ตอนที่ 369 เยี่ยมเยียนถึงบ้าน
หลิวเสวี่ยวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา “วันนั้นเราไม่ได้ทิ้งข้อมูลการติดต่อกันและกันไว้ ฉันอยากไปหาคุณก็ไปไม่ได้”
หลินม่ายได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ว่าเป็นไปได้สูงที่ผู้อำนวยการหลิวคงคิดจะมอบโครงการนั้นให้เธอ พลันนึกครึ้มในใจ
นอกจากเรื่องนี้แล้ว หลิวเสวี่ยเองก็ไม่มีเรื่องอื่นที่ต้องรีบร้อนมาหาเธอ
หลินม่ายคาดเดาอยู่ในใจเช่นนั้น แต่เบื้องหน้ากลับแกล้งทำเป็นสับสนมึนงง เธอถาม “คุณตามหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
เมื่อครู่นี้หลิวเสวี่ยพลั้งปากเอ่ยคำพูดนั้นออกมาด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้พบกับหลินม่าย
หลังเอ่ยออกไปแล้วเธอก็นึกเสียใจขึ้นมา
แม้จะรู้สึกร้อนใจ อยากให้พ่อของตนกับหลินม่ายบรรลุข้อตกลงกันเร็วๆ เธอจะได้เอาตู้เย็นมาเร็วขึ้นสักหน่อย แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้หลินม่ายอ่านทางได้
บางทีหากถูกหลินม่ายมองขาด อำนาจในการตัดสินใจก็จะอยู่ในมือของหลินม่าย
หลิวเสวี่ยบังคับให้ตัวเองสงบลง แล้วพูดอย่างสบายๆ “ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าหากให้ข้อมูลการติดต่อกันเอาไว้คงจะสะดวกกว่า”
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เผยความจริง หลินม่ายเองก็ไม่ซักไซ้ เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่นสินะคะ”
ทั้งสองมากินข้าวที่โรงแรมนั้นที่เคยมาครั้งก่อน หลังจากขอยืมปากกากระดาษจากพนักงานแล้ว พวกเธอก็นั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งริมหน้าต่าง แล้วให้เบอร์โทรศัพท์ของกันและกัน
หลินเสวี่ยหยิบเบอร์โทรศัพท์ของหลินม่ายมาแล้วถามขึ้น “เป็นโทรศัพท์ที่ทำงานของคุณเหรอคะ?”
หลินม่ายรินชาเก๊กฮวยให้หลิวเสวี่ยและตัวเองคนละแก้ว “เปล่าค่ะ เป็นโทรศัพท์ที่บ้านของฉันเอง”
หลิวเสวี่ยค่อนข้างอึ้ง “คุณมีโทรศัพท์บ้านเหรอ? คุณเป็นเจ้าหน้าที่รับระสูงของโรงงานเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ค่ะ” หลินม่ายดื่มชาเก๊กฮวยอึกหนึ่ง “ฉันไม่มีแม้แต่หน่วยงานว่าจ้างเลยค่ะ จะไปเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ยังไง? เรียกว่าผ้าขี้ริ้วก็ไม่เชิงนัก”
หลิวเสวี่ยถูกเธอจี้เส้นเข้าแล้ว “แล้วคุณมีโทรศัพท์บ้านได้ยังไงเหรอ?”
หลินม่ายพูด “ฉันเปิดโรงงานเสื้อผ้าหนึ่งแห่ง และทำสัญญารับเหมาตลาดสดของรัฐอีกหนึ่งแห่ง เบื้องบนเลยอนุมัติโทรศัพท์บ้านให้ฉันเป็นพิเศษ เพื่อให้สะดวกต่อการทำธุรกิจน่ะค่ะ”
เธอจงใจเปิดเฉยข้อมูลนี้ เพื่อให้ผู้อำนวยงานหลิวรู้ว่าเธอเองก็เส้นสายเครือข่ายเช่นกัน
หลิวเสวี่ยร้องอ๋อขึ้นคำหนึ่ง
หลินม่ายหยิบชุดซิ่วเหอที่เถาจืออวิ๋นทำและดอกกุหลาบที่ตนทำให้เธอขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าที่พกมา “ฉันให้คุณค่ะ”
หลิวเสวี่ยเห็นสิ่งของเหล่านั้นแล้วดวงตาก็เปล่งประกายราวกับหลอดไฟ ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เธอหยิบเสื้อตัวบนของชุดซิ่วเหอขึ้นมาทาบบนร่างกาย แล้วถามขึ้นอย่างเหลือเชื่อ “ให้ฉันจริงๆ เหรอคะ?”
หลินม่ายพูดอย่างเคืองๆ “ซิ่วเหอมีแต่เจ้าสาวถึงจะใส่ได้ ในบรรดาคนที่ฉันรู้จักตอนนี้ก็มีแค่คุณคนเดียวที่จะได้เป็นเจ้าสาว ถ้าไม่ให้คุณ แล้วยังจะให้ใครได้อีกล่ะ?”
