สืออีเหนียงเห็นสีหน้าของกานไท่ฮูหยินไม่มีความทุกข์โศกก็วางใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงฝูเจินต้องการพบข้ามีธุระอะไรหรือเจ้าคะ”
กานไท่ฮูหยินยิ้มให้นางแล้วหันไปเปิดหีบ
“ก่อนหน้านี้ข้าฝากพี่ชายข้าซื้อมาให้ ต่อมาก็ไม่ได้ใช้” นางนั่งลงตรงหน้าสืออีเหนียง นำกล่องกระดาษมาวางบนโต๊ะที่อยู่บนเตียงเตา “ข้ามอบให้เจ้าก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงเปิดกล่องกระดาษด้วยความไม่เข้าใจ
มีถั่งเช่าวางอยู่ในกล่องอย่างเป็นระเบียบเต็มกล่อง
สีเหลืองทอง อวบอ้วน ดูก็รู้ว่าเป็นของดี
กานไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “มันถูกเก็บไว้อย่างดี หากเก็บไว้ที่ข้าคงจะน่าเสียดาย”
นี่เป็นความปรารถนาดีของกานไท่ฮูหยิน!
สืออีเหนียงรับไว้อย่างตรงไปตรงมา “ขอบคุณพี่หญิงฝูเจินมาก!”
กานไท่ฮูหยินยิ้มพราย ดวงตามีแต่ความสุข จากนั้นก็เรียกสาวใช้น้อยให้ยกชาเถี่ยกวนอินมาให้นาง “ช่วงนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
สืออีเหนียงเล่าถึงการมาของอาจารย์เจี่ยนและเรื่องที่ทั้งสองกำลังปรึกษาหารือเรื่องเปิดร้านขายของมงคลสมรสให้กานไท่ฮูหยินฟัง
กานไท่ฮูหยินได้ฟังเช่นนั้นก็พูดพึมพำว่า “การเปิดร้านในเยี่ยนจิงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เพียงต้องมีเงินทุนเท่านั้น ยังต้องมีที่พึ่งและเส้นสายอีกด้วย อยากให้ข้าพูดกับพี่ชายให้หรือไม่ เรื่องอื่นไม่กล้าพูดถึง แต่หากให้ไปพูดกับศาลว่าการและกองปัญจทิศรักษานครยังพอทำได้”
สืออีเหนียงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก “ข้าบอกท่านโหวแล้ว ท่านโหวให้พ่อบ้านไป๋ที่อยู่ในจวนช่วยไปพูดให้ ถ้าหากเวลานั้นเจอเรื่องลำบากใจอะไรข้าจะมาขอร้องให้พี่หญิงฝูเจินช่วยอีกครั้ง”
“เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก” กานไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าหากพ่อบ้านไป๋ทำไม่ได้ เกรงว่าพี่ชายข้าก็คงทำไม่ได้เช่นกัน” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “ข้าอายุมากว่าเจ้าไม่กี่ปี เจ้าเองก็เรียกข้าว่าพี่หญิง ข้ามีคำพูดจากใจที่อยากจะบอกเจ้า ร้านของเจ้าอย่าไปข้องเกี่ยวกับสกุลสวีจะดีกว่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้นก็จะแยกตัวออกจากกิจการของสกุลสวีไม่ได้ ข้าได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ของสกุลสวีมาบ้าง เหมือนว่าคุณชายสามกับคุณชายห้าจะได้ส่วนแบ่งไปนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเรือนสองของพวกเจ้าได้ส่วนแบ่งหรือยัง หากยังไม่ได้แบ่ง เมื่อถึงเวลานั้นหากพี่สะใภ้เจ้ารับเด็กมาเลี้ยงไปแล้ว เกรงว่าคงจะมีปัญหาอยู่บ้าง เจ้าอายุยังน้อย จะต้องวางแผนสำหรับอนาคตของตัวเองจึงจะถูก อย่าไปอยากได้ของของสกุลสวี และก็อย่าแบ่งส่วนของตัวเองมอบให้แก่คนอื่น”
นี่เป็นคำพูดที่มาจากใจจริงๆ
