เฉินตันจูหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน พร้อมทั้งพูดประโยคนี้กับพวกเขา คนด้านหลังต่างผงะ โจวเสวียนถึงกับถลึงตา “เพราะเหตุใด”
เฉินตันจูพูด “ท่านแม่ทัพเพิ่งฟื้น คนเยอะ พวกท่านจะรบกวนเขา”
ช่างเป็นห่วงบิดาบุญธรรมเสียจริง โจวเสวียนเบ้ปาก องค์ชายสามไม่พูด กลับเป็นหลี่จวิ้นโส่วที่พูดขึ้น “ไม่เข้าไปก็ได้ แต่ข้าจะรออยู่ด้านนอกประตู”
เฉินตันจูเหลือบมองเขา “รออยู่ด้านนอกประตูได้”
โจวเสวียนส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าไม่รออยู่ด้านนอก ข้าจะพบท่านแม่ทัพ เขาเป็นแม่ทัพหลักของข้า ข้าต้องพบเขาเพื่อมั่นใจอาการของเขา”
เฉินตันจูมองเขา “ท่านแม่ทัพไม่ได้บอกว่าจะพบท่าน!”
เฟิงหลินที่เดินตามอยู่ด้านหลังรีบแทรกขึ้น “ไม่เป็นอันใด ท่านแม่ทัพฟื้นแล้ว ทุกคนสามารถเข้าไปพบได้”
เฉินตันจูมองข้ามทุกคนไปยังเฟิงหลิน สีหน้าไม่พอใจราวกับเด็กที่ไม่อยากแบ่งของเล่นให้ผู้อื่น
องค์ชายสามที่เงียบเป็นเวลานานพูดขึ้นเสียงแผ่วในเวลานี้ “ตันจู ทุกคนล้วนเป็นห่วงท่านแม่ทัพ ก่อนข้ามาเสด็จพ่อยังกำชับให้ข้ามาเยี่ยมท่านแม่ทัพ หลังจากพวกเราเข้าไป พวกเราจะไม่พูดมาก ไม่รบกวนท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน”
สายตาของเฉินตันจูจับจ้องไปบนตัวเขา สายตานั้นประหลาดเล็กน้อย ราวกับไม่อยากเห็นเขา แต่ก็ราวกับต้องการออกแรงมองเขา…
โจวเสวียนเร่งเร้าอย่างหมดความอดทนอยู่ด้านข้าง “เฉินตันจู ท่านอย่าลีลา หากยืดเยื้อต่อไป ท่านแม่ทัพคงไม่พบผู้ใดอีก ท่านต้องรู้ไว้ หลายวันนี้ท่านแม่ทัพพบแค่ฝ่าบาทเพียงผู้เดียว”
เฉินตันจูหลุบตา ยกเท้าวิ่งออกไป…แต่ทิศทางไม่ใช่กระโจมของท่านแม่ทัพ หากแต่วิ่งกลับไปยังทิศทางเดิม ทะลุผ่านฝูงชนไปไกล
โจวเสวียนตะโกนเรียกด้วยความโกรธ ก่อนจะวิ่งตามไป
องค์ชายสามมองหลี่จวิ้นโส่ว ยิ้มอย่างระอา ก่อนจะหันหลังเดินตามไป หลี่จวิ้นโส่วย่อมต้องตามติด คนขบวนหนึ่งกลับไปอย่างเอิกเกริกอีกครั้ง
เฟิงหลินยืนอยู่ที่เดิมอย่างทำตัวไม่ถูก มองไปทางกระโจมแม่ทัพใหญ่ จากนั้นจึงวิ่งตามไป
แต่หลังจากวิ่งตามไป เขากลับเข้ากระโจมไม่ได้ แม้แต่หลี่จวิ้นโส่วยังถูกไล่ให้อยู่ด้านนอก
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเฉินตันจูจะวิ่งเร็วอย่างไร โจวเสวียนวิ่งเพียงไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามทัน แต่ทันใดนั้นโจวเสวียนก็ถูกเฉินตันจูจับเอาไว้
“ท่านโหวโจว ท่านตามข้าเข้ามา” เฉินตันจูตะโกนอย่างดุดัน หญิงสาวเขย่งเท้าจับคอเสื้อของโจวเสวียน ราวกับแมวน้อยที่กำลังโกรธ
“ท่านทำอันใด” โจวเสวียนโกรธ แต่ไม่ได้ขัดขืน เขาเดินไปข้างหน้าตามหญิงสาว
เฉินตันจูตะโกนใส่คนที่ตามหลังมา “พวกท่านห้ามเข้ามา!”
