ตั้งแต่ออกมาจากพิพิธภัณฑ์สัตว์อินซอบไม่พูดอะไรเลย เขาจงใจเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกและซื้อตุ๊กตาให้ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนอินซอบก็ชอบซื้อของไร้สาระที่ทำให้สามารถจดจำสถานที่นั้นได้
แม้แต่ภายในรถที่กลับมาบ้านพักตากอากาศ สีหน้าของอินซอบก็ไม่ดี แม้จะตั้งใจเอ่ยหยอกล้อ แต่ก็เปล่าประโยชน์
อีกฝ่ายต้องปิดบังอะไรอยู่แน่ๆ อินซอบมีนิสัยจมอยู่กับตัวเองถ้ากังวลใจ หรือมีเรื่องให้ต้องคิด แม้จะสัญญากันว่าจะไม่มีความลับต่อกันอีกแล้ว แต่นั่นก็เปล่าประโยชน์ในตอนที่อีกฝ่ายไร้ความทรงจำ
เขาตั้งใจจะเล่นเป็นพี่น้องจนกว่าความทรงจำจะกลับมา เขาคิดว่าอย่างนานก็สองสัปดาห์แล้วทุกอย่างจะกลับไปเป็นเดิม แล้วเวลาสองสัปดาห์ก็ผ่านไปแบบนั้น และกำลังจะกลายเป็นเวลาหนึ่งเดือน
…ควรทำยังไงกับคุณดีนะ
อีอูยอนครุ่นคิดพลางเคาะประตูห้องของอินซอบ พอไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เขาก็เปิดประตู
‘อยู่ไหนครับ’
คำตอบว่า ‘อยู่นี่’ ถูกส่งกลับมาจากในห้องน้ำ ต่อมาก็ได้ยินเสียงล้ม พอเปิดประตูออกจนสุด อินซอบที่ล้มอยู่บนพื้นก็เข้ามาในครรลองสายตา
‘ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ! จู่ๆ ก็ล้มเหรอครับ’
เขารีบร้อนวิ่งไปอุ้มอินซอบให้ลุกขึ้น
‘ไปโรงพยาบาลกันเถอะ เดี๋ยวผม…’
‘…ฉันลื่นล้มน่ะ’
อินซอบเอ่ยตอบทั้งหน้าแดง ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เขาคิดที่จะพูดกับอินซอบที่เดินบนพื้นที่มีน้ำเจิ่งนองอย่างไม่ระวัง
‘แล้ว…’
ตอนนั้นเองเขาก็เห็นร่างกายที่เผยให้เห็นผ่านเสื้อคลุมอาบน้ำที่แยกออกจากกัน ร่างกายที่ขาวและผอมบางของอินซอบที่แดงระเรื่อเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมา
ความต้องการที่ไม่สามารถกดไว้ได้ทะลักขึ้นมา เขารู้ว่าร่างกายนั้นจะตอบรับเขาด้วยวิธีแบบไหน เขารู้ว่าต้องลูบไล้ส่วนไหนอย่างไร รู้ว่าจะร้องแบบไหน รู้ว่ามีรสชาติอย่างไร และรู้ว่าต่อให้เหนื่อยแค่ไหนอีกฝ่ายก็จะพยายามตอบรับตนทุกทาง…
เขาจับข้อเท้าของอินซอบและดึงเข้าหาตน หว่างขาที่สัมผัสกันทำให้เกิดอารมณ์อย่างเต็มที่ เขาหายใจไม่ออก เพราะความต้องการที่รุนแรงได้พุ่งขึ้นมาถึงลำคอ เขากดให้อินซอบนอนลงบนพื้นและขึ้นคร่อม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเป็นพี่น้อง หรือจะเป็นอะไรเขาก็ชอบทั้งนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะกอดอินซอบและสอดใส่เข้าไปในนั้น…
‘ฮือ… …ฮึก’
วินาทีนั้นเขาก็เห็นอินซอบที่หวาดกลัวและกำลังน้ำตาไหลพรากๆ อยู่ใต้ร่างของตัวเอง เขารู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นสาด นี่ไม่ใช่ชเวอินซอบที่เขารู้จัก แต่เป็นปีเตอร์ที่อายุสิบเจ็ดปี และเป็นปีเตอร์ที่ไม่รู้จักเขา หรือตัวตนที่แท้จริงของเขาเลย
