รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 349 โวยวายอะไรกัน พาคนมาเพิ่มแล้วคิดว่าแข็งแกร่งนักหรือ!?

บทที่ 349 โวยวายอะไรกัน พาคนมาเพิ่มแล้วคิดว่าแข็งแกร่งนักหรือ!?

บทที่ 349 โวยวายอะไรกัน พาคนมาเพิ่มแล้วคิดว่าแข็งแกร่งนักหรือ!?

ในไม่ช้า ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเกือบจะล้มไปกองกับพื้น รอบตัวพวกเขาพลันปรากฏมิติบิดเบี้ยว มีร่างหลายร่างเดินออกมาจากตรงนั้น

ร่างพวกเขาล้วนแต่แก่ชรา ทั่วร่างเป็นสีขาวอมเทา บนร่างยังแฝงกลิ่นอายความตายจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว

“มาแล้ว”

ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเอ่ยเรียกพวกเขา แล้วหนึ่งในนั้นก็กลายเป็นลำแสงละล่องกลับเข้าไปในร่างของเขา

นี่คืออวตารของเขา

และร่างอื่น ๆ เหล่านั้นนับเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตระกูลหาน พวกเขามีทั้งหมดหกคน!

“พวกเราเอาอาวุธมหาจักรพรรดิมาด้วยชิ้นหนึ่ง ครั้งนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!”

สตรีจ้าวสูงสุดผู้หนึ่งกล่าวขึ้น

ผิวหนังทั่วร่างของนางแห้งกร้าน มองเห็นรอยเหี่ยวย่น ทว่าก็ยังคงมองเห็นภาพลางในวัยเยาว์ ช่วงวัยเยาว์ นางน่าจะเป็นสตรีงามนางหนึ่ง

“แปดจ้าวสูงสุดร่วมมือกัน ทั้งยังมีอาวุธมหาจักรพรรดิสามชิ้น ครั้งนี้จะต้องไม่ล้มเหลวอย่างแน่นอน!”

หานอู่หยาซึ่งเป็นผู้อาวุโสตระกูลหานพยักหน้า คราวนี้เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มสิบ

จ้าวสูงสุดหกคนมารวมตัวกัน เขากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีรวมเข้าไปด้วยก็เป็นแปดคน!

เขากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีมีอาวุธมหาจักรพรรดิของตนเองคนละชิ้น แต่ตอนนี้พวกเขามีอาวุธมหาจักรพรรดิอีกชิ้น ทำให้อาวุธมหาจักรพรรดิมีทั้งหมดสามชิ้น!

ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาโจมตีครั้งเดียวก็ชนะแล้ว!

“ไปกันเถอะ”

เขาเอ่ยปากเสียงเบา เดินไปข้างหน้าด้วยท่าทีชื่นมื่น ราวกับอ่อนวัยลงไม่น้อย

ในที่สุดก็ไม่ต้องซ่อนตัวในความมืดมิดอีก ในที่สุดก็ไม่ต้องยับยั้งพลังปราณแล้ว!

เขา…ตื่นเต้นมาก!

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงริมแม่น้ำน้อยอีกครั้ง

หานอู่หยากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีเดินนำหน้า โดยมีผู้เฒ่าทั้งหกอยู่ข้างหลัง

“ต้นหลิวกับก้อนหินน้อยไม่รู้จักที่ตาย ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้แสดงพลังทำให้พวกเจ้าคิดว่าข้ารังแกง่ายอย่างงั้นหรือ!?”

ใบหน้าของหานอู่หยาอึมครึม เขาจ้องต้นหลิวกับก้อนหินอย่างมาดร้าย “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด? เจ้ายังกล้าพูดเหมือนเมื่อก่อนอีกหรือไม่!”

แล้วหานอู่หยาก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมา พลังปราณขอบเขตสูงสุดแผ่ซ่าน น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!

เขากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีเคยถูกต้นหลิวกับก้อนหินขัดขวางมาก่อน ในเวลานั้น พวกเขากักเก็บพลังปราณเอาไว้ ต้นหลิวกับก้อนหินจึงไม่รู้ขอบเขตของพวกเขา อาจคิดว่าพวกเขาอ่อนแอ ถึงได้ทำตามอำเภอใจตน ไม่เกรงกลัวผู้ใดไม่เกรงใจพวกเขาแม้แต่น้อย

ตอนนี้เขาได้เปิดเผยพลังปราณสูงสุดแล้ว เขาอยากจะเห็นนักต้นหลิวกับก้อนหินยังกล้าอวดดีอีกหรือไม่!

