บทที่ 352 คุณชายหวังว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตรอดปลอดภัย!
หือ!?
ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง!
ภายในใจผู้อาวุใหญ่อึดอัดจนอยากร้องไห้ออกมาแต่ไม่มีน้ำตา
ก่อนหน้านี้ที่ผู้นำตระกูลยังไม่ตาย ทุกอย่างล้วนถูกตัดสินใจโดยผู้นำตระกูล
หลังจากผู้นำตระกูลตายไป ผู้อาวุโสสูงสุดหานอู่หยาก็กลายเป็นผู้ตัดสินใจ ส่งร่างแยกกลับมาปลุกผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหกท่านไป
เขาเพิ่งจะได้มาตัดสินใจเองก็ตอนนี้!
ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการตัดสินใจของผู้นำตระกูลและหานอู่หยา
หากมหาจักรพรรดิต้องการตีก็ควรไปตีผู้นำตระกูลและหานอู่หยา ไม่ใช่เขาที่ต้องถูกตีอย่างไม่เป็นธรรม!
ทว่าเขาก็ทำได้แต่เพียงกู่ร้องออกมาในใจ ไม่กล้าจะพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมา
แต่ตอนนี้ใช่เวลาจะมาเรียกร้องความเป็นธรรม หากเขาโต้แย้งมหาจักรพรรดิขึ้นมาล่ะก็…เขาคงจะถูกมหาจักรพรรดิตีจนตาย!
“ท่านบรรพชน ท่านคิดว่าตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี?”
เขากล่าวออกมาด้วยความระมัดระวัง
“จะทำอะไรได้อีก? บัดซบ! จะทำอะไรได้อีกนอกจากรอให้พวกยอดนิกายมาหาถึงหน้าประตูบ้าน!”
มหาจักรพรรดิขาดสติกล่าวออกมาด้วยความโกรธ
สถานการณ์ร้ายแรงเกินไป พวกเขาไม่มีหนทางแก้ไขชดเชยได้เลย
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งเจ็ดล้วนตายตก แสดงให้เห็นว่าพวกยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังพวกหลี่จิ่วเต้ารู้เรื่องนี้แล้ว
แม้เขาจะเป็นมหาจักรพรรดิ แต่ตอนนี้ก็ไม่เหมือนวันวานแล้ว
จะให้ไปต่อสู้กับยอดนิกายเบื้องหลังพวกหลี่จิ่วเต้าแบบตายกันไปข้างหนึ่งงั้นหรือ?
คิดอะไรอยู่!
ยอดนิกายนั้นน่าเกรงขามและน่าหวาดกลัวมากเกินไป เกินกำลังกว่าที่มหาจักรพรรดิใกล้ตายอย่างเขาจะสามารถเอาชนะได้
การต่อสู้กับอีกฝ่าย เป็นเพียงแต่เร่งความตายของพวกเขาให้เข้ามาเร็วขึ้น
“รอให้มาหาถึงหน้าประตูบ้าน!”
ผู้อาวุโสใหญ่คาดไม่ถึงว่ามหาจักรพรรดิจะตอบกลับมาเช่นนี้
เขาอดกล่าวออกมาได้ “เหตุใดพวกเราจึงไม่พาทั้งตระกูลหนีไปแล้วหาที่ซ่อนตัว”
“หนี! ความคิดไร้สมอง!”
มหาจักรพรรดิตอบกลับไปทันที “ยอดนิกายออกคำสั่งมา กองกำลังใดบนโลกจะกล้าไม่เชื่อฟังบ้าง? ไฉนเจ้าบอกข้ามาว่าจะหนีไปที่ใด? จะหนีไปที่ใดได้?”
“เอ่อ?”
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ซีดเผือด
ใช่แล้ว
ไม่มีกองกำลังใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของยอดนิกาย ทั่วใต้หล้ากว้างใหญ่ ไม่มีที่สำหรับพวกเขาจริง ๆ
พวกเขาไม่สามารถหลบหนี และก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้ด้วยเช่นกัน!