เขากัดฟันและระงับความต้องการไว้ จากนั้นก็ปลอบอินซอบที่ร้องไห้และออกไปจากห้อง และนั่นก็นำไปสู่การกินข้าวที่น่าอึดอัดราวกับกลืนเม็ดทรายลงไป
‘คุยกันหน่อยได้ไหมครับ’
‘วันนี้ฉันเหนื่อย…’
อินซอบที่หวาดกลัวราวกับลูกสัตว์กินพืชตอบโดยที่ไม่สบตา เขาตอบว่า ‘ได้ครับ’ และพยักหน้า เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ตัวเองก่อ
‘วันนี้ไม่ต้องอ่านหนังสือให้ฟังก็ได้ ฉันจะนอนเลย’
‘…เข้าใจแล้วครับ’
อีอูยอนยอมรับการลงโทษที่ตัวเองได้รับ แม้ช่วงกลางคืนจะมาถึง แต่เขากลับนอนไม่หลับ เขาเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่อินซอบสูญเสียความทรงจำ เขากังวลใจ เพราะรู้สึกเหมือนชเวอินซอบที่รักตนจะไม่กลับมา …ผมกลัวว่าคุณจะไม่รักผมอีกแล้ว
เขานั่งอยู่ที่โซฟาและจ้องมองประตูห้องของอินซอบ ความต้องการที่รุนแรงก่อตัวขึ้น เปิดประตูห้องไปแล้วข่มขืนอินซอบที่หลับอยู่ดีไหม ผมจะจับให้คุณนอนคว่ำหน้าและโลมเลียช่วงล่างจนกว่าจะบวมแดงก่อนจะสอดใส่เข้าไป จากนั้นก็จะแตกข้างในจนกว่าท้องจะนูนและกระแทกเข้าไปข้างในหลายๆ รอบ…จนกว่าได้คำว่าผมชอบคุณออกมาจากปากของคุณ
อีอูยอนลูบใบหน้าที่หยาบกระด้าง จากนั้นก็ลุกขึ้น เขากลืนยานอนหลับที่ไม่มีฤทธิ์ยาลงไป แล้วเหล้าที่วางอยู่บนชั้นในห้องรับแขกก็โผล่เข้ามาในสายตา เขาหยิบเหล้าออกมาหนึ่งขวด ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องหลับให้ได้
เขานั่งลงบนโซฟาและดื่มเหล้าจนหมดแก้ว
ควรทำยังไงดีนะ ถ้าใช้ชีวิตเป็นน้องชายที่เป็นคนดีไปเรื่อยๆ ถ้าทำแบบนั้น คุณจะอยู่ข้างๆ ผมไหม
เขาใช้เหล้าทำให้ความต้องการที่แห้งผากชุ่มชื้นขึ้น แต่ไม่ว่าจะเทเหล้าใส่ไปมากแค่ไหน ความต้องการนั้นก็ไม่สงบลงง่ายๆ
‘มีเรื่องที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีเหรอ’
คุณที่ทั้งอ่อนโยนและใจดีปรากฏตัวอย่างกะทันหันและเอ่ยถาม
‘เพราะวันนี้ผมแม่งโคตรอารมณ์เสียเลย’
เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่อยากเชื่อว่าอินซอบจำตัวเองไม่ได้ และเบื่อหน่ายกับการยึดติดกับความทรงจำที่ไม่กลับมา แม่งเอ๊ย เหี้ยฉิบหาย เขาอยากทำตัวอย่างที่อยากทำ เขาอยากจะอ้อนวอนขอให้รักเขา อยากจะจูบปาก ได้โปรด…
‘…ผมนอนไม่หลับ’
เขาคิดว่าถ้าหลับ พอลืมตาขึ้นมาอินซอบจะทิ้งเขาและหายไป เขาไม่รู้เหมือนกันว่าพระเจ้าให้โอกาสอินซอบหรือเปล่า โดยให้ลืมขยะอย่างเขาไป และใช้ชีวิตใหม่ที่ปกติ
‘งั้นฉันจะเล่านิทานให้ฟัง’
อินซอบจับมือและลากตนไป เขานอนลงบนเตียงและฟังเรื่องเล่าที่อินซอบเล่าอย่างไม่ชำนาญ เขาจำเนื้อหาไม่ได้ ผมก็แค่ชอบที่คุณอยู่ข้างๆ ผม…
‘…อูยอน’