หลิวเสวี่ยพูดด้วยสีหน้าชื่นบาน “ขอบคุณนะคะ”
ในตอนนั้นเอง พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ
หลินม่ายรับอาหารวางลงเบื้องหน้าหลิวเสวี่ย “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง
เดิมทีฉันอยากจะทำชุดเจ้าสาวให้คุณ แต่ชุดเจ้าสาวเป็นสีขาว ฉันกลัวว่าผู้อาวุโสของบ้านคุณจะรับไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ทำชุดซิ่วเหอ ยังกลัวว่าคุณจะไม่ชอบอยู่เลยน่ะค่ะ”
“งดงามขนาดนี้ ไม่มีทางไม่ชอบอยู่แล้ว!” หลิวเสวี่ยพับชุดซิ่วเหอให้เรียบร้อย แล้ววางไว้บนเก้าอี้ว่างข้างๆ
จากนั้นจึงหยิบดอกกุหลาบที่หลินม่ายทำให้ขึ้นมาดู ก่อนวางไว้บนชุดซิ่วเหอ
เธอหยิบตะเกียบขึ้นเริ่มกินอาหาร พลันเอ่ยเข้าประเด็น “พ่อของฉันอยากจะพบคุณสักครั้ง คุณนัดเวลาและสถานที่มาสิคะ”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ไม่สู้ให้ฉันไปที่บ้านคุณในฐานะเพื่อนสนิทแล้วพบหน้าพ่อของคุณ แบบนี้จะดีกว่าออกมาเจอกันข้างนอกนะคะ
พ่อของคุณมีโครงการอยู่ในมือ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีใครกี่คนที่กำลังจับจ้องเขาอยู่
ถ้าหากฉันเจอกับพ่อคุณข้างนอก คนอื่นก็รู้อย่างเร็วรวด
ถึงตอนที่พ่อคุณมอบโครงการให้กับฉัน ก็ไม่รู้ว่าจะมีข่าวลือที่ไม่เป็นผลดีต่อพ่อคุณออกมายังไงบ้าง
ถ้าฉันไปที่บ้านคุณก็จะไม่เกิดเรื่องกวนใจพวกนี้ขึ้น คุณใกล้จะแต่งงานแล้ว เพื่อนสนิทของคุณจะไปหาที่บ้านก็เป็นเรื่องธรรมดา”
หลิวเสวี่ยลังเลขึ้นมา “แต่สุดท้ายเมื่อมอบโครงการให้คุณแล้ว คนอื่นก็ตรวจสอบเจออยู่ดี”
หลินม่ายไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วพูด “อย่างนั้นฉันจะส่งคนไปเซ็นสัญญากับพ่อคุณ คนอื่นก็ตรวจสอบมาถึงฉันไม่ได้ง่ายๆ แล้ว”
หลิวเสวี่ยเอ่ยตอบรับ กินอาหารด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วขอตัวกลับก่อนโดยอ้างว่ามีธุระ
เธออยากจะอวดชุดซิ่วเหอและดอกไม้แสนสวยที่หลินม่ายให้เธอกับแม่หลิวแทบทนรอไม่ไหว
หลินม่ายให้พนักงานช่วยซื้อกล่องข้าวให้สองใบ ห่ออาหาร กลับแล้วจึงเดินออกไป
เมื่อหลิวเสวี่ยกลับมาถึงบ้าน แม่หลิวก็ถามขึ้นทันที “เจอเสี่ยวหลินไหม ได้บอกเธอเรื่องที่พ่อลูกอยากเจอเธอแล้วหรือเปล่า?”
เช่นเดียวกับลูกสาวของเธอ ที่เฝ้ากังวลถึงแต่ตู้เย็นโตชิบาของหลินม่าย อยากจะให้สามีทำข้อตกลงเรื่องโครงการพัฒนาเมืองกับหลินม่ายเร็วๆ ตู้เย็นแต่งงานนี้จะได้มั่นคงเสียที
“เจอแล้วค่ะ และนัดวันนัดพบเอาไว้แล้วด้วยค่ะ เสี่ยวหลินบอกว่า เธออยากจะมาเยี่ยมคุณพ่อที่บ้านเราค่ะ”
ผู้อำนวยการหลิวขมวดคิ้ว “คนคนนี้ทำไมถึงไม่รู้อะไรควรไม่ควรขนาดนี้ อยากจะเข้าบ้านฉันเลยเชียวเหรอ!”