ในตอนนั้นเอง สติของมหาจักรพรรดิที่อยู่กลางอากาศก็เริ่มกลับเข้าร่าง
ครู่ต่อมา มหาจักรพรรดิก็ลืมตาขึ้นแล้วลุกจากที่นั่ง
“ท่านบรรพชน?”
ผู้อาวุโสใหญ่ถามขึ้นมาอย่างงงงวย
ในเมื่อหนีก็ไม่ได้ ซ่อนก็ไม่ได้ เหตุใดมหาจักรพรรดิจึงตื่นขึ้นมาอย่างเต็มตัว
หลังจากมหาจักรพรรดิลืมตาแล้วก็ลุกขึ้นจากแท่นประทับเทวะ แสดงให้เห็นว่ามหาจักพรรดิตื่นขึ้นมาอย่างเต็มตัวแล้ว!
“ข้ายังจะทำอะไรได้อีก? เมื่อยอดนิกายมา หากไม่อยากตายก็ต้องยอมจำนน แล้วไปเข้าร่วมสงครามเพื่อเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน”
มหาจักพรรดิกล่าว “ตอนนี้ยังเหลือเวลา ข้าจะให้โอกาสนี้ทำในสิ่งที่อยากทำแต่ไม่ได้ทำมาก่อน หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว”
เขาสิ้นหวัง กระทั่งไร้ซึ่งความหวังใด ๆ แล้ว
ยอดนิกายนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะต่อกรได้ เหมือนกับที่เขากล่าวไปว่าหากไม่อยากตายก็ต้องยอมจำนน
ตระกูลหานไม่ใช่ตระกูลเล็ก ๆ ความแข็งแกร่งโดยรวมก็ไม่แย่ และยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตสูงสุดจำนวนมากรอดมาจากสงคราม ยอดนิกายไม่น่าจะเลือกสังหารล้างตระกูลหาน มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะเลือกส่งตระกูลหานไปเข่นฆ่ากับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนในสงคราม
เมื่อยามนั้นมาถึง พวกเขาคงจะสูญเสียอิสระ ต้องเชื่อฟังคำสั่งของยอดนิกาย
เขาตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ จึงตัดสินใจตื่นขึ้นจากการปิดด่านอย่างเต็มตัว
จะยังคงหลับใหลรักษาพลังชีวิตต่อไปทำไมกัน!
อย่างไรเขาก็จะต้องตายในสนามรบ เช่นนั้นแล้วก็ใช้ช่วงเวลาที่ยังเป็นอิสระไปทำในสิ่งที่เขาต้องการจะทำเสียดีกว่า
หากจะตาย ก่อนตายก็ขอหาความสุขเสียหน่อย!
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็จากสถานที่แห่งนั้นไป
…
ณ แดนหยิน เหยียนโจว แดนบูรพาทิศ
เมืองชิงซาน
หลังจากที่หลินอินอยู่บ้านท่านเซียนไม่นานก็บอกลาท่านเซียน เตรียมตัวกลับบ้านไปบอกท่านแม่ว่าตนเองสบายดี
ครั้งนี้นางออกเดินทางไปนาน เกรงว่าท่านแม่จะเป็นห่วงนาง
“เข้าใจแล้ว เย็นนี้อย่าลืมมากินข้าวเย็นนะ”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวตอบนาง
พวกอ้ายฉานเองก็จากไป ต่างคนต่างแวะกลับบ้านไปหาผู้ใหญ่ก่อนจะต้องกลับไปฝึกที่พรรคจื่อเสีย
เมื่อตกกลางคืน หลิงอินและพวกอ้ายฉานต่างทะยอยกลับมาหาหลี่จิ่วเต้าทีละคน
บนโต๊ะขนาดใหญ่ในลานเต็มไปด้วยผู้คนร่วมทานอาหาร
ชายหนุ่มมองดูฉากนี้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างมากภายในใจ
เขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง มีผู้คนมากมายพร้อมจะเดินทางร่วมไปกับเขา
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ต่างจากก่อนหน้าที่มักรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงแค่ ‘คนนอก‘ ของโลกใบนี้
มื้ออาหารเย็นผ่านไปด้วยความสุขและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะไม่หยุด
“ฝึกฝนให้ดี คุณชายรอพึ่งพาพวกเจ้าในอนาคตอยู่”
หลี่จิ่วเต้ามองไปทางพวกอ้ายฉาน แล้วกล่าวหยอกล้อออกมา “วันข้างหน้าเมื่อเจ้ายิ่งใหญ่แล้วก็อย่าลืมคุณชายผู้นี้เสียเล่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! พวกเราไม่มีทางลืมคุณชาย!”