“ผู้พิทักษ์เมืองปุถุชนอะไรกัน ตอนนี้ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าพูดความจริง ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เช่นนั้น ข้าจะฆ่าพวกเจ้าที่นี่เดี๋ยวนี้!”

เขาเอ่ยเสียงเย็น

“ล้อเล่นอะไรกัน! ปล่อยเจ้าไปแล้ว เจ้ายังกล้ากลับมาสร้างปัญหาอีกหรือ!”

น้ำเสียงของต้นหลิวเย็นชายิ่ง กิ่งของมันสะบัดไปทั่วก่อนจะปิดล้อมพื้นที่ไว้ มันไม่กล้าปล่อยให้ปุถุชนในเมืองได้รับความเดือดร้อนจากคนพวกนี้ได้

หลังจากปิดพื้นที่เสร็จ มันก็วางใจ

แม้จะมีมนุษย์ธรรมดาเดินผ่านที่นี่ก็จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ อีกทั้งยังมองไม่เห็นสถานการณ์ในพื้นที่พิเศษแห่งนี้

“พลังแข็งแกร่ง? แกร่งอย่างไร หือ?”

เจ้าก้อนหินอดไม่ได้ที่จะพูดจาเหน็บแหนม “ไม่เห็นจะรู้สึกอันใดเลย อีกอย่างนะ เจ้าคิดว่าพาคนมามากแล้วจะแข็งแกร่งขึ้นหรือ? เอ๊ะ แต่เจ้าพากลุ่มผู้เฒ่ามาทำอะไรที่นี่? เจ้าน่าจะพาเด็กหนุ่มเด็กสาวมาสิ อ๊า ข้ารู้สึกว่าคนแก่พวกนี้อ่อนแอเกินไป เพียงลมพัดก็แทบล้มไปกองกับพื้นแล้ว บางทีอาจตายได้เลยนะ”

หานอู่หยาพูดว่าตนแข็งแกร่งยิ่ง

แต่พวกมันทั้งสองไม่รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

พลังปราณที่หานอู่หยาปลดปล่อยออกมาทำอะไรพวกมันไม่ได้แม้แต่น้อย นี่เรียกว่าแข็งแกร่งอย่างไร? ไร้สาระยิ่งนัก!

อีกด้านหนึ่ง หานอู่หยาฟังจบก็ขมวดคิ้ว

เขาแผ่พลังปราณสูงสุดออกมา ต้นหลิวกับก้อนหินกลับไม่กลัว ซ้ำยังกล้าปิดกั้นสถานแห่งนี้ ต้นหลิวกับก้อนหินนี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่!?

ฟังคำกล่าวเหล่านั้นของก้อนหินแล้ว ดูเหมือนว่าพลังปราณสูงสุดที่เขาแผ่ออกมาจะไม่ส่งผลกระทบต้นหลิวกับก้อนหินจริง ๆ เสียด้วย นี่ต้นหลิวกับก้อนหินอยู่ขอบเขตระดับใดกัน?

เขารู้สึกว่าเขาอาจประเมินต้นหลิวกับก้อนหินต่ำไป ความแข็งแกร่งของต้นหลิวกับก้อนหินอาจทรงพลังมากกว่านี้!

คิดเช่นนี้แล้ว เขาก็เปิดสัมผัสวิญญาณสูงสุดเพื่อตรวจสอบขอบเขตต้นหลิวกับก้อนหิน

แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น!

เจ้าสองตัวนี้ลุ่มลึกมิอาจคาดเดา!

เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนั้นต้นหลิวกับก้อนหินอยู่ระดับขอบเขตใด!

นี่แสดงให้เห็นว่าต้นหลิวกับก้อนหินนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ขอบเขตไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา หากขอบเขตต่ำกว่าพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกถึงขอบเขตหลิวกับก้อนหินเลย

ดูเหมือนว่าต้นหลิวกับก้อนหินจะเกี่ยวข้องกับยอดนิกายเช่นกัน

มิฉะนั้นขอบเขตของต้นหลิวกับก้อนหินไม่น่าจะสูงขนาดนี้

“ยอดนิกายก็คือยอดนิกาย ชอบทำให้คนตกใจนัก ร้ายกาจจริง ๆ!”

