เฉินตันจูรู้สึกราวกับว่าตนเองถูกโยนลงไปในทะเลสาบอันมืดมิดอีกครั้ง ร่างกายกำลังจมลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรงและเชื่องช้า นางไม่อาจดิ้นรน ไม่อาจหายใจได้
แต่เหตุใดนางจึงบอกว่าอีกครั้ง
นางไม่เคยจมน้ำ ไม่ใช่ ราวกับเคย นางดิ้นรนอยู่ภายในทะเลสาบ สองมือราวกับคว้าคนหนึ่งเอาไว้ได้
ไม่ใช่ราวกับ แต่มีคนผู้นี้อยู่จริง เขาแบกนางออกจากที่พักของเหยาฝู แบกนางวิ่งตลอดทั้งทาง
นางนึกขึ้นได้แล้ว เขาคือจู๋หลิน
แต่ ก็ราวกับไม่ใช่จู๋หลิน นางลืมตาขึ้นท่ามกลางน้ำในทะเลสาบอันมืดมิด มองเห็นผมสีขาวที่พลิ้วไหว มีคนผู้หนึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
จู๋หลินจะมีผมขาวทั้งหัวได้อย่างไร เขาไม่ใช่จู๋หลิน เขาคือผู้ใด
เฉินตันจูพยายามลืมตาให้โตขึ้น ยื่นมือปัดผมขาวที่ลอยอยู่ตรงหน้า ต้องการจะมองคนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม…
ความขาดอาการทำให้นางไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นางอ้าปากหายใจเข้าอย่างแรง
ไม่มีน้ำทะเลสาบไหลเข้ามา มีเพียงเสียงร้องไห้ด้วยความดีใจของอาเถียน “คุณหนู…”
เฉินตันจูลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือความมืดสลัว แต่ไม่ใช่ความมืดมิด นางไม่ได้อยู่ในทะเลสาบ การมองเห็นค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ยามพลบค่ำในกระโจมค่ายทหาร อาเถียนที่หลั่งน้ำตาอยู่ด้านข้าง รวมทั้งจู๋หลินที่เหม่อลอย
ภายนอกกระโจมมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ราวกับสว่างไปด้วยคบเพลิงทั่วทุกที่ ทั้งค่ายทหารล้วนลุกเป็นไฟสีแดง
หลังจากเหม่อลอยไปชั่วขณะ สติของเฉินตันจูก็ฟื้นคืนกลับมา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน…นางยินดีที่จะไม่มีสติ ไม่เผชิญหน้ากับความจริง
“คุณหนู…” อาเถียนมองใบหน้าที่ปรากฏสีแดงระเรื่อในยามตื่น แต่เพียงชั่วพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด นึกถึงเหตุการณ์ที่เฉินตันจูเป็นลมไปก่อนหน้านี้ นางก็ตกใจจนกอดอีกฝ่ายเอาไว้ “คุณหนู คุณหนูอย่าร้องอีกเลย ร่างกายของท่านรับไม่ไหวแล้ว เวลานี้ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว ท่านต้องอดทนเอาไว้”
ท่านแม่ทัพ ไม่อยู่แล้ว หัวใจของเฉินตันจูสั่นไหว แต่ไม่ได้เป็นลมล้มลงไป นางจับอาเถียนเพื่อลุกขึ้นยืน “ข้าไปดูท่านแม่ทัพ”
อาเถียนกอดนาง พร้อมเกลี้ยกล่อม “ทางท่านแม่ทัพมีคนเตรียมการแล้ว คุณหนูท่านไม่ต้องไป”
เฉินตันจูพูด “ข้ารู้ ข้าไม่ได้ไปช่วย ข้าแค่ไปดูอีกครั้งเท่านั้น ต่อจากนี้คงไม่ได้เห็นอีกแล้ว”
น้ำตาของอาเถียนไหลลงมา นางออกแรงพยุง แต่แรงของนางไม่เพียงพอ เฉินตันจูเพิ่งฟื้นขึ้นมาร่างกายไร้เรี่ยวแรง นายบ่าวทั้งสองเกือบหกล้ม โชคดีที่มีมือข้างหนึ่งยื่นมาประคองพวกนางเอาไว้
เฉินตันจูและอาเถียนมองจู๋หลิน
“จู๋หลิน” เฉินตันจูพูด “เหตุใดเจ้ายังอยู่ตรงนี้ ทางท่านแม่ทัพ…”
จู๋หลินยังคงทำหน้าเหมือนเคย “คำสั่งที่ท่านแม่ทัพให้ข้าคือเป็นองครักษ์ของคุณหนูตันจู ท่านแม่ทัพยังไม่ได้เรียกคำสั่งคืน”
ต่อจากนี้ไม่มีคำสั่งของท่านแม่ทัพอีกแล้ว ดวงตาขององครักษ์หนุ่มแดงก่ำ
เฉินตันจูหลุบตาเพื่อป้องกันตนเองร้องไห้ออกมา เวลานี้นางร้องไห้ไม่ได้แล้ว นางต้องตั้งสติ ส่วนตั้งสติเพื่อการใด นางเองก็ไม่รู้…
“ไปเถิด” นางพูด