อาเถียนรีบชะงักฝีเท้าลง หลี่จวิ้นโส่วและองค์ชายสามก็หยุดลง องค์ชายสามมองนาง “ตันจู มีเรื่องใด พวกเราพูดดีๆ ดีหรือไม่”
เฉินตันจูมองเขา มือที่จับคอเสื้อของโจวเสวียนออกแรง “องค์ชายสามก็เข้ามาด้วยเถิดเพคะ” พูดพลางลากโจวเสวียนเข้ากระโจม
องค์ชายสามหลุบตาต่ำอยู่ด้านหลัง ถอนหายใจเสียงเบา จากนั้นเงยหน้าขึ้นเดินตามเข้ามา
หลังจากเดินเข้ากระโจม เฉินตันจูไม่ได้ตะโกนโหวกเหวกอีก นางปล่อยโจวเสวียนออก ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความสงบและอ่อนเพลีย
โจวเสวียนทำหน้าไม่พอใจ “ตกลงท่านคิดจะทำอันใด เรียกร้องจะมา แต่ก็ไม่เข้าไป เพราะกลัวว่าสถานการณ์ย่ำแย่มากจึงไม่กล้าไปดูหรือ ในเมื่อท่านแม่ทัพยอมพบท่านแล้ว แสดงว่าสถานการณ์ยังไม่เลวร้าย ถึงแม้สถานการณ์ของเขาไม่ดี แต่ท่านก็สมควรจะเข้าไปพบหรือไม่”
คำตำหนิของชายหนุ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินตันจูไม่โต้แย้งหรือถกเถียง นางมองไปยังองค์ชายสาม “องค์ชายสาม หม่อมฉันอยากดื่มชาร้อน ให้เสี่ยวป่ายเข้ามารินชา”
โจวเสวียนขมวดคิ้ว “ท่านอยากดื่มชา ข้าหยิบให้ท่าน”
องค์ชายสามพูด “อาเสวียน ไม่ต้อง” เขาหันไปเรียกขันทียังทิศทางประตูกระโจม “เสี่ยวป่าย เจ้าเข้ามา”
ขันทีผู้นั้นจีงเดินเข้ามา
“รินชาให้คุณหนูตันจู” องค์ชายสามพูดอีกครั้ง
เสี่ยวป่ายตอบรับ ก่อนจะเดินมารินชาตรงโต๊ะให้เฉินตันจูพร้อมทั้งยื่นให้นาง เฉินตันจูไม่ได้รับ นางจ้องมองเสี่ยวป่าย ถามขึ้น “เสี่ยวป่าย เจ้าใช้เครื่องหอมอันใด หอมเหลือเกิน หอมมาก ให้ข้าดูหน่อย”
พูดพลางยื่นมือกระชากถุงหอมที่ห้อยอยู่บนตัวของเสี่ยวป่ายลงมา
เสี่ยวป่าย ยื่นมือออกไปเพื่อแย่งชิงกลับมาทันทีถ้วยชาหล่นลงบนพื้นส่งเสียงดัง
ทุกคนกับตกใจกับการกระทำนี้
“คุณหนูตันจู” เสี่ยวป่ายร้อนใจจนยื่นมือออกไปแย่งชิง
เฉินตันจูกระโดดหลบราวกับแมวน้อย ยกถุงหอมขึ้นมาตรงหน้า “ถุงหอมนี้ดูเหมือนไม่มีอันใดพิเศษ ลองแกะดูข้างใน…”
ทันทีที่สิ้นเสียงนาง ร่างของโจวเสวียนกระโดดขึ้นเรากับนกอินทรี ถุงหอมที่เฉินตันจูถืออยู่ตกอยู่ในมือของเขา
“เฉินตันจู!” เขาตำหนิเสียงต่ำ “ท่านเป็นบ้าอันใด!”
