อินซอบหลับตาลงและขอโทษอีอูยอนในใจ
แล้วเขาก็นอนหลับฝันดี