เดินออกจากกระโจมก็พบว่ากระโจมของแม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่ด้านข้าง ขบวนทหารที่ล้อมอยู่รอบกระโจมยังคงแน่นหนา แต่แตกต่างจากก่อนหน้านี้แล้ว ทางกระโจมแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้ห้ามผู้คนเข้าใกล้อีก
เมื่อเห็นเฉินตันจูเดินมา ทหารด้านนอกกระโจมเปิดม่านขึ้น ผู้คนที่ยืนอยู่ในกระโจมต่างหันหน้ามา
เมื่อเห็นหญิงสาวที่ถูกอาเถียนและจู๋หลินพยุงมา องค์ชายสามและหลี่จวิ้นโส่วที่กำลังสนทนากันเสียงเบาต่างหยุดลง
“ตันจู” องค์ชายสามพูด
เฉินตันจูแสร้งทำเป็นไม่เห็นคนในห้อง นางเดินไปยังเตียงที่วางอยู่ใจกลางกระโจมอย่างช้าๆ มองเห็นเบาะรองนั่งที่ว่างเปล่าข้างเตียง มันคือตำแหน่งที่นางนั่งคุกเข่าก่อนหน้านี้…
เมื่อได้ยินเฟิงหลินบอกว่าท่านแม่ทัพจากไปแล้ว นางพุ่งเข้ามาอย่างไร้จิตวิญญาณ เห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ถูกเหล่าไต้ฟูล้อมรอบเอาไว้ ตอนนั้นนางเหมือนร่างไร้วิญญาณ แต่ก็ราวกับมีสติอย่างมาก นางเบียดตัวเข้าไปตรวจดู อีกทั้งยังใช้เข็มเงิน ตะโกนบอกสูตรยามากมาย...
ไม่มีคนห้ามนาง มีเพียงมองนางด้วยความโศกเศร้า จนกระทั่งตัวของนางจับเข้าไปที่ข้อมือของแม่ทัพหน้ากากเหล็กแล้วนั่งลง ข้อมือที่ถอดเกราะออกราวกับยิ่งผอมเพรียว เหมือนดั่งกิ่งไม้ที่แห้งตาย
กิ่งไม้ที่แห้งตายไม่มีชีพจร อุณหภูมิก็กำลังสลายไปอย่างช้าๆ
ชีวิตของคนชราผู้นี้กำลังสลายไป
“…หวังเจียนเล่า?”
“…เข้าวังไปทูลฝ่าบาทแล้ว…”
“…เขาไปทูลรายงานหรือว่าหนีไปแล้ว…”
“…องค์ชายสามท่านอยู่ตรงนี้ ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท…”
ภายในกระโจมเสียงดังวุ่นวาย ทุกคนต่างกำลังรับมือกับสถานการณ์กะทันหันนี้ ค่ายทหารถูกควบคุมไว้อย่างเข้มงวด เมืองหลวงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้รู้จนกระทั่งฮ่องเต้ได้ข่าว เหล่าแม่ทัพใหญ่หลั่งไหลเข้ามาจากทุกสารทิศ…แต่ว่ามันไม่เกี่ยวกับเฉินตันจู
เฉินตันจูไม่สนใจ นางนั่งอยู่ริมเตียง มองพินิจชายชราผู้นี้ พบว่านอกจากแขนที่ผอมแห้งของเขาแล้ว อันที่จริงร่างกายของเขาไม่ได้กำยำมาก ไม่สูงใหญ่เหมือนบิดาเฉินเลี่ยหู่
สายตาของนางจับจ้องไปที่ใบหน้าของชายชราซึ่งยังถูกหน้ากากเหล็กปิดไว้อยู่ นางเอื้อมมือไปถอดหน้ากากออก เมื่อคนด้านข้างเห็นจึงหยุดนาง “คุณหนูตันจู ท่านแม่ทัพไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นใบหน้าของเขา”
เฉินตันจูกล่าว “ใบหน้าของเขาคือผลงานของเขา ผู้คนที่เห็นจะไม่หัวเราะเยาะ มีแต่จะเคารพและเกรงกลัว”
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นไม่ห้ามอีกต่อไป เฉินตันจูถอดหน้ากากของแม่ทัพหน้ากากเหล็กออก หน้ากากเหล็กนี้ถูกวางลงไปหลังเกิดเรื่อง เพราะก่อนหน้านี้ต้องรักษา ต้องกินยา
บาดแผลภายใต้หน้ากากร้ายแรงกว่าที่เฉินตันจูจินตนาการเอาไว้ ราวกับถูกมีดดาบผ่าเฉียงไป ถึงแม้บาดแผลเก่าจะสมานแล้ว แต่ยังคงน่ากลัว
เฉินตันจูมองอย่างละเอียด ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็ถือว่ารู้จักแล้ว ไม่อย่างนั้นนางคงไม่รู้ว่าบิดาบุญธรรมผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไรหากระลึกถึง
มีแม่ทัพหลายคนต่างมองมา พวกเขาส่งเสียงเบา “หลายปีแล้ว ดูแล้วยังเหมือนตอนที่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บใหม่ๆ”