สืออีเหนียงพยักหน้า เล่าสถานการณ์ในตอนนั้นให้ฟังว่า “…ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะขอร้องใครดี แต่ก็เป็นข้าที่เอ่ยปากขึ้นเอง ตอนนี้พอไปบอกท่านโหว ข้ากลับรู้สึกสับสน คิดว่าไม่ดีเท่าไร”
กานไท่ฮูหยินเสนอความคิดเห็นให้นาง “พ่อบ้านไป๋ผู้นั้นพูดแล้วไม่ใช่หรือว่าเมื่อได้รับการยืนยันจากเจ้าแล้วเขาจะช่วยไปพูดให้ ข้าว่าทำเช่นนี้ดีกว่า ข้ามีร้านอยู่ที่ถนนตงต้าสองสามร้าน พอดีมีอยู่สองร้านที่คนเจียงหนานเช่าเพื่อทำแป้งผลัดหน้า พวกเขาทำกิจการที่เยี่ยนจิงมาสิบกว่าปีแล้ว พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ เพียงแต่ว่าช่วงนี้เถ้าแก่เริ่มอายุมากแล้ว อยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านเกิด ไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ให้คนนำจดหมายมาส่งให้ข้าบอกว่าหลังจากผ่านต้นฤดูหนาวเขาจะไม่เปิดกิจการอีกแล้ว ถามข้าว่าสามารถหาผู้เช่าใหม่ได้หรือไม่ หากหาได้ก็เป็นเรื่องดี หากหาไม่ได้พวกเขาก็ทำได้เพียงอยู่ต่อแค่ถึงสิ้นปีเท่านั้น ข้ากำลังคิดจะขอให้พี่ชายช่วยหาผู้เช่ารายใหม่ให้ ข้าว่าเจ้าลองให้อาจารย์เจี่ยนไปดูดีหรือไม่ หากรู้สึกว่าที่นั้นไม่ได้เลวร้ายอะไร ข้าอยากจะใช้ค่าเช่าของร้านนั้นมาเป็นหุ้นร่วมลงทุนกับเจ้าเปิดร้านขายของมงคลสมรสด้วยกัน ไม่รู้ว่าเจ้าจะว่าอย่างไร”
หากนำค่าเช่าร้านมาเป็นหุ้นตามที่กานไท่ฮูหยินบอก พวกนางก็ไม่ต้องนำเงินมาจ่ายค่าเช่าร้านล่วงหน้า และเนื่องจากเป็นหุ้นส่วน หากขาดทุนค่าเช่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ หากได้กำไรก็เท่ากับให้ค่าเช่าตามจำนวนกำไร นอกเสียจากว่ากานไท่ฮูหยินจะสามารถทำนายอนาคตได้ มิเช่นนั้นบัญชีนี้ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไรก็เป็นประโยชน์ต่อนางกับอาจารย์เจี่ยน นอกจากนี้ด้วยสถานการณ์ของกานไท่ฮูหยิน หากนางให้ผู้อื่นเช่าร้านก็ได้ค่าเช่าต่ำกว่าที่เอามาร่วมลงทุนเปิดร้านเสียอีก อีกทั้งการทำเช่นนี้ก็ยังสบายใจกว่า
สืออีเหนียงเข้าใจความหมายของนาง
กานไท่ฮูหยินต้องการร่วมหุ้นที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่านางกำลังคิดหาวิธีช่วยตนอยู่
แต่ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไร กานไท่ฮูหยินก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยให้ข้าร่ำรวย เจ้าไม่อาจปฏิเสธได้!”
“กิจการจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ยังพูดได้ไม่ชัดเจน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากลัวว่าจะพาท่านไปลำบากด้วย!”
“หรือเจ้าจะบอกว่าหากข้าไม่มีค่าเช่าของสองร้านนี้แล้วก็จะไม่มีกินอย่างนั้นหรือ” กานไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าแค่จะร่วมหุ้นเท่านั้น แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องในร้าน หากมีเรื่องอันใดต้องการความช่วยเหลือ พี่ชายข้าก็ยังพอช่วยวิ่งเต้นให้ได้ เจ้าไม่ต้องรีบตอบข้า กลับไปปรึกษากับอาจารย์เจี่ยนก่อนเถิด!”