เขาอยากตายทุกครั้งที่อีกฝ่ายเรียกตนแบบนั้น และชอบจนหายใจไม่ออก เขากอดอินซอบไว้และคิดพลางสูดกลิ่นกายที่หอมหวานของอีกฝ่าย ถ้าหากนี่เป็นความฝัน ผมก็ไม่อยากตื่น ผมจะได้อยู่ข้างๆ คุณไปเรื่อยๆ แบบนี้…
…
ตอนที่ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นอินซอบนอนหลับอยู่ข้างๆ และคิดในตอนแรกว่า เราก่อเรื่องแล้วสินะ ในขณะที่คิดแบบนั้น ความทรงจำของเมื่อวานก็ปรากฏขึ้นภายในหัวประปรายก่อนจะหายไป
แม่งเอ๊ย ก่อเรื่องจริงๆ ด้วย
เขาเสยผมที่ยุ่งเหยิงขึ้น สมองของเขาปลอดโปร่ง การนอนหลับสนิทที่ไม่ได้มีมานานแล้วหอมหวานมาก
อีอูยอนจับชายเสื้อของตัวเองและก้มมองอินซอบที่นอนหลับ ขนตาที่ขยับทุกครั้งที่หายใจ ปลายจมูกกลมมน ริมฝีปากเล็กๆ จอนผม ไฝที่เล็กถึงขนาดที่ไม่รู้ว่ามีหากไม่ตั้งใจสังเกต ต้นคอที่ตั้งตรง หลังที่ห่อไปด้านในเล็กน้อย และแขนที่ผอมบาง
“แม่ง”
เขาดึงแก่นกายที่แข็งตัวออกมา จากนั้นก็กำมือและเริ่มรูดสาว
‘…อูยอน’
เขานึกถึงเสียงที่เอ่ยเรียกตนเมื่อวาน และรู้สึกเหมือนลำคอถูกเผาไหม้ด้วยความปรารถนาที่เร่าร้อน เขาอยากปลุกอินซอบขึ้นมาตอนนี้และขอให้เรียกแบบนั้นอีกครั้ง เขาอยากจับอีกฝ่ายไว้จนไม่สามารถไปที่ไหนได้ และอยากทำให้เรียกแค่ชื่อของเขาจนกว่าคอจะแห้ง
เขาใช้สายตาโลมเลียขาผอมบางของอินซอบที่โผล่ออกมาใต้ผ้าห่มพลางขยับมือ
“อึก…แฮ่ก…”
หลังจากเสร็จใส่มือ อีอูยอนก็ปรับลมหายใจให้เข้าที่ อินซอบยังคงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
น่ารัก ทั้งสวยและน่ารักจนไม่สามารถทนได้ คนที่จำเราไม่ได้ และไม่ได้ชอบเรา…สวยได้ถึงขนาดนี้
เขาก้มตัวลงไปจูบอินซอบ เขาไล่ไปตามแก้ม ริมฝีปาก และเส้นผม…อินซอบหัวเราะเบาๆ และหดตัวหนีด้วยความจั๊กจี้ในขณะที่นอนหลับ การกระทำเล็กน้อยนั้นทำให้ความต้องการของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมา อีอูยอนลุกขึ้น เขาเข้าไปในห้องน้ำและยืนอยู่ใต้สายน้ำเย็นๆ พร้อมกับทำให้ความต้องการสงบลงอีกครั้ง แม้กระทั่งตอนที่มีอารมณ์ยังไม่เป็นถึงขนาดนี้เลย
ในระหว่างที่อาบน้ำเขาได้ยินเสียงอินซอบขยับ
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
“ปะ เปล่า ก็แค่ ไม่เป็นไร…ฉัน ไปก่อนนะ…”
คำตอบที่โง่เง่าถูกส่งกลับมา เพราะตกใจที่ลืมตาขึ้นมาในห้องของคนอื่น เขาหัวเราะ
แม่งเอ๊ย น่ารักพร่ำเพรื่อจริงๆ
พออาบน้ำเสร็จและออกมา เขาก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ เป็นกรรมการผู้จัดการคิมนั่นเอง
“ฮัลโหลครับ”
[อีอูยอน]
“มีอะไรครับ”
อีอูยอนเอียงคอเมื่อเห็นว่าผ้าคลุมเตียงหายไป
[ฉันเอง ถึงฉันจะทนและปล่อยผ่านเรื่องอื่นได้ แต่การไม่เข้าร่วมงานแถลงข่าวน่ะ ในฐานะนักแสดงมันเป็นการกระทำที่ไร้จิตสำนึกไปหน่อยหรือเปล่า]
“แต่ผมก็ไม่มีจิตสำนึกในฐานะมนุษย์อยู่แล้วนี่ครับ”
[ไอ้เวรนี่!]