ใบหน้าของเขาไม่ใช่ความโกรธ หากแต่เป็นความหวาดกลัว
เฉินตันจูมองเขา “ดังนั้น ท่านก็รู้หรือ”
โจวเสวียนขมวดคิ้ว “ข้ารู้อันใด ข้ารู้ว่าเวลานี้ท่านกำลังเหลวไหล”
เฉินตันจูยิ้ม ยื่นมือ “ท่านนำถุงหอมให้ข้า ข้าจะไม่เหลวไหล พวกเราไปพบท่านแม่ทัพทันที”
โจวเสวียนยิ้มเย้ยหยัน กำถุงหอมในมือแน่น
เฉินตันจูพูดอย่างช้าๆ “ท่านโหวโจว ท่านมีกำลังมาก อย่ากำแน่นเพียงนั้น ยาพิษนี้ร้ายแรง แม้จะยังไม่แตก แต่หากซึมออกมาเพียงนิดเดียว ก็สามารถทำให้ท่านไม่สามารถขี่ม้า ควงหอกไม่ได้ ไม่สามารถสร้างคุณงามความดีได้อีก”
สีหน้าของโจวเสวียนดำทะมึน “ท่านพูดเหลวไหลอันใด”
เฉินตันจูพูดอย่างเย็นชา “ข้าพูดเหลวไหลหรือไม่ ท่านลองฉีกมันดูก็รู้”
โจวเสวียนยืนนิ่งไม่ขยับ
“ใช่หรือไม่ ท่านไม่กล้าใช่หรือไม่” เฉินตันจูพูด “ฉีกขาดตรงนี้ ยังจะไปฆ่าท่านแม่ทัพได้อย่างไร”
โจวเสวียนเดินขึ้นหน้าตะโกนเสียงต่ำ “เฉินตันจู หากท่านพูดเหลวไหลอีก…”
องค์ชายสามที่เงียบเสมอมาพูดขัดเขา “พอเถิด อาเสวียน ไม่ต้องพูดแล้ว” ก่อนจะมองเฉินตันจู “ตันจู เรื่องนี้เจ้าสามารถฟังข้าอธิบายก่อนได้หรือไม่”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน สายตาเต็มไปด้วยการอ้อนวอน
เฉินตันจูก็มองไปทางเขา “องค์ชายสาม หม่อมฉันคิดว่าระหว่างพวกเราไม่มีเรื่องใดต้องคุยกันแล้ว”
องค์ชายสามอดเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวไม่ได้ “ตันจู ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง ข้าไม่โกหกเจ้า…”
เขาพูดคำนี้ออกมา เฉินตันจูก็หัวเราะขึ้นมา
“องค์ชาย” นางเรียกขาน พลางเดินมาทางองค์ชายสาม
ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ถูกแย่งชิงถุงหอม หรือว่าตกใจกับบทสนทนา เสี่ยวป่ายกีดขวางเฉินตันจูตามสัญชาตญาณ
องค์ชายสามบอกให้เขาถอยไป มองหญิงสาวเดินเข้าใกล้ นางเงยหน้ามองเขา “องค์ชาย ยื่นมือของท่านออกมาเพคะ”
องค์ชายสามยื่นมือออกมาตามสั่ง เฉินตันจูจับมือของเขาเอาไว้
ทำอันใด โจวเสวียนมองดูอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าดำทะมึน เห็นเฉินตันจูดึงปิ่นปักผมหนึ่งลงมาจากบนศีรษะ ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว นางปักปิ่นลงตำแหน่งหนึ่งบนข้อมือขององค์ชายสาม
