พอมาถึงที่จอดรถ เขาก็จอดรถอย่างลวกๆ และเดินเข้าประตูหน้าบ้าน
วินาทีที่เซนเซอร์ของประตูหน้าบ้านทำให้ไฟเปิด ลางสังหรณ์ที่ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติก็ไต่ขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง เขามองไม่เห็นรองเท้าของอินซอบ
อีอูยอนเดินเข้าไปข้างในทั้งๆ ที่ยังสวมรองเท้าอยู่
“คุณอินซอบ”
ไม่มีคำตอบกลับมา บรรยากาศในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยความเงียบที่หนาวเหน็บราวกับจะยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ แม้จะค้นที่ห้องนอนกับห้องน้ำแล้ว แต่ก็ไม่เจออินซอบอยู่ดี แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคนที่ชั้นบน
“คุณอินซอบ!”
เขาวิ่งขึ้นไปชั้นบน แมวที่ออกมาจากห้องอ่านหนังสือเจอเขา มันตกใจและรีบหนีไป อีอูยอนเปิดประตูห้องอ่านหนังสือออกกว้าง ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย
อีอูยอนเสยผมขึ้นอย่างงุ่นง่าน
แม่งเอ๊ย…อยู่ที่ไหนกันแน่
แล้วแสงไฟของโน้ตบุ๊กที่กำลังกะพริบก็เข้ามาในครรลองสายตาของเขาที่เป็นแบบนั้น พอกดปุ่ม enter หน้าจอก็ถูกปลุกให้พร้อมใช้งาน เขาเช็กประวัติการเข้าชมอินเทอร์เน็ตและต่อสายหาโรงพยาบาลทันที
“สวัสดีครับ ผมโทรศัพท์มาเพราะมีเรื่องจะสอบถามครับ”
อีอูยอนพูดข้อมูลส่วนตัวของอินซอบ และถามว่าวันนี้คนไข้คนนี้ได้ไปที่โรงพยาบาลหรือไม่
[ไม่ได้มาค่ะ ไม่มีในประวัติการรักษานะคะ แล้ววันนี้ก็เป็นวันหยุดของอาจารย์จองด้วยจึงไม่สามารถเข้ารักการรักษาได้ค่ะ ไม่ทราบว่าจะสะดวกมาวันอื่น…]
อีอูยอนวางสายทันที
ไปไหนกันแน่นะ น่าจะมีเหตุผลที่ค้นหาโรงพยาบาลสิ แล้วทำไม…
“โธ่เว้ย!”
อีอูยอนจับโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือโยนทิ้ง ความโมโหตัวที่ทิ้งอินซอบไว้คนเดียวพุ่งขึ้นมา อีอูยอนต่อสายหาหัวหน้าทีมชา
“ฮัลโหล”
[…]
“อย่าแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเลยครับ”
[…ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ…มีเรื่องอะไร]
เนื่องจากเป็นความสัมพันธ์ที่ปกติแล้วจะไม่โทรศัพท์มาหาด้วยเรื่องส่วนตัว หัวหน้าทีมชาจึงถามอย่างฝืนใจ
“ได้รับการติดต่อจากคุณอินซอบบ้างไหมครับ”
[อินซอบเหรอ ทำไมคุณอินซอบต้องโทรศัพท์หาฉันด้วยล่ะ]
“ก็คราวก่อนคุณให้นามบัตรไปนี่ครับ”
อีอูยอนกดขมับไว้พลางพูด หัวของเขาเริ่มปวดราวกับจะแตก
[…นามบัตรนั้นโดนนายแย่งไปแล้วนี่]
“ไม่ได้ให้อีกเหรอครับ”
[ไม่ได้ให้ แล้วต่อให้ฉันจะให้ เด็กนั่นจะโทรศัพท์หาฉันเหรอ เพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง… …คุณอินซอบหายไปเหรอ]
“พอผมกลับมาที่บ้านหลังจากเสร็จงานแถลงข่าว เขาก็ไม่อยู่แล้วครับ”
[โอ๊ย เด็กนั่นไม่รู้เส้นทางในโซลนี่ แล้วจะไปที่ไหน…นี่ อย่าบอกนะว่านาย…]
“แม่ง ผมไม่ได้แตะต้องเขาครับ”
ถ้าแตะต้องก็คงไม่รู้สึกเสียใจหรอก อีอูยอนกลืนความโกรธที่พุ่งขึ้นมาลงไปในลำคอ
[นายอย่าลืมนะว่าสภาพจิตใจของเด็กนั่นคืออายุสิบเจ็ดปี ต่อให้โมโหยังไง…]
อีอูยอนตัดสายไป
อีกฝ่ายเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดที่ไม่มีความทรงจำอย่างที่หัวหน้าทีมชาพูด และไม่มีแม้กระทั่งที่ที่ควรจะไปในโซลด้วย คนที่เจอหลังจากที่ฟื้นขึ้นมานอกเหนือจากตนแล้วก็มีแค่หัวหน้าทีมชากับกรรมการผู้จัดการคิมเท่านั้น
…ไม่สิ มีอีกคนหนึ่ง
อีอูยอนโทรศัพท์หากรรมการผู้จัดการคิม
[อ้อ! อีอูยอน โทรศัพท์มาพอดีเลย วันนี้พีดีชมว่านายทำดีมาก…]
“ช่างหัวพีดีอะไรนั่นเถอะครับ ขอเบอร์โทรศัพท์ของหมอคนนั้นหน่อยครับ”
[หา? หมออะไร?]