“ผมบอกไปแล้วไงครับ ว่าผมจะพักจนกว่าความทรงจำของคุณอินซอบจะกลับมา”
[นี่! ไอ้บ้า!]
เสียงที่ดังก้องของกรรมการผู้จัดการคิมดังมาจากปลายสาย
“เกินไปแล้วนะครับ ความสามารถในการได้ยินเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักแสดงนะ”
[ไอ้บ้าเอ๊ย ฉันบอกแล้วไงว่างานแถลงข่าวน่ะไม่ได้ แค่โผล่หน้ามาให้เห็นแป๊บเดียวเอง มีอะไรยากขนาดนั้นเหรอ!]
“เพราะว่าช่วงนี้หน้าตาผมดูไม่ได้ครับ”
อีอูยอนส่องกระจกมองใบหน้าที่น่าพอใจของตัวเองพลางเอ่ยตอบ
[…พุ่งมาที่โซลเดี๋ยวนี้]
“ไม่ได้ครับ วันนี้ผมจะพาคุณอินซอบไปดื่มกาแฟ”
เขาคิดแบบนั้นทันทีที่ลืมตา ถึงแม้จะรู้ว่ามีโอกาสหนึ่งในร้อยที่ความทรงจำของอินซอบจะไม่กลับมา แต่ทำตัวดีๆ ให้เขาชอบเราได้ดีกว่า แม้จะไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่ก็ตาม แค่คิดว่าไม่มีเรื่องไม่ดี และสร้างแต่ความทรงจำที่ดีให้ก็พอแล้ว
[ถ้าความทรงจำของอินซอบกลับมาแล้ว และรู้ว่านายไม่เข้าร่วมงานแถลงข่าวอยู่เรื่อย เขาคงจะดีใจมากแน่ๆ เลย ด้วยความคิดของเด็กนั่นแล้ว…]
“เหอะ แม่งเอ๊ย”
อีอูยอนหัวเราะราวกับจะบอกว่าไร้สาระ จากนั้นก็พูดต่ออย่างเย็นชา
“กรรมการผู้จัดการครับ ต้องให้ผมพูดอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจครับว่าอย่าเอาคุณอินซอบมาทำให้ผมหวั่นไหว ความจำไม่ดีถึงขนาดนั้นได้ยังไงกันครับ”
[…]
“วางแล้วนะครับ”
[…แต่นี่เป็นผลงานที่อินซอบเลือกให้นะ]
เขาได้ยินเสียงห่อเหี่ยวจากปลายสาย อีอูยอนที่กำลังจะวางสายถอนหายใจ นี่เป็นความจริง อินซอบที่อ่านบทและตื่นเต้นตะโกนว่า ‘เล่นอันนี้เถอะครับ’ เขาจึงพูดว่า ‘ที่ว่าเล่นน่ะ เล่นอะไรเหรอครับ’ และกุมใบหน้าของอินซอบไว้พร้อมกับกดริมฝีปากของตัวเองลงไปริมฝีปากนั้น
[ไม่ใช่ว่าฉันใช้อินซอบมาทำให้นายหวั่นไหวหรอกนะ…แต่ไม่มีคนที่ชื่นชอบผลงานของนายได้เท่ากับเด็กนั่นอีกแล้ว]
นั่นไม่ใช่คำพูดที่ผิด อินซอบเก็บสะสมแผ่นพับและดีวีดีบลูเรย์ของทุกผลงานที่อีอูยอนแสดง อีกฝ่ายกรอภาพยนตร์เรื่องเดิมและดูซ้ำอยู่หลายสิบรอบ และมีเหตุการณ์ที่เขาพูดว่าเลิกดูหมอนั่นในจอโทรทัศน์ และมองผมสิครับพร้อมกับปิดโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น อินซอบก็จะยิ้มร่าโดยไม่พูดอะไร
“เฮ้อ…”
อีอูยอนถอนหายใจยาว กรรมการผู้จัดการคิมเข้าใจความคิดในใจของอีอูยอนได้ด้วยเสียงนั้น และบอกว่าจะส่งสถานที่กับเวลาให้ก่อนจะรีบตัดสายไป
อีอูยอนอ่านข้อความและโยนโทรศัพท์ทิ้ง มันเป็นเวลาที่ควรจะออกเดินทางตอนนี้เลย สุดท้ายเขาก็พาอินซอบไปที่โซลด้วย วินาทีที่เห็นอินซอบดูแลแมวทันทีที่เข้ามาในบ้าน ความโกรธที่ลืมไปแล้วก็พุ่งขึ้นมา
“งั้นที่ผ่านมาเจ้านี่อยู่ตัวเดียวเหรอ”
“พอดีมีคนที่ช่วยดูแลบ้านอยู่ ผมเลยฝากมันไว้น่ะครับ”