ถึงแม้ปิ่นปักผมจะมีปลายแหลม แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต แรงของหญิงสาวก็ไม่มากนัก แต่ร่างขององค์ชายสามกลับสั่นเทา เขางอตัวส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา
เสี่ยวป่ายและโจวเสวียนขยับเข้าใกล้ในเวลาเดียวกัน
ก่อนที่เสี่ยวป่ายจะผลักเฉินตันจูออก โจวเสวียนก็เข้ามาโอบเฉินตันจูเอาไว้ก่อน จากนั้นมองไปยังองค์ชายสาม
องค์ชายสามจับข้อมือเอาไว้
“องค์ชายสามทรงเป็นอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวป่ายถามอย่างรีบร้อน ก่อนจะมองเฉินตันจูด้วยสายตาที่ไม่ปิดซ่อนความอาฆาต
เฉินตันจูไม่สนใจสายตาของเขา มองไปยังองค์ชายสาม ถาม “เจ็บใช่หรือไม่เพคะ เจ็บเสียยิ่งกว่าที่ท่านต้องเคยอดทนใช่หรือไม่เพคะ”
ความเจ็บปวดผ่านไปอย่างเชื่องช้า องค์ชายสามยืนตัวตรง มองข้อมือของตนเอง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงเลือดที่ร้อนระอุราวกับน้ำเดือดภายใต้ผิวหนัง แต่บนข้อมือมีเพียงรอยแดง แม้แต่ผิวหนังยังไม่ถลอก ดูท่าทางเป็นเพราะตำแหน่งของจุดนี้
“พิษของท่านไม่เคยถูกขจัด” เฉินตันจูพูดเสียงเบา “คิดว่าท่านคงรู้”
ดังนั้นเพียงแค่ฟังคำของนางก็ขับไล่หญิงสาวเมืองฉีผู้มีพระคุณจากไป ไม่มีท่าทีที่จะตอบแทนด้วยชีวิตแม้แต่น้อย
ยังมีเรื่องอีกมากมาย
“วางยาในขนมแปะก๊วย ถูกหญิงสาวเมืองฉีช่วยล้วนเป็นเรื่องโกหกใช่หรือไม่เพคะ”
สายตาของเฉินตันจูเลื่อนผ่านองค์ชายสามไปยังโจวเสวียน มองชายหนุ่มที่รั้งตัวของนางเอาไว้ ภาพนี้ราวกับคุ้นเคยอย่างมาก…
“ท่านโหวโจว” นางพูด “ในงานเลี้ยงของท่าน องค์ชายสามถูกวางยาพิษ ท่านรู้มาก่อนใช่หรือไม่”
ดังนั้นเวลานั้น เขาจึงเกาะแกะนาง ติดตามนาง พานางไปดูจวน จุดประสงค์ก็เพื่อไม่ให้นางอยู่ข้างกายองค์ชายสาม
พวกเขาต่างรู้ว่านางมีความสามารถทางการแพทย์ หากนางอยู่ข้างตัว หญิงสาวเมืองฉีย่อมไม่มีโอกาส ย่อมไม่มีเหตุการณ์ที่หญิงสาวเมืองฉีเฉือนเนื้อรักษาองค์ชายสามในตอนหลัง
อีกท้้งหากมีนางอยู่ องค์ชายสามคงไม่ได้กินขนมแปะก๊วย
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาจากถูกขัดขวาง
เสียงของเฉินตันจูทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งเชื่องช้า
“ยังมีสิ่งใดต้องอธิบายอีก ท่านโกหกข้าเสมอมา”