“หมอที่ดูแลชเวอินซอบน่ะครับ”
[อาจารย์จองเหรอ จะเอาเบอร์โทรศัพท์ของอาจารย์ไปทำไมล่ะ]
“แม่งเอ๊ย รีบๆ ให้เบอร์โทรศัพท์มาเถอะครับ”
[นี่เป็นข้อมูลส่วนตัวนะ จะบอกให้รู้เลยได้ยังไงล่ะ ไหนๆ ก็พูดถึงแล้ว ขอพูดอะไรสักหน่อยเถอะ นายรู้ไหมว่าการนัดอาจารย์จองมันยากขนาดไหน ฉันต้องขอร้องพ่อถึงจะนัดได้เลยนะ แต่นายดันไปพูดจาไร้มารยาทต่อหน้าคนคนนั้น…]
“กรรมการผู้จัดการ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างน่าหวาดกลัว ไม่จำเป็นต้องพูดคำอื่นหรือสาธยายอะไรต่ออีกแล้ว กรรมการผู้จัดการคิมเผลอกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว เพราะความน่ากลัวที่รู้สึกจากปลายสาย
“ส่งเบอร์โทรศัพท์มาทีครับ”
[…อืม]
เขาวางสาย ผ่านไปไม่นาน ข้อความที่กำชับว่าห้ามฆ่าอาจารย์จองก็ถูกส่งมาพร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ จะฆ่าหรือไม่ฆ่าเป็นปัญหาที่เอาไว้ทีหลัง อีอูยอนต่อสายหาหมอ
[ครับ สวัสดีครับ]
เขาได้ยินเสียงของผู้ชายที่มีอายุพอสมควรจากปลายสาย
“สวัสดีครับ ผมอีอูยอนที่ไปเป็นเพื่อนในฐานะผู้ดูแลของคนไข้ที่เข้ารับการตรวจรักษาเมื่อสองวันก่อนนะครับ ผมติดต่อมาเพราะมีเรื่องจะเรียนถามครับ”
อีอูยอนอธิบายจุดประสงค์ที่โทรศัพท์มาอย่างแห้งเหี่ยว
[อ๋อ คนที่ประธานคิมแนะนำมา ครับ สวัสดีครับ มีเรื่องอะไรหรือครับ]
“ผมอยากทราบข้อมูลที่คนไข้ปรึกษาคุณหมอในระหว่างการรักษาเมื่อสองวันก่อนน่ะครับ”
ในระหว่างที่คุยโทรศัพท์ อีอูยอนก็สำรวจทั่วทุกห้องของชั้นสอง เพราะเขาคิดว่าบางทีอินซอบอาจจะนอนหลับอยู่ที่ไหนสักที่ก็ได้
[ขอโทษด้วยครับ ผมไม่สะดวกใจที่พูดให้ทราบ เพราะนั่นเป็นความลับระหว่างหมอกับคนไข้ครับ]
หมอส่งเสียงหัวเราะอย่างคนดีมาให้พลางเอ่ยตอบ อีอูยอนถอนหายใจเบาๆ
“หมอครับ”
เสียงของอีอูยอนอ่อนโยนและนุ่มนวลเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ นี่เป็นเหตุผลที่เขาถูกเลือกให้เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคนดังที่อยากไปชมดอกไม้ด้วยในฤดูใบไม้ผลิหลายปีซ้อน หัวหน้าทีมชามักจะกัดฟันกรอดและบอกว่า ‘เฮ้อ ไอ้ฝุ่นเหลือง[1]เอ๊ย’ ทุกครั้งที่ได้ยินผลสำรวจ
“เนื่องจากคนไข้คนนั้นหายไป ผมเลยกำลังตามหาอยู่ครับ”
พอเปิดประตูห้องที่อินซอบเคยใช้ แมวที่ซ่อนอยู่ข้างในก็ร้องเหมียวเบาๆ และหนีออกมา เขาอยากจะจับคอแมวมาเขย่าและถามว่ารั้งเจ้านายแกไว้ไม่ได้เลยเหรอ
[คนไข้หายไปเหรอครับ]
“ก็อย่างที่พูดครับ แต่ถ้าตอนนี้ผมหาเขาไม่เจอ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจะเป็นยังไงต่อไป”
อีอูยอนพูดว่า ‘อ๋อ จริงด้วย’ และพูดต่อ