“คุณชายไม่ต้องกังวล พวกเราจะขยันฝึกฝนอย่างแน่นอน ในอนาคตคุณชายอยากจะให้พวกเราทำเรื่องอะไร พวกเราก็จะทำ!”
พวกอ้ายฉานพูดขึ้นมาทุกคน
ในใจพวกเขา หลี่จิ่วเต้ามีความสำคัญเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับบิดามารดา
นี่ไม่เกี่ยวกับฐานะเซียนของหลี่จิวเต้า
แม้หลี่จิ่วเต้าจะไม่ใช่เซียน พวกเขาก็จะไม่มีวันลืมหลี่จิ่วเต้า
“ตกลง ตกลง ตกลง แล้วคุณชายจะจำเอาไว้ว่าในอนาคตมีเรื่องอะไรก็จะไปหาพวกเจ้า”
หลี่จิ่วเต้ายิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ “ข้าจะไปหยิบของสักครู่”
เขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน ก่อนจะหยิบกล่องไม้ออกมาหนึ่งกล่อง แล้วเดินกลับไปวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะในลาน
“วันนี้ข้าทำหยกพกสลักคำอวยพรคุ้มภัยเอาไว้”
ชายหนุ่มกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงปุถุชน การอวยพรให้ผู้ฝึกตนก็ดูเหมือนจะเป็นควงขวานหน้าบ้านหลู่ปานไปบ้าง แต่สิ่งนี้ก็มาจากใจของข้า หวังและปรารถนาให้พวกเจ้าล้วนมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย!”
เขาเปิดกล่องไม้ แล้วหยิบหยกพกออกมา
ทั้งหมดล้วนเป็นหยกระดับสูงที่เขาแกะสลักอย่างระมัดระวัง มองแล้วงดงามประณีตเป็นอย่างยิ่ง
เขาเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่งจะมีสิ่งใดไปมอบอำนาจคุ้มครองให้ผู้ฝึกตนกัน แต่ถึงกระนั้น เขายังคงต้องการจะส่งมอบหยกพกเหล่านี้
ดังคำที่เขากล่าว หยกพกบรรจุคความหวังและคำอวยพรจากเขา เขาปรารถนาให้พวกอ้ายฉานมีชีวิตปลอดภัย!
นี่คือความปรารถนาของเขา ไม่เกี่ยวกับพลังหรือความสามารถใด ๆ แม้ว่าพวกอ้ายฉานจะกลายเป็นเซียน เขาก็ยังคงจะมอบมันให้แทนความหมายว่าพวกอ้ายฉานมีความสำคัญต่อเขาอยางมาก
หลี่จิ่วเต้ามอบหยกให้พวกอ้ายฉานห้อยเป็นจี้หยก
“เซี่ยเหยียน ศิษย์สายตรงของประมุขสำนักไท่หัว อย่ารังเกียจมันเลยนะ”
เขากล่าวหยอกล้อ รู้ดีว่าเซี่ยเหยียนไม่มีทางรังเกียจ จึงมอบหยกพกให้นางด้วย
ภายในใจของเขา เซี่ยเหยียนเองก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน
“ของหลิงอินก็มี แต่เจ้ากลับไปแล้วอย่าพูดถึงเชียวล่ะ ถ้าหากแม่เจ้ารู้ คงยึดเอามันเป็นของแทนคำหมั้นหมายจากข้า จากนั้นก็จะลากข้าไปแต่งงานกับเจ้า!”
หลี่จิ่วเต้าหยอกล้อ ก่อนหยิบหยกพกออกมาส่งให้หลิงอิน
ในใจของเขา หลิงอินก็สำคัญเข่นกัน