อาทิโจวเสวียนสามารถแอบซ่อนองครักษ์ลับไว้ด้านนอกค่ายทหาร
เวลานี้ยังสามารถเห็นได้ว่าองครักษ์ลับเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องแม่ทัพหน้ากากเหล็ก อีกทั้งยังเพื่อสังหารแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
หวังเจียนเงียบไปชั่วครู่ “ท่านอยากรู้ว่าผู้ใดต้องการฆ่าท่าน”
องค์ชายหกพยักหน้า “ข้าคิดอยู่เสมอว่าจะตายหรือไม่ เวลานี้ข้าคิดดีแล้ว”
หากตายย่อมสามารถเห็นว่าผู้ใดได้ประโยชน์ ผู้ใดได้ประโยชน์ย่อมเป็นผู้ร้าย
หวังเจียนรู้นิสัยของชายหนุ่มตรงหน้า ในเมื่อเป็นเรื่องที่เขาคิดดีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรล้วนต้องทำให้สำเร็จ เหมือนตอนเด็กที่เขาปีนหน้าต่าง กระโดดน้ำ ปีนต้นไม้เพื่ออกไปด้านนอก อ้อมจากเรือนด้านหน้าไปยังเรือนด้านหลัง ไม่สนใจว่าจะล้มลุกคลุกคลานกี่ครั้ง เป้าหมายของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ความตายของแม่ทัพหน้ากากเหล็กมีการเตรียมการไว้ก่อนแล้ว หวังเจียนมักคิดถึงวันนี้ในยามว่าง แต่ไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเพียงนี้ ยิ่งไม่คิดว่าอยู่ภายใต้สถานการณ์นี้
“จะทูลต่อฝ่าบาทอย่างไร” เขาถามเสียงเบา
ฮ่องเต้ไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย อีกทั้งยังกำลังโกรธ รอคอยองค์ชายหกยอมรับผิด สุดท้ายองค์ชายหกไม่เพียงไม่ยอมรับผิด อีกทั้งยังป่วยตาย
“ทูลอย่างไร ทูลว่ามีคนต้องการสังหารข้าหรือ?” องค์ชายหกพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน เสด็จพ่อย่อมต้องโกรธมาก ทวงความยุติธรรมให้ข้า สืบหาผู้อยู่เบื้องหลัง แต่…”
เขาส่ายหัว
“ยุ่งยากเกินไป จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น สืบไม่ได้ความใดทั้งสิ้น อีกทั้งแม้จะสืบได้ จะทำอย่างไรได้”
เขายื่นมือประคองหน้ากาก ถึงแม้ทาบอยู่บนหน้าตลอดเวลา แต่หน้ากากใบนี้ก็ให้สัมผัสเย็นยะเยือก
“ฮ่องเต้จะประหารโอรส หรือโจวเสวียนที่เปรียบเสมือนโอรสของตนเอง เพื่อแม่ทัพหน้ากากเหล็กคนเดียวหรือ”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ท่านแม่ทัพเป็นเพียงแค่ขุนนาง ขุนนางชราที่ไร้บุตรหลาน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่แม่ทัพหน้ากากเหล็กตัวจริง
“ไม่ต้องพูดว่าข้าก็เป็นโอรส ฝ่าบาทกับข้ารู้ คนอื่นไม่รู้ พวกเขาไม่ได้มาเพื่อสังหารพี่น้อง อีกทั้งพวกเขาไม่ได้ต้องการฆ่าล้างกันเอง”
หวังเจียนเงียบ นึกถึงเรื่องที่องค์ชายสามประสบพบเจอ แม้จะเป็นการทำร้ายพี่น้อง ภายในใจของฮ่องเต้ องค์ชายหกก็มิอาจเทียบองค์ชายสามได้
“ดังนั้น เด็ดขาดหน่อย ข้าตายไป จากนั้นค่อยไปรับผิดกับเสด็จพ่อ” องค์ชายหกพูด “อย่างไรเวลานี้แผ่นดินสงบสุข ท่านแม่ทัพก็ถึงเวลาเกษียณแล้ว”
หวังเจียนมองไปด้านนอกกระโจม “คนเหล่านี้หาโอกาสเก่งเสียจริง อาศัยเฉินตันจูปะปนเข้ามา” ก่อนจะมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กแล้วหัวเราะขึ้นมา “เช่นนี้ถือว่าท่านตายเพราะเฉินตันจูหรือไม่”
องค์ชายหกพูด “นางไม่รู้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง ท่านอย่าพูดเช่นนี้ อีกทั้งถึงแม้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะข้าไปช่วยนาง แต่มันเป็นการเลือกของข้า นางไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย หากพูดตามจริง คงจะเป็นข้าที่ทำให้นางเดือดร้อน” พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ “น่าสงสาร นางร้องไห้ทั้งทางกลับมาเลยหรือ”
หวังเจียนถลึงตา “ข้าพูดเพียงประโยคเดียว ท่านไม่ต้องพูดมากเพียงนี้กระมัง!”