เขามองไปยังต้นหลิวกับก้อนหินพลางกล่าว

ต้นหลิวกับก้อนหินบนร่างมีพลังปราณแห่งชีวิตแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดต้นหลิวกับก้อนหินไม่ใช่สิ่งชีวิตสมัยโบราณกาล

หากต้นหลิวกับก้อนหินเป็นสิ่งชีวิตตั้งแต่สมัยโบราณกาล ทั้งสองไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายของอาณาจักรนี้ การเป็นนักบุญยังแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต้นหลิวกับก้อนหินสามารถทะลวงขั้นจนกลายเป็นจ้าวสูงสุดได้… ยอดนิกายช่างไม่ธรรดาเสียงจริง พอที่จะทำให้ทุกคนตกใจจนแทบตายได้!

เขาไม่คิดว่าต้นหลิวกับก้อนหินจะฝึกตนกลายเป็นจ้าวสูงสุดได้ด้วยตนเอง

สภาพแวดล้อมในปัจจุบันเลวร้ายมาก เป็นไปไม่ได้จะพึ่งความสามารถตนเองทะลวงฝ่าด่านกลายเป็นจ้าวสูงสุด กระทั่งอาศัยพรสวรรค์มากเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้

เส้นทางแห่งการฝึกตน พรสวรรค์ถือเป็นสิ่งสำคัญ

แต่แหล่งทรัพยากรฝึกตนนั้นสำคัญยิ่งกว่า

หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากทรัพยากรสำคัญมาฝึกฝน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีพรสวรรค์เพียงใดก็ไม่อาจเข้าสู่ขอบเขตระดับสูงได้

นี่คือความโหดร้ายของการฝึกตน หากเจ้าฝึกตนด้วยตัวเองอย่างเดียว ไม่ว่าพรสวรรค์จะน่าทึ่งเพียงใด ความสำเร็จที่ทำได้ก็มีจำกัด

“ยอดนิกาย? จ้าวสูงสุด? เจ้าพูดบ้าอะไรกัน?”

ก้อนหินฟังแล้วก็งุนงง มันไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

“มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าข้า!”

หานอู่หยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าคิดว่าพวกเราแก่ชรา สภาพร่างกายไม่ได้อยู่ระดับดีที่สุดแล้วจะจัดการพวกเราอย่างนั้นหรือ? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่าพวกเจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว!”

ถึงทั้งสองจะกลายเป็นจ้าวสูงสุด อยู่ในช่วงสภาพร่างกายดี และแข็งแกร่งได้เปรียบกว่าพวกเขาทั้งหมดจริง ๆ

แต่ถึงกระนั้น พวกเขาทั้งแปดก็เป็นจ้าวสูงสุดเช่นกัน อีกทั้งวันนี้ยังพกอาวุธระดับมหาจักรพรรดิมาด้วยสามชิ้น!

เพื่ออนาคตของตระกูลหาน พวกเขาไม่ได้วางแผนว่าจะมีชีวิตอยู่ยาวไกล แต่พวกเขาวางแผนเท่าที่ทำได้!

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีเวลาเหลืออยู่ไม่มาก ดังนั้นเหตุใดจะไม่สร้างอนาคตสดใสไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานก่อนตายเล่า!

สถานการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเขาถูกกำหนดว่าให้ต้องสู้กับต้นหลิวและก้อนหิน!

“ถึงพวกเราจะแก่ แต่อย่าได้ประมาทกันนักเลย!”

นัยน์ตาของเขาวาวโรจน์พลางกล่าวว่า “หลังจากจัดการพวกเจ้าแล้ว เราจะไปจัดการพวกหลี่จิ่วเต้าและคนอื่น ๆ ต่อ ประเดี๋ยวจะสงเคราะห์ให้พวกเจ้าทั้งหมดไปอยู่ด้วยกัน!”

“ดียิ่ง! ครั้งนี้พวกเรามาทุ่มสุดชีวิตกันเถิด!”

บรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีว่า

แม้คุณสมบัติของฉงคูไม่นับว่าเป็นอะไร แต่พวกมันก็ถือเป็นสายเลือดของเผ่าฉงฉี

หากไม่ต้องการให้สายเลือดของเผ่าฉงสิ้นสุด มันก็ต้องทุ่มเทสุดชีวิตเช่นกัน!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท