ยามค่ำคืนเริ่มคืบคลานเข้ามา
ในเวลานี้แม้กระทั่งอวิ๋นปี้ลั่วที่อยู่นอกสำนักก็ยังสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลังจากใช้มือเปล่าจัดการกับทหารเหล่านั้นเสร็จ นางก็พบว่าองค์ชายสามได้ตัวมู่หรงหงตู๋ไปเสียแล้ว
“แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรดี พวกเรายังปฏิบัติภารกิจไม่เสร็จเลย” บนหน้าผากของคุณชายทั้งสองคนนั้นมีเม็ดเหงื่อซึมชื้น พวกเขาอุตส่าห์รีบร้อนมาถึงนี่ แต่สุดท้ายต้องกลับไปมือเปล่า
อวิ๋นปี้ลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสรุปว่า ”เวลาของพวกเรากระชั้นชิดเกินไป การที่เขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับองค์ชายสามนั้นนับว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเรา ข้ามั่นใจว่าท่านเจ้าสำนักก็คงไม่ได้คิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน เรื่องมันแล้วไปแล้ว ข้าว่าเราคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปก่อน”
“กลับไปมือเปล่าหรือ เราจะอธิบายอย่างไรตอนที่กลับไปถึง”
อวิ๋นปี้ลั่วตวัดสายตามองคนทั้งสอง ”ใครบอกว่าพวกเราจะกลับไปมือเปล่า มู่หรงหงตู๋ไม่ได้มาที่นี่เพื่อประมูลสิ่งใด แต่มาเพื่อพบกับผู้คนต่างหาก และคนที่เขามาพบนั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นพ่อค้าที่มีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ยังไม่ต้องพูดถึงการที่พวกเขามาพบกันในที่ลับตาเช่นนี้อีก นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องปิดบังอะไรเอาไว้อย่างแน่นอน ตราบใดที่เราสามารถเอาเรื่องนี้ไปบอกกับเบื้องบนได้ เช่นนั้นภารกิจของเราก็ถือว่าสำเร็จ”
“จริงด้วยสิ ทำไมข้านึกไม่ถึงกันนะ!” ดวงตาของคุณชายคนนั้นเป็นประกาย ”แม่นางอวิ๋น เจ้าช่างเป็นคนที่รอบคอบจริงๆ ในเวลานี้มีเพียงพวกเราสามคนเท่านั้นที่รู้ข้อมูลนี้ ส่วนคนอื่นๆ นั้น อย่าไปสนใจพวกเขาเลย โดยเฉพาะเฮ่อเหลียนเวยเวย นางทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว ข้าพนันเลยว่านางคงหาข้อมูลอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว และนางจะต้องอยู่อันดับสุดท้ายในรายชื่อแน่!”
อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มอย่างงดงาม พร้อมกับเคลื่อนสายตามองออกไปยังค่ำคืนอันมืดมิด ก่อนจะพูดช้าๆ ว่า ”ในเมื่อทุกคนรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี เช่นนั้นเราก็กลับกันเถอะ เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว”
แน่นอนว่าทั้งสองย่อมไม่คัดค้าน แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือคนที่พวกเขาคิดว่าคงได้อันดับสุดท้ายนั้นกลับไปถึงพระราชวังใต้ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่นางกลับตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
เปลวไฟจากแสงเทียนส่ายไปมาอยู่กลางลาน
ชายคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยชาลง รอยยิ้มน่ารังเกียจปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาทันทีที่เห็นว่าถ้วยชาของเฮ่อเหลียนเวยเวยว่างเปล่า รอยยิ้มนั้นน่าขนลุกจนทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงนิ่งเฉย คิ้วของนางขมวดมุ่นเข้าหากัน
นางได้ยินเขากล่าวว่า ”ต่อให้เจ้าชนะ เจ้าก็จะไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อดื่มด่ำกับชัยชนะนั้น”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็กระตุกเกร็ง คอของนางรู้สึกไร้เรี่ยวแรง น้ำชาในถ้วยของนางหกไปทั่ว