เขาขอให้ดูแลทรายกับอาหารสัตว์ และไม่ลืมฝากฝังให้พาไปโรงพยาบาลหากดูผิดปกติตรงไหน
“คงจะกลัวอยู่ตัวเดียวสินะ”
ลองพูดว่าผมเองก็กลัวอยู่คนเดียวเหมือนกันดีไหม ถ้าพูดแบบนั้นจะทำให้คุณไม่ทิ้งผมไปหรือเปล่า
อีอูยอนที่คิดอย่างไร้ประโยชน์ยิ้มอย่างขมขื่น
“ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรศัพท์หาผมนะครับ”
พอยื่นกระดาษที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้ อินซอบก็สังเกตพลางอ้อมแอ้มถาม
“…จะออกไปตอนนี้เลยเหรอ”
ก็ผมไม่สามารถจับคุณนอนคว่ำลงบนโต๊ะกินข้าว และมีอะไรกันเหมือนหมาได้ตอนนี้นี่ครับ อีอูยอนให้คำตอบที่เหมาะสมแทนคำที่อยากพูด
“ครับ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน”
“จะไม่เป็นไรเหรอ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ก็นายน่าจะเหนื่อยนี่ เพราะทั้งขับรถมาถึงที่นี่ ทั้งดื่มเหล้า…แล้วก็นอนไม่หลับด้วย…”
อินซอบพูดถึงแค่นั้น จากนั้นก็สังเกตสีหน้าของตนและถามว่า ‘…เมื่อคืนนอนหลับสนิทไหม’
อีอูยอนถอนหายใจยาว
ในที่สุดคุณที่เป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรเลยในวัยสิบเจ็ดปีก็สาธยายเหตุผลต่างๆ ที่ผมควรจะได้รับการดูแล เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว
“เชื่อผมไหมครับ”
“…ครับ”
“ผมถามว่าเชื่อผมไหม”
เขารู้สึกว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
อินซอบเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้ามึนงงและเอ่ยตอบว่า
เชื่อ
แค่นั้นก็พอแล้ว เขาคิดที่จะพูดทุกอย่างออกไปให้หมดและขอเวลาให้ตัวเอง
“งั้นรอนะครับ เดี๋ยวผมมา”
เขาเอ่ยลาอินซอบและออกจากบ้านไป หลังจากเข้าไปที่ร้านทำผมและเตรียมตัวเสร็จ เขาก็ตรงไปที่ศูนย์ประชุมที่จัดงานแถลงข่าว
เขายิ้มให้ตามสมควรและตอบคำถามที่ไร้ประโยชน์อย่างพอประมาณ จากนั้นก็ดูนาฬิกา จะกินข้าวหรือยังนะ
หลังจากตอบคำถามที่เหมือนขยะอีกสองสามข้อ และกล่าวชมนักแสดงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ เสร็จ เขาก็สามารถลุกไปจากที่ได้
เขาซื้อดอกไม้ในระหว่างทางกลับบ้าน
ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจการให้อวัยวะสืบพันธุ์ของพืชเป็นของขวัญ แต่เขาชอบใบหน้าของอินซอบที่มักจะทำตัวไม่ถูกและยิ้มออกมาในที่สุดเวลาที่เขาให้ช่อดอกไม้
เขาตั้งใจซื้อดอกไม้ช่อใหญ่ ใหญ่จนอินซอบน่าจะกอดได้ลำบาก เขาอยากเห็นท่าทางทุลักทุเลของอีกฝ่าย แค่จินตนาการถึงท่าทางนั้น ช่วงล่างของเขาก็ตึงแน่นแล้ว
อีอูยอนเหยียบคันเร่ง อินซอบบอกว่าเชื่อเขา แม้จะไม่สามารถขอให้ชอบตนได้ตอนนี้ แต่แค่นี้ก็พอแล้ว
เสียงแตรแหลมๆ ดังมาจากรถที่โดนปาดหน้าอย่างน่าหวาดเสียว อีอูยอนไม่สนใจและเหยียบคันเร่งต่อไป