องค์ชายหกพูด “มันไม่ใช่เรื่องประโยคเดียวหรือสองประโยค ท่านบอกว่าข้าตายเพราะนาง มันเป็นคำพูดที่สามารถฆ่านาง ปลิดชีพของนางได้”
หวังเจียนโน้มตัวคำนับ “องค์ชาย ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดตามใจ คำพูดฆ่าคนได้ ข้าควรระวัง”
องค์ชายหกพยักหน้า “ข้าให้อภัยท่านแล้ว”
หวังเจียนโกรธจนหัวเราะขึ้นมา เขามองไปยังองค์ชายหก “ดีๆ บุตรสาวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอยู่ด้านนอกเพราะบิดา บิดาปกป้องบุตรสาวก็เป็นเรื่องธรรมดา มีบุตรสาวเช่นนี้อยู่ ท่านแม่ทัพจากไปได้อย่างไม่โดดเดี่ยวแล้ว”
องค์ชายหกหัวเราะ นอนอยู่บนเตียง “ใช่ เมื่อถึงเวลาคงจะมีนางคนเดียวที่ร้องไห้เสียใจด้วยความจริงจังให้ข้า”
หวังเจียนไม่ได้หยอกล้ออีก นึกถึงชีวิตของแม่ทัพหน้ากากเหล็กต้องจบลงเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้า
“ท่านแม่ทัพกังวลมากไปแล้ว” เขาพูดอย่างจริงจัง “ทหารนับหมื่นพันล้วนจะหลั่งน้ำตาให้ท่านแม่ทัพ”
องค์ชายหกลุกขึ้นนั่งบนเตียง ยกมือมัดผมสีขาวให้เรียบร้อย
“ใช่ ข้าไม่โดดเดี่ยว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ด้านล่างย่อมมีทหารนับหมื่นพันรอคอยข้าอยู่ รอคอยข้าต่อสู้เคียงข้างพวกเขาต่อไป”
หวังเจียนคำนับ หันไปเรียก “เฟิงหลิน…”
…
ชาร้อนกลายเป็นเย็นไปแล้ว ขันทีสองคนกำลังจะไปหาทหารเพื่อเอามาใหม่
เดิมทีองค์ชายสามต้องการห้ามพวกเขาบอกว่าไม่ต้อง แต่เฉินตันจูที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของอาเถียนลืมตาขึ้นบอกว่านางอยากดื่มชาร้อน
องค์ชายสามรีบให้ขันทีสองคนไปนำมา เดิมทีอาเถียนจะรินชาด้วยตนเอง แต่นางถูกเฉินตันจูพิงอยู่ ทำได้เพียงให้ขันทีคนหนึ่งรินชาอยู่ข้างกาย
หลังจากขันทีรินชาเสร็จ เฉินตันจูจึงลุกขึ้นอย่างข้าๆ มือที่กำลังจะยกขึ้นก็อ่อนแรง ขันทีจึงรีบโน้มตัวเข้าใกล้ส่งให้นาง
เฉินตันจูพูดอย่างอ่อนแรงกับขันทีผู้นี้ “กงกงท่านถือไว้ ข้าดื่มคำหนึ่งก็พอ”
ขันทีรีบโน้มเข้ามาอีกครั้ง คุกเข่าลงข้างกายนาง ถือถ้วยชาป้อนนางอย่างเบามือ
เฉินตันจูดื่มคำสองคำก็หยุดดื่ม มองขันทีผู้นั้นด้วยความซาบซึ้งใจ ถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้าชื่ออันใด ต่อจากนี้หากข้าไปเข้าเฝ้าองค์ชายสามในพระราชวัง ข้าจะนำของขวัญติดมือไปให้ด้วย เสี่ยวชวีชอบของขวัญของข้ามาก”
ขันทีผู้นั้นหน้าแดง มองไปยังองค์ชายสามที่อยู่ด้านข้าง
องค์ชายสามยิ้ม “เขาชื่อเสี่ยวป่าย คราหน้าข้าไปหาเจ้าจะให้เขาติดตามไปด้วย เจ้าให้ของขวัญหรือเงินรางวัลแก่เขามากหน่อย”
เฉินตันจูพยักหน้าต่อเขา ขันทีที่นามว่าเสี่ยวป่ายวางถ้วยชาลงพร้อมถอยออกไป
“เป็นอย่างไรบ้าง” องค์ชายสามถามอีกครั้ง มองท่าทางอ่อนเพลีนของนาง “ภายในค่ายทหารเวลานี้มีไต้ฟูจำนวนมาก ให้พวกเขาช่วยดูให้เจ้าดีหรือไม่”
เฉินตันจูยังไม่ทันได้พูด โจวเสวียนที่ยืนอยู่บริเวณประตูกระโจมเปิดม่านมองไปข้างนอกพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “เหตุใดทางกระโจมแม่ทัพใหญ่จึงมีคนเดินเข้าออกมากมาย”
เฉินตันจูที่เอนกายพิงอยู่ในอ้อมแขนของอาเถียนด้วยความอ่อนเพลียลุกขึ้นนั่งในทันที นางลุกขึ้นเดินมาบริเวณหน้าประตูกระโจมอย่างทุลักทุเล
อาเถียน องค์ชายสามยื่นมือพยุงนางไม่ทัน โชคดีที่โจวเสวียนเดินเข้ามาจับนางไว้อย่างรวดเร็ว
“เกิดอันใดขึ้น” เฉินตันจูจับแขนของโจวเสวียนเดินออกไปด้านนอก “เกิดเรื่องใดขึ้น”
พูดพลางมองเห็นทางนั้น กระโจมแม่ทัพใหญ่ถูกขบวนทหารล้อมรอบเอาไว้ ทางนั้นมีคนเดินเข้าออกตามที่อีกฝ่ายพูด ตอนที่นางเดินออกไปด้านนอก เฟิงหลินก็เดินเข้ามา
เฉินตันจูรีบถามอย่างเร่งรีบ “ท่านแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้าง”
เฟิงหลินพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพเพิ่งฟื้น หวังไต้ฟูบอกว่าสามารถไปพบท่านแม่ทัพได้”
เฉินตันจูเผยยิ้มออกมาทันที ทันใดนั้นยืนตัวตรง ยกเท้าวิ่งไปทางนั้น โจวเสวียนเรียกขานเฉินตันจูพร้อมวิ่งตามไป อาเถียนย่อมไม่ทิ้งห่าง องค์ชายสามเดินตามออกมาอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ ด้านหลังมีขันทีสองคนเดินตาม เมื่อเห็นพวกเขาออกไปกันหมด หลี่จวิ้นโส่วครุ่นคิดก่อนจะกอดพระราชโองการเดินตามออกมา
เฟิงหลินไม่ได้ห้าม อีกทั้งไม่ได้เดินนำอยู่ด้านหน้า เขาเรียกขานจู๋หลินและเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ
เฉินตันจูพุ่งตรงไปยังกระโจมแม่ทัพใหญ่ราวกับคันธนู โจวเสวียนเดินตามอยู่ด้านหลังนาง อาเถียนวิ่งเหยาะ องค์ชายสามเดินอย่างเชื่องช้า ขันทีสองคนตามติด หลี่จวิ้นโส่วอยู่ด้านหลังสุด…
กระโจมขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขบวนทหารที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกกระโจมแม่ทัพหน้ากากเหล็กต่างหลีกทางให้ แต่ทันใดนั้นเฉินตันจูที่วิ่งอยู่ด้านหน้าก็หยุด นางหันไปมองกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลัง
“พวกท่าน” นางพูด “อย่าเข้าไปเลยดีกว่า”