เมื่อเห็นภาพนี้ ชายคนนั้นก็วางถ้วยชาในมือลงอย่างไม่รีบร้อน ”เจ้ารู้สึกว่ามือเท้าเย็นหรือ เจ้ารู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อยด้วยหรือ หึ ขอให้สนุกกับยาพิษที่อยู่ในน้ำชาก็แล้วกัน”
ระหว่างที่พูดเช่นนั้น เขาก็เก็บของ แล้วเตรียมตัวเดินออกไป
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะออกไปได้” เขาประหลาดใจที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังสามารถเงยหน้าขึ้นมาได้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ ”คนที่รู้สึกว่ามือเท้าเย็นและปวดศีรษะน่าจะเป็นท่านมิใช่หรือ”
ชายคนนั้นหรี่ตาลงทันที นิ้วมืออันสั่นเทาของเขากำเข้าหากันแน่นพร้อมกับตวัดสายตามองไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ควรจะเป็นเหยื่อตามแผนการเดิมของเขา จากนั้นเขาก็มองถ้วยชาบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”คิดว่าจะวางยาพิษข้าด้วยชาเพียงถ้วยเดียวหรือ ต้องบอกว่าท่านประเมินข้า เฮ่อเหลียนเวยเวยต่ำไปแล้ว”
“เจ้า…” เขายื่นมือออกไปหมายจะบีบคอของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่แล้วความเจ็บปวดอันรุนแรงและยากเกินจะทนไหวที่มาจากอวัยวะภายในก็พุ่งเข้าปะทะเขาในทันที ผู้หญิงคนนี้ นางสลับถ้วยชา!
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้น และมองเขาอย่างเย็นชา ”ฝีมือการแสดงของท่านยอดเยี่ยมทีเดียว แต่จุดสีดำที่อยู่บนคอของท่านต่างหากที่ทำให้ข้ารู้สึกสงสัยขึ้นมาเพราะที่มือของมู่หรงหงตู๋เองก็มีจุดแบบเดียวกันนี้อยู่เหมือนกัน ข้าจึงเดาว่าใครก็ตามที่ได้ดื่มเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะมีจุดสีดำปรากฏขึ้นบนร่างกายเหมือนกับถูกทำเครื่องหมายเอาไว้ แต่เลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มันดีถึงเพียงนั้นจริงๆ หรือ มันดีเสียจนแม้กระทั่งผู้ชี้แนะของหน่วยพิฆาตวิญญาณก็ยังพ่ายแพ้ต่อความเย้ายวนนั้นเชียวหรือ”
“ฮ่าๆๆ” ชายคนนั้นหัวเราะทั้งที่กระอักเลือดออกมาจากปาก ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไป และเผยให้เห็นร่องรอยของการถูกครอบงำ ”เจ้าคงนึกไม่ถึงว่าเหล่าผู้อาวุโสโหยหาความเป็นอมตะมากเพียงใด และยิ่งกว่านั้น เลือดนั่นก็สามารถนำมาเป็นแหล่งพลังงานอันไร้ขีดจำกัดได้อีกด้วย จุดประสงค์ของข้านั้นมีเพียงเพื่อทำให้หน่วยพิฆาตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น! ส่วนเจ้า เจ้ามันก็เป็นแค่คนไร้ค่า ตั้งแต่เจ้ายังเด็ก หัวใจของเจ้าก็มัวแต่ยึดติดอยู่กับเรื่องผู้ชาย หลงลืมความปรารถนาของนายท่านไปจนหมดสิ้น แทนที่จะต้องส่งต่อหน่วยพิฆาตวิญญาณให้กับคนอย่างเจ้า สู้ปล่อยให้ข้าขึ้นเป็นผู้นำของกองกำลังไร้พ่ายนี้แทนเสียยังดีกว่า!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย ”ฟังดูสูงส่งดีทีเดียว แต่ความจริงนั้นท่านก็แค่อยากได้หน่วยพิฆาตวิญญาณมาเป็นของตัวเองก็แค่นั้น”