ใครขอให้เขาช่วยทำเรื่องอะไรให้ เขาก็ไม่เคยให้ใครเข้าบ้านของเขาง่ายๆ เลยสักครั้ง
เพราะกลัวว่าหลังจากที่คนพวกนั้นได้เข้ามาบ้านของเขาแล้ว ก็จะมา รบกวนเขาที่บ้านบ่อยๆ
หลิวเสวี่ยค้อนตาใส่พ่อของเธอ “เสี่ยวหลินไม่ได้ไม่รู้อะไรควรไม่ควรเสียหน่อย เธอทำแบบนี้ก็เพราะวางแผนมาแล้ว”
จากนั้นเธอก็บอกแผนของหลินม่ายให้พ่อของเธอฟัง
แม่หลิวพยักหน้ารัวๆ “เด็กคนนี้วางแผนมาอย่างดีเลยทีเดียว ไม่รู้อะไรควรไม่ควรตรงไหนกัน?”
พูดจบ ก็ค้อนตาใส่ผู้อำนวยการหลิวด้วยอีกคน
ผู้อำนวยการหลิวคาดไม่ถึงว่าที่หลินม่ายจะมาที่บ้านเขา เป็นการกระทำด้วยความตั้งใจดี จึงค่อนข้างคาดหวังที่จะได้พบกับเธอขึ้นมาเล็กน้อย
อยากเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงเช่นไรกันแน่ ถึงได้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนรอบคอบขนาดนี้
เมื่อคุยประเด็นหลักเสร็จแล้ว ในที่สุดหลิวเสวี่ยก็สามารถอวดชุดซิ่วเหอและดอกกุหลาบที่หลินม่ายให้เธอมาได้แล้ว
เมื่อแม่หลิวเห็นดอกไม้และชุดซิ่วเหอชุดนั้นแล้ว ก็ตื่นเต้นดีใจเสียยิ่งกว่าลูกสาว พลันชื่นชมในน้ำใจของหลินม่าย
การสวมซิ่วเหอแต่งงานนั้น ทั้งได้หน้าได้ตาและยังงดงามยิ่งกว่าชุดเดรสสีแดงชุดนั้นมากมายนัก
เธอพูดกับหลิวเสวี่ยด้วยสีหน้าชื่นบาน “ลูกบอกกับเสียวหลินสักคำสิ ว่าวันนั้นเราจะถือโอกาสกินอาหารเย็นกันด้วยเลย แม่จะทำของอร่อยๆ ให้เธอกินเอง”
หลิวเสวี่ยลองชุดซิ่วเหอไปพลางพูดไปพลาง “เดี๋ยวกินข้าวเย็นเสร็จแล้วค่อยโทรนะคะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่บ้านแล้วหรือยัง”
แม่หลิวนั้นไม่ต่างจากเธอ พลันประหลาดใจที่หลินม่ายมีโทรศัพท์บ้าน หลิวเสวี่ยจึงเล่าที่มาที่ไปให้เธอฟัง
ผู้พูดไม่คิดอะไร แต่ผู้ฟังกลับคิด
ผู้อำนวยการหลิวครุ่นคิดอย่างเงียบงันอยู่อีกด้านหนึ่ง
หลินม่ายคนนี้ต้องมีเส้นสายอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงติดตั้งโทรศัพท์ที่บ้านไม่ได้ ทั้งทำอะไรยังใจกว้าง หากตนมอบโครงการให้เธอ ก็น่าจะได้ประโยชน์มากโดยที่ไม่มีอะไรเสียหาย
ไม่แน่ว่าอาจจะได้รู้จักคนใหญ่คนโตที่อยู่เบื้องหลังผ่านทางเธอก็ได้ ซึ่งอาจจะช่วยในการเลื่อนตำแหน่งของเขาด้วย
ตอนเย็นหลินม่ายได้รัยโทรศัพท์ของหลิวเสวี่ย และตกลงไปกินอาหารเย็นในวันที่ไปพบกับผู้อำนวยการหลิวที่บ้านของเธอด้วยความยินดี
สองวันต่อมา หลินม่ายหิ้วของขวัญมากมายไปที่บ้านของหลิวเสวี่ยพร้อมกับเธอ
แม่หลิวเห็นของขวัญของหลินม่ายนั้นไม่เพียงมากมายเท่านั้น ยังมีมูลค่าสูงอีกด้วย จึงรู้สึกประทับใจต่อเธออย่างมาก
และเมื่อเห็นว่าของขวัญทั้งหมดที่เธอให้นั้นล้วนซื้อใจได้เต็มๆ ที่ซื้อมาเป็นของที่พวกเขาชอบทั้งนั้น ทั้งยังใส่ใจไปถึงหลานตัวน้อยทั้งสองคนอีกต่างหาก ความประทับใจที่มีต่อเธอยิ่งดีขึ้นไปอีก พลันดีอกดีใจจนยิ้มไม่หุบ
ผู้อำนวยการหลิวแอบพิจารณาหลินม่ายอย่างลับๆ สาวน้อยคนนี้ยังเด็กขนาดนี้ ทั้งดูเหมือนว่าจะอายุน้อยกว่าลูกสาวของตนเสียอีก แต่กลับรู้จักเอาอกเอาใจผู้อื่นขนาดนี้