“ตอนนั้นข้าตกใจอย่างมาก แทบจะยืนไม่อยู่ ใบหน้าของท่านแม่ทัพอาบเลือด แต่เขายังคงถือดาบยืนอยู่ ทำลายศัตรูต่อไป”
พวกเขาพูดสิ่งใดอีก เฉินตันจูไม่ได้ฟัง นางนั่งคุกเข่าอย่างเหม่อลอยอยู่ริมเตียง จนกระทั่งหน้ามืดล้มลงไป
เวลานี้นางเดินเข้ามาใหม่ ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะรองนั่งนั้น
เวลานี้ภายในห้องไม่ได้มีคนมากมายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เหล่าไต้ฟูต่างถอยออกไป เหล่าทหารนอกจากคนที่อยู่เฝ้าแล้ว คนอื่นต่างก็แยกย้ายไปทำงาน…
แต่ก็ไม่มีความวุ่นวายอันใดมากนัก
“องค์ชายสามทรงวางพระทัย ท่านแม่ทัพอายุมากและมีบาดแผล ภายในกองกำลังมีการเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้เป็นเวลานานแล้ว”
“ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
แม่ทัพสองคนพูดต่อองค์ชายสาม
องค์ชายสามพยักหน้า “ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพก็ได้เตรียมการไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่กังวล พวกเจ้าไปทำงานเถิด ข้าทำสิ่งอื่นไม่ได้ ให้ข้าอยู่ตรงนี้คอยเตรียมการไว้ รอคอยการเสด็จมาของเสด็จพ่อ”
พวกเขาตอบรับ พร้อมถอยออกไป
องค์ชายสามมองไปยังหลี่จวิ้นโส่วอีกครั้ง “ใต้เท้าหลี่ เวลานี้ในค่ายมีเพียงขุนนางบุ๋นท่านเดียว อีกทั้งท่านยังถือพระราชโองการ รบกวนท่านไปช่วยบัญชาการในค่ายทหารเสียก่อน”
พระราชโองการนี้สำหรับจับกุมเฉินตันจู แต่…หลี่จวิ้นโส่วเข้าใจความกังวลขององค์ชายสาม การตายของท่านแม่ทัพกะทันหันเกินไป ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จมาถึง ทุกสิ่งควรระมัดระวัง เขามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ริมเตียง ก่อนจะถือพระราชโองการออกไป
องค์ชายสามมองอาเถียนและจู๋หลิน “ข้าอยากคุยกับคุณหนูตันจู พวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถิด”
อาเถียนและจู๋หลินมองเขา ไม่มีผู้ใดขยับ สายตาระวัง พวกเขาต่างจำได้ว่าก่อนหน้านี้ เฉินตันจูเกิดการทะเลาะวิวาทกับโจวเสวียนและองค์ชายสามภายในกระโจม
เฉินตันจูพูด “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” หันไปยิ้มให้อาเถียนและจู๋หลิน “อย่ากังวล ท่านแม่ทัพยังอยู่ตรงนี้”
ถึงแม้ท่านแม่ทัพผู้นี้จะกลายเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณแล้ว แต่ยังคงปกป้องนางได้หรือ จู๋หลินและอาเถียนดวงตาแดงก่ำ ก้มหน้าตอบรับ ก่อนจะถอยออกไป
ภายในกระโจมสงบเงียบยิ่งขึ้น องค์ชายสามเดินไปถึงข้างตัวของเฉินตันจู นั่งลงกับพื้น มองหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าหลังตรง
“ตันจู” เขาพูดอย่างยากลำบาก “เรื่องนี้…”
เฉินตันจูพูดขัดเขา “องค์ชายสามไม่ต้องพูดแล้วเพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันตรวจดู ท่านแม่ทัพไม่ได้ตายเพราะยาพิษของพวกท่าน” พูดพลางหันไปมองเขา หัวเราะออกมา “หม่อมฉันควรบอกว่ายินดีกับองค์ชายที่สมปรารถนา”
พวกเขานั่งใกล้กันเช่นนี้เหมือนหลายครั้งก่อนหน้านี้ เฉินตันจูยังคงยิ้มให้เขา แต่เวลานี้สายตาของหญิงสาวทั้งเย็นยะเยือกทั้งเย็นชา เป็นสายตาที่องค์ชายสามไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาคิดว่าตนเองไม่เกรงกลัวอันตรายใดมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือว่าจิตใจ แต่เวลานี้เมื่อเห็นสายตาของหญิงสาว หัวใจของเขายังคงเจ็บปวดราวกับถูกฉีกขาด