“แล้วอย่างไร คนที่มีความสามารถย่อมทำได้ดีกว่าอยู่แล้ว” ดวงตาของเขาแดงก่ำ ”ข้าทุ่มเทหัวใจและจิตวิญญาณของตัวเองให้กับหน่วยพิฆาตวิญญาณมาตลอด ข้าคือคนที่สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับหน่วยนี้มาโดยตลอด ที่พวกเขามีทุกอย่างในวันนี้ได้ก็ล้วนแต่เป็นเพราะข้าทั้งสิ้น แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปาก และตอบว่า ”ทุกอย่างเป็นเพราะท่านหรือ เท่าที่ข้ารู้มา สาเหตุที่ทำให้หน่วยพิฆาตวิญญาณยังอยู่อย่างสงบสุขมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้นั้นไม่ได้เป็นเพราะท่านแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะมีท่านเจ้าสำนักคอยรับมือกับบรรดาตระกูลทั้งหลายแทนต่างหาก นอกจากความยโสโอหังอันเกินควรของท่านแล้ว ท่านก็ทนรับมือกับความกดดันใดๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านกลายเป็นสายลับสองหน้าให้กับสี่ตระกูลใหญ่ ข้ารู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ท่านรอที่จะกำจัดข้าแทบไม่ไหวนั้นไม่ได้มาจากคำสั่งของสี่ตระกูลใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะท่านไม่อยากให้สิทธิ์ในการควบคุมหน่วยพิฆาตวิญญาณที่อยู่ในมือมาตลอดหลายปีให้กับคนอื่นอีกด้วย”
“เจ้าพูดถูก” เขาวางนิ้วลงบนโต๊ะพร้อมกับพยุงตัวเองเอาไว้ด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ”จริงอยู่ที่ท่านเจ้าสำนักของเจ้าเป็นชายมีความสามารถ แต่โชคร้ายที่เขาโง่เขลาและจงรักภักดีจนเกินไป ที่เขาตั้งใจจะส่งต่อหน่วยพิฆาตวิญญาณทั้งหมดให้กับเจ้าก็เพราะเขาติดค้างนายท่านที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เฮ้อ เด็กสาวโง่ๆ อย่างเจ้าจะทำอะไรได้แค่ไหนกันเชียว”
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงสุขุมเยือกเย็นแม้จะได้ยินคำปรามาสของเขา แต่สิ่งที่นางพูดขึ้นต่อจากนั้นนับว่าน่าโมโหมากเสียจนสามารถทำให้คนฟังโกรธจนแทบบ้าได้เลยทีเดียว ”แต่ท่านก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเด็กสาวโง่ๆ คนที่ท่านดูถูกมิใช่หรือ ท่านเห็นหรือยังล่ะว่าท่านโง่ขนาดไหน”
เป็นอย่างที่คิด ทันทีที่ชายคนนั้นได้ยินสิ่งที่นางพูด ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล เขาพาร่างที่ถูกวางยาพิษของตัวเองโถมเข้าใส่เฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาพลางตั้งท่าเตรียมพร้อม
ตึง!
ชายคนนั้นถูกแท่งไม้ที่ลอยมาจากไหนก็ไม่รู้กระแทกเข้าอย่างจังจนกระเด็นไปกองอยู่บนพื้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมอง และเห็นตู๋ซูเฟิงในชุดเสื้อตัวยาวกับเสื้อคลุมสีเขียวกำลังเดินเข้ามาทางพวกนาง ดวงตาหงส์ของเขาเรืองแสงวาบอย่างมาดร้าย
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ชายคนนั้นกระอักเลือดออกมาพร้อมกับมองไปที่ตู๋ซูเฟิงอย่างไม่เชื่อ เขาคิดว่าเขาล่อให้ตู๋ซูเฟิงออกไปนอกเมืองได้แล้วเสียอีก
บรรยากาศรอบตัวของตู๋ซูเฟิงในตอนที่เขาไม่ยิ้มนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกหวั่นวิตกยิ่งนัก ”ทั้งที่รู้จักกันมาหลายปีถึงเพียงนี้ แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เข้าใจข้าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ข้ารู้จักท่านดีเชียวล่ะ ลองคิดดูสิ ทำไมข้าถึงยอมให้ท่านรู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยมีตราทัพอยู่ในมือ มันก็เพื่อทดสอบท่านอย่างไรล่ะ … แต่ท่านทำให้ข้าผิดหวัง”
“เจ้าหมายความว่าเจ้าไม่ได้ออกไปนอกเมือง แต่อยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ!” ดวงตาของเขาสั่นสะท้าน ความเข้าใจเริ่มแทรกซึมลงในร่างพร้อมกับความไม่พอใจที่แล่นปราดเข้ามาหาเขา ”ตู๋ซูเฟิง เจ้าหลอกข้า เจ้ากล้าดีอย่างไร!”