ลูกสาวของตนเทียบกับเธอแล้ว ดูซื่อบื้อไปเลย
ขณะกินอาหาร ครอบครัวของผู้อำนวยการหลิวส่งไมตรีจิตให้หลินม่ายเป็นพิเศษ พากันคีบอาหารใส่ถ้วยของเธอไม่หยุด
หลังจากอาหารเย็นมื้อใหญ่ ผู้อำนวยการหลิวก็พาหลินม่ายมายังห้องของตัวเอง เขาหยิบพิมพ์เขียวสะพานยกระดับขนาดใหญ่ใบหนึ่งขึ้นมา “คุณลองดูก่อน ว่าโครงการนี้คุณกล้ารับไหม และรับได้หรือเปล่า
ถ้าหากหยิ่งผยองในความสามารถ จนไม่ทำอย่างเงียบๆ ไม่ได้ ผมแนะนำว่าคุณอย่ารับเลย
โครงการพัฒนาเมือง จะเกิดปัญหาขึ้นมาไม่ได้แม้แต่น้อย และยิ่งไม่อาจให้เป็นโครงการก่อสร้างที่ไม่มีคุณภาพ
หากเกิดสถานการณ์สองอย่างนี้ขึ้น ผมกับคุณได้จบเห่กันหมดแน่”
ในชาติก่อนหลินม่ายไม่เคยข้องเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองมาก่อน จะรับมอบโครงการนี้ได้หรือมานั้นเธอก็ยังไม่แน่ชัด
เธอดูพิมพ์เขียวอยู่หลานรอย แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพูด “ตอนนี้ฉันยังให้คำตอบคุณไม่ได้ จะต้องให้มืออาชีพมาดูก่อนถึงจะรู้ว่าสามารถรับได้หรือเปล่า”
ผู้อำนวยการหลินเห็นว่าเธอไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ต้องการรับโครงการนี้ ที่พูดว่าตนสามารถรับหน้าที่นี้ได้โดยไม่ใคร่ครวญเลยแม้แต่น้อย เพื่อที่จะฮุบเงินเท่านั้น แต่กลับบอกว่าต้องหามืออาชีพมาดูก่อนค่อยว่ากัน ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างพึงพอใจกับทัศนคติที่เคร่งครัดของเธอ
เขาพยักหน้าเห็นด้วย เพียงแค่กำชับให้ดำเนินการเร็วหน่อยเท่านั้น
แม้ว่าโครงการนี้จะไม่ใหญ่นัก แต่เบื้องบนก็ให้ความสำคัญมาก และหวังว่าจะสามารถดำเนินงานได้โดยไว
ตอนที่กลับมาจากบ้านผู้อำนวยการหลิวก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว
หลินม่ายมุ่งหน้าไปที่บ้านอย่างเร่งรีบ
เพิ่งจะเดินออกมาจากหมู่บ้านของครอบครัวหลิวเสวี่ย เธอก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อของเธอ
เสียงนั้นคือน้ำเสียงอันคุ้นเคย
เธอหันไปมอง ฟางจั๋วหรานอุ้มฉีฉีเดินเข้ามาหาเธอ
หลินม่ายรู้สึกอุ่นวาบในใจ เธอเอ่ยอย่างเคืองๆ “ตอนกินมื้อเที่ยงฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้คุณกับโต้วโต้วกินข้าวเย็นเสร็จแล้วรออยู่ที่บ้าน
แล้วทั้งสองคนมาได้ยังไงกัน?
อย่านึกว่าตอนกลางคืนข้างนอกจะเย็นสบายนะ อากาศยังร้อนอยู่มาก พวกคุณเองก็ไม่กลัวร้อนเอาเสียเลย”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรหรอก”
หลินม่ายบ่นจู้จี้ต่อไป “ต่อไปห้ามทำแบบนี้อีกนะ พวกคุณต้องทนร้อนแล้วฉันรู้สึกไม่ดีเลย”
“แต่คุณกลับบ้านดึกแล้วผมไม่สบายใจนี่”
หลินม่ายกุมขมับ “นี่มันหน้าร้อน แถมยังเพิ่งสองทุ่ม บนถนนมีคนตั้งเยอะ จะไปอันตรายอะไรได้?”
“ผมรู้สึกว่าอันตราย มันก็ต้องอันตรายแน่นอน!” จู่ๆ ฟางจั๋วหรานก็แข็งกร้าวขึ้นมา
หลินม่ายกระพริบตามองชายหนุ่มข้างกาย รู้สึกว่าท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้ของเขาช่างเท่จริงๆ!