สืออีเหนียงรู้สึกว่ากานไท่ฮูหยินเชื่อถือได้
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ ข้าจะกลับไปปรึกษากับอาจารย์เจี่ยนแล้วจะมาตอบท่านให้เร็วที่สุด จะได้ให้คำตอบผู้อื่นเกี่ยวกับเรื่องร้านได้เร็วขึ้นด้วย”
กานไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้า เขียนตำแหน่งของร้านให้นาง ทั้งสองพูดคุยกันต่อ สืออีเหนียงเห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวลา
ตอนเย็นได้พบกับอาจารย์เจี่ยนจึงบอกคำแนะนำของกานไท่ฮูหยินให้นางฟัง
“สิ่งของที่เหมือนกันมักจะอยู่ด้วยกัน คนที่คิดเหมือนกันก็จะมารวมกลุ่มกัน” อาจารย์เจี่ยนยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อมีสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้า คิดดูแล้วก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถ้าหากกานไท่ฮูหยินสามารถนำค่าเช่าร้านมาเป็นหุ้นได้ย่อมเป็นเรื่องดี เจ้าไม่รู้หรอก วันนี้ข้าไปถามค่าเช่าร้าน หากไม่ถามก็ไม่รู้ พอถามก็ตกใจ ร้านเหล่านั้น หนึ่งห้องต้องจ่ายห้าร้อยตำลึงต่อปี หากระดับต่ำลงมาหน่อยก็ยังต้องจ่ายสองถึงสามร้อยตำลึงต่อปี…” อาจารย์เจี่ยนเล่าสถานการณ์ที่ตัวเองออกไปดูร้านให้สืออีเหนียงฟัง วันรุ่งขึ้นนางก็ไปดูร้านตามที่อยู่ที่สืออีเหนียงให้มา
เพราะว่าเป็นกิจการแป้งผลัดหน้าจึงมีลูกค้าที่เป็นสตรีเยอะมาก อีกอย่างร้านทั้งสองข้างก็ทำกิจการความงามเช่นกัน ร้านหนึ่งทำผมมวยปลอม อีกร้านหนึ่งทำรองเท้าสตรี ร้านของกานไท่ฮูหยินเชื่อมติดกันสองห้อง อยู่ตรงหัวมุมเชื่อมต่อกับถนนตงต้า ร้านเช่นนี้บางครั้งต่อให้มีเงินก็หาไม่ได้ นางพอใจเป็นอย่างมาก กลับไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้าว่าเป็นเพราะสวรรค์โปรดปรานเราใช่หรือไม่ หลังจากมาเยี่ยนจิงก็รู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่นไปหมด”
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เปิดฉากได้ไม่เลวเลยทีเดียวจึงรีบพยักหน้า
วันรุ่งขึ้นทั้งสองคนก็ไปพบกานไท่ฮูหยินเพื่อให้คำตอบอย่างเป็นทางการแก่นาง นับว่าผู้ถือหุ้นทั้งสามได้พบกันอย่างเป็นทางการ ตัดสินใจจะรับร้านต่อหลังจากต้นฤดูหนาว
สืออีเหนียงเล่าเรื่องเปิดร้านขายของมงคลสมรสให้ปินจวี๋ฟัง ถามนางว่ายินดีจะไปช่วยงานที่ร้านหรือไม่ ปินจวี๋กลับไปปรึกษาว่านต้าเสี่ยน แน่นอนว่าว่านต้าเสี่ยนตอบตกลง
นางไปหาไท่ฮูหยินต่อ
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างมาก “…ดูแล้วอาจารย์เจี่ยนเป็นคนที่น่าเชื่อถือ เจ้าก็จะได้มีรายได้จากตรงนี้ด้วย” แล้วยังให้เงินนางสองพันตำลึงเป็นการส่วนตัว “เมื่อหาเงินได้แล้วให้คืนข้าเป็นสองเท่า หากขาดทุน เมื่อถึงเวลานั้นแล้วยังพอมีเวลาว่างก็ทำเสื้อผ้ามาให้ข้าสักสองสามชุด”
เมื่อพูดถึงตรงนี้สืออีเหนียงก็มีเพียงแต่รู้สึกขอบคุณเท่านั้น แอบตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องบริหารร้านขายของมงคลสมรสนี้ให้ดี
ตอนทานอาหารเย็นทุกคนก็ได้รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
สวีลิ่งควนพูดขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้สี่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเชิญคณะงิ้วในเมืองหลวงไปแสดงงิ้วที่นั่นเพื่อแสดงความยินดีกับการเปิดร้านของพวกท่าน!”
เช่นนั้นจะไม่ทำให้ทุกคนรู้กันไปหมดหรือ
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “พวกเราแค่เปิดร้านเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องจัดงานยิ่งใหญ่ขนาดนั้น”
นางและอาจารย์เจี่ยนตัดสินใจทำกิจการระดับกลาง หากจัดงานใหญ่เกินไป เกรงว่าคนทั่วไปจะไม่กล้าเข้าไปดูในร้าน
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “กิจการของสตรีที่เกี่ยวกับความสวยความงามเล็กๆ น้อยๆ เจ้าอย่าไปยุ่งวุ่นวายเลย”
สืออีเหนียงรายงานความคืบหน้าให้สวีลิ่งอี๋ฟังทุกวัน สวีลิ่งอี๋รู้เรื่องของพวกนางเป็นอย่างดี สวีลิ่งควนฟังแล้วก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “โธ่เอ๋ย เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราแค่ไปร่วมแสดงความยินดีด้วยก็พอแล้ว พี่สะใภ้สี่พึ่งจะเปิดกิจการเล็กๆ น้อยๆ ราคาไม่แพงเท่าที่เจ้าไปเชิญคณะงิ้วมาแสดงหรอก”
“ใช่ ใช่ ใช่” สวีลิ่งควนกับสวีลิ่งอี๋ไม่ค่อยเข้าใจการดูแลกิจการทั่วไป แต่ทั้งสองคนก็มีกิจการภายใต้ชื่อของพวกเขา ก็พอจะเข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง “ตอนที่พี่สะใภ้สี่เปิดร้านใหม่ๆ ควรจะขายตามราคาต้นทุนจะดีกว่า รอจนทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วค่อยคิดหาวิธีเปลี่ยนผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ จากนั้นก็เพิ่มกำไรเล็กน้อย รอจนตั้งหลักได้แล้วค่อยเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์อีกครั้งแล้วเริ่มต้นทำเงิน”
“เช่นนั้นก็ขอให้สมพรปากคุณชายห้าเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณเขาด้วยรอยยิ้ม
สวีซื่อจุนได้ฟังก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
สืออีเหนียงถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีอะไรหรือ”
สวีซื่อจุนตอบอย่างลังเลว่า “ท่านแม่เปิดร้านขายของมงคลสมรสแล้ว เช่นนั้นต่อไปก็ต้องไปตรวจบัญชีกับผู้ดูแลบ่อยๆ ใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าก็ต้องช่วยดูแลน้องห้าใช่หรือไม่”
“ทำไมหรือ หรือว่าเจ้าไม่เต็มใจ” สวีลิ่งอี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเรียบ
สีหน้าของสวีลิ่งควนกับฮูหยินห้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ขอรับ” สวีซื่อจุนรีบพูดต่อว่า “หลายวันมานี้อาจารย์ต้องการเขียนเรื่องบันทึกเมืองเยี่ยนจิง จึงให้ข้าช่วยตรวจสอบสาเหตุและแหล่งที่มา ข้าต้องไปบอกอาจารย์ก่อน หากท่านแม่ยุ่ง ก็ดูว่าจะสามารถพาน้องห้าไปดูแลที่เรือนซวงฝูได้หรือไม่”
สวีซื่อจุนอาศัยอยู่กับไท่ฮูหยิน ส่วนสวีซื่อเจี้ยก็อาศัยอยู่กับตัวเอง หากไม่หาโอกาสให้พวกเขา เกรงว่าทั้งสองคนนอกจากยามเช้ากับยามเย็นแล้วก็คงยากที่จะมีโอกาสได้พบกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ สืออีเหนียงมักจะให้สวีซื่อจุนพาสวีซื่อเจี้ยไปเล่นตอนที่นางไปตรวจบัญชีกับบรรดาผู้ดูแลตอนสิ้นเดือน เขาคงคิดว่าท่านแม่มีเรื่องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง ต่อไปจะยุ่งยิ่งกว่าเดิมจึงได้ถามเรื่องนี้
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ อุ้มสวีซื่อจุนมาไว้ในอ้อมแขน “เด็กดีของย่า ท่านแม่ของเจ้าแค่ร่วมลงหุ้นเท่านั้น เรื่องในร้านย่อมมีอาจารย์เจี่ยนเป็นคนดูแล หากจะยุ่งก็ยุ่งเพียงแค่สองถึงสามวันเท่านั้น อีกอย่างข้างกายน้องห้าของเจ้าก็ยังมีบรรดาป้ารับใช้คอยดูแล ไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้าหรอก”
ดวงตาของสวีลิ่งอี๋เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ออกมา
มีเพียงสวีซื่อเจี้ยที่ไม่รู้ว่าทำไมพี่ชายถึงได้เอ่ยชื่อของตัวเอง เบิกตาคู่งามมองด้วยความสงสัย
สืออีเหนียงยิ้มพลางโอบกอดสวีซื่อเจี้ยไว้ในอ้อมแขน
อาจารย์เจี่ยนเริ่มมองหาร้านค้าที่ทำกิจการขายผ้าและด้ายกับเข็ม พลางติดต่อสหายเก่าบางคนในเจียงหนานเพื่อดูว่ามีใครอยากมาทำงานเย็บปักที่นี่หรือไม่ สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยมีหน้าที่หาคนโดยรอบมาช่วยทำงานเย็บปัก ส่วนปินจวี๋มีหน้าที่รวบรวมรูปแบบลายปักก่อนหน้านี้และไปสำรวจที่ร้านขายของมงคลสมรสร้านอื่นเพื่อดูว่าคนอื่นทำงานอะไร ขายราคาเท่าไร ส่วนงานที่ต้องคอยเย็บปักเป็นเพื่อนเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ตกเป็นหน้าที่ของชิวจวี๋ แต่ชิวจวี๋อยากไปช่วยงานที่ร้าน จนวันหนึ่งเจินเจี่ยเอ๋อร์พูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ให้ข้าช่วยพวกท่านเย็บปักของในร้านดีหรือไม่”
“ไม่ได้หรอก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เจ้าไม่ใช่ช่างเย็บปัก หากมีของที่เจ้าเย็บปักไปอยู่ในตลาดคงจะไม่ดีแน่!”
ยุ่งอยู่เช่นนี้ไปจนถึงต้นเดือนสิบ ปัญหาการขาดคนที่น่าปวดหัวที่สุดของช่างเย็บผ้าก็ได้รับการแก้ไขแล้ว
เพราะไม่อยากเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งของร้านฉ่ายซิ่วกับหอเซียนหลิง มีช่างเย็บปักสี่ห้าคนที่เคยได้รับบุญคุณจากอาจารย์เจี่ยน และคนที่ไม่มีภาระครอบครัวได้ตัดสินใจมาเยี่ยนจิงเพื่อพึ่งพาอาจารย์เจี่ยน แม้ว่าช่างเย็บปักกลุ่มนี้จะไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับการรับมือกับงานเย็บปักในร้านขายของมงคลสมรส
เรื่องเปิดร้านเริ่มมีเค้าโครงขึ้นมา
สืออีเหนียงกำลังอารมณ์ดี แต่จู่ๆ จินเหลียนกับอิ๋นผิงที่อยู่ข้างกายสือเหนียงก็มาหานาง