“ถ้าหาเขาไม่เจอ ผมจะฆ่ากรรมการผู้จัดการคิมก่อน เพราะผมเองก็จำเป็นต้องระบายความโกรธใส่คนที่ไม่ผิดสักคนเหมือนกันครับ”
[ครับ? พะ พูดว่าอะไรนะครับ ตอนนี้คุณจะทำอะไร…]
“แล้วถ้าเวลาผ่านไป ผมก็จะแวะไปที่บ้านของคุณหมอด้วยครับ ไม่จำเป็นต้องบอกที่อยู่ให้ผมรู้หรอกนะครับ เพราะผมจะไปหาด้วยตัวเอง”
อีอูยอนเคาะนิ้วกับโต๊ะเขียนหนังสือของอินซอบและพูด
“เพราะฉะนั้นผมจะถามอีกครั้ง คราวนี้ช่วยคิดดีๆ ก่อนตอบด้วยนะครับ ข้อมูลที่คนไข้ปรึกษาวันนั้นคืออะไรครับ ผมหวังว่าคุณหมอจะช่วยตอบให้ตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะตรงได้นะครับ”
***
เขาวิ่งจนหายใจแทบไม่ไหว เขาวิ่งจากทางเข้าไปจนถึงทางออกและดูคนที่ผ่านไปทีละคนราวกับเสียสติ แต่ก็ไม่เห็นอินซอบเลย
“แม่งเอ๊ย ให้ตายสิ…”
อีอูยอนเสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้น
‘เขาบอกว่าคนคนเดิมโผล่มาในฝันทุกวันครับ เขาบอกว่าจำไม่ได้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่เหมือนจะเป็นคนที่คบอยู่ ผมจึงวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ และแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ก็ให้ไปพบกับคนคนนั้นครับ และบอกว่านอกจากเรื่องนั้นแล้ว สถานที่ที่ปรากฏในฝันก็มีส่วนช่วยเหมือนกันครับ แล้วผมก็บอกให้เขาลองไปที่นั่นดู…’
อินซอบที่ออกมาจากโรงพยาบาลในวันนั้นถามว่าจะสามารถพาตนไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำได้ไหม เขาจึงพาอีกฝ่ายไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำใกล้โรงพยาบาลโดยไม่คิดอะไร ตอนนั้นอินซอบถามเขาแบบนี้
‘ฉันเคยมาที่นี่กับนายไหม’
ราวกับคนที่รู้อะไรบางอย่าง
อีอูยอนขับรถตรงไปที่อควาเรียมที่เคยไปกับอินซอบเมื่อหนึ่งปีก่อน นี่เป็นสถานที่เดียวที่ชเวอินซอบจำได้ เขาคิดว่าถ้าอีกฝ่ายจะไปที่ไหน ก็คงเป็นที่นี่เท่านั้น
แต่ถึงเขาจะวิ่งไปมาจนหายใจได้ไม่ปกติ เขาก็ยังหาอินซอบไม่เจอ เขาแทบเป็นบ้า ถ้าอินซอบหายไปแบบนี้ …อยู่ที่ไหน ต้องทำยังไง…
“ขอโทษนะคะ ใช่คุณอีอูยอนหรือเปล่าคะ”
ใครบางคนพูดกับอีอูยอนที่ยืนใจลอย อีอูยอนหันไปมองรอบๆ อย่างกระวนกระวายใจ แม้อีกฝ่ายจะพูดด้วยอีกหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะสบตาเลย
“อะไรเนี่ย ไม่ใช่อีอูยอนเหรอ”
“เหมือนจะใช่อีอูยอนนะ”
อีอูยอนมองผู้หญิงที่เดินห่างออกไปพร้อมกับพูดว่าโชคไม่ดีเลย แล้วก็มีภาพหนึ่งโผล่มาในหัว
อีอูยอนหมุนตัวก่อนจะออกวิ่ง ประตูที่มีป้ายห้ามคนอื่นนอกเหนือจากผู้เกี่ยวข้องเข้าออกติดไว้ถูกเปิดออกกว้าง อินซอบที่นั่งห่อตัวอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ วินาทีที่เห็นใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา อีอูยอนก็คิดว่า เราคงจะตายโหงเพราะหมอนั่นเข้าสักวันแน่ๆ
“มาทำอะไรตรงนี้กันแน่ครับ แล้วมาที่นี่ได้ยังไง…”
“…บอกว่าห้ามเข้ามาไง…”
“พูดว่าอะไรนะครับ”
“ทำไมนายถึง…มาที่นี่…ไม่สิ ไม่ ทำไม…”
อินซอบน้ำตาหยดแหมะๆ และพูดคำพูดที่ไม่มีเหตุผลวกไปวนมา อีอูยอนถอดเสื้อโค้ตที่กำลังสวมอยู่ออกและห่มให้อินซอบ
“อย่าเป็นแบบนี้เลยครับ ลุกขึ้นก่อนเถอะ คุณจะเป็นหวัดเอาได้”
“…”
อินซอบส่ายหน้า อีอูยอนเลิกโน้มน้าว เพราะเขารู้ดีว่าแม้จะเป็นคนอ่อนโยน แต่ก็ดื้อกว่าใคร อีอูยอนก้มตัวลง เขาห่ออินซอบด้วยเสื้อโค้ตก่อนจะอุ้มขึ้นมา
“ทำอะไร…ปล่อย…”
“อยู่นิ่งๆ ครับ”
“ปล่อยฉันลง ฉัน ฉัน…”
“บอกให้อยู่นิ่งๆ ไง!”
อินซอบกลั้นหายใจและห่อตัว ด้วยเหตุนั้นน้ำตาที่เกาะอยู่บริเวณดวงตาจึงหยดลงมา เส้นเลือดปรากฏบนหลังมือของอีอูยอนที่อุ้มอินซอบไว้
“…ขอร้องล่ะครับ ไปคุยกันที่รถนะครับ”
อินซอบไม่ตอบอะไร อีอูยอนอุ้มอินซอบไว้อย่างนั้นและเดินไปที่ที่จอดรถไว้ เขาจับอินซอบนั่งลงที่ที่นั่งข้างคนขับ ส่วนตัวเองก็นั่งลงตรงที่นั่งฝั่งคนขับ เขาเปิดฮีตเตอร์ให้แรงที่สุดและสังเกตสีหน้าของอินซอบ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ บาดเจ็บตรงไหน…”
อินซอบดันมือของอีอูยอนออก อีอูยอนก้มมองมือของตัวเองและแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมครับ”
อินซอบส่ายหน้า ดวงตาที่บวมแดงเพราะร้องไห้อย่างหนักเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตา
พอนึกถึงอินซอบที่ร้องไห้อยู่คนเดียวในที่ที่ตัวเองไม่เห็น อีอูยอนก็กังวลใจมาก
“ร้องไห้ทำไมครับ”
“…”
“เป็นแบบนั้นเพราะผมเหรอครับ ผมทำอะไรผิดเหรอครับ”
อินซอบปิดปากแน่นและส่ายหน้า ราวกับคนที่ทำได้แค่นั้น
“ไปโรงพยาบาลกันครับ ไปตรวจร่างกายก่อน…”
“…ไม่ต้องไปก็ได้”
“การสับสนในระหว่างที่ความทรงจำกลับมาเป็นเรื่องปกติครับ เพราะฉะนั้น…”
“…กลับ กลับบ้านได้ไหม”
น้ำเสียงที่ถูกกดด้วยการร้องไห้ประกาศความคิดของตัวเองอย่างดื้อรั้น
“เราสัญญากันแล้วนี่ครับว่าถ้าป่วยจะไปโรงพยาบาลโดยไม่มีข้อแม้”
“…ไม่เคยสัญญานะครับ สัญญาแบบนั้นน่ะ ฉัน…ฉันไม่ได้ทำ”
อินซอบตอบตะกุกตะกัก จากนั้นก็พูดเสริมว่า “ฉันอยากกลับบ้าน”
“แล้วทำไม…”
มือของอินซอบที่กำลังสั่นเทาโผล่มาในครรลองสายตาของอีอูยอน แล้ววินาทีนั้นเขาก็ได้รู้ ว่า ‘บ้าน’ ที่อินซอบพูดถึงตั้งแต่เมื่อกี้ไม่ใช่ ‘บ้าน’ ที่พวกเขาสองคนอยู่
[1] ฝุ่นเหลือง คือ ทรายที่ถูกพัดเข้ามาจากทะเลทรายของจีนและมองโกเลีย