ชิวหงพูดเบาๆ “ว่ากันว่านกแก้วของคุณหนูใหญ่พูดได้เจ้าค่ะ!”
“ถุ้ย!” เหวินอี๋เหนียงหัวเราะ “พูดไม่ได้มันจะเป็นนกแก้วเช่นนั้นหรือ”
“แต่มันท่องบทกวีได้เจ้าค่ะ!”
“ท่องบทกวี?”
เหวินอี๋เหนียงตกใจ
“ใช่เจ้าค่ะ ท่องบทกวี” ชิวหงพยักหน้า “เสี่ยวหลีบอกว่า สองสามวันก่อนนกแก้วตัวนั้นท่อง ’คืนฤดูใบไม้ผลิหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้า ตื่นขึ้นมาได้ยินเพียงเสียงนกร้องนอกหน้าต่าง’ สองสามวันนี้ท่อง ‘ถึงแม้ว่าสระน้ำของดอกเถาฮวาจะลึกกว่าพันฟุต แต่มันก็เทียบกับความรักของหวังหลุนที่มีต่อข้าไม่ได้’ เจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงตกใจ
ชิวหงพูดว่า “ตอนที่นกแก้วตัวนั้นพึ่งมายังท่องบทกวี ‘นกขมิ้นสองตัวร้องเพลงอยู่ท่ามกลางต้นหลิวสีเขียว ฝูงนกกระยางก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม’ ด้วยเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงปาดเหงื่อที่ไหลออกจากหน้าผาก “เช่นนั้น ฮูหยินรู้หรือไม่”
“รู้เจ้าค่ะ!” ชิวหงหัวเราะ “ฮูหยินบอกว่าทำไมนกแก้วตัวนี้ถึงพูดภาษาชังโจว บอกให้คุณหนูใหญ่สอนมันพูดภาษาเยี่ยนจิงเจ้าค่ะ ทำเอาคุณหนูใหญ่หน้าแดงไปหมด ไม่ให้อาหารนกแก้วตัวนั้นตั้งหลายวันเจ้าค่ะ!”
“ฮูหยินรู้ก็ดี ฮูหยินรู้ก็ดี” เหวินอี๋เหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
และในเวลาเดียวกันนี้ ไท่ฮูหยินกำลังมองดูสวีซื่ออวี้ที่ท่าทีมีมารยาทแล้วพยักหน้า
“ไปหาท่านพ่อของเจ้าแล้วหรือยัง”
“ไปแล้วขอรับ” สวีซื่ออวี้ยืนตัวตรงอยู่หน้าไท่ฮูหยิน เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม
ไท่ฮูหยินซักถามถึงความเป็นอยู่ที่เล่ออานของเขา
สวีซื่ออวี้ตอบทีละคำถามด้วยน้ำเสียงที่พอดี ไม่สูงไม่ต่ำ แล้วก็ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป มีความสุขุมของคุณชายสกุลขุนนาง
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง
สวีซื่ออวี้บอกให้เหวินจู๋นำไม้เท้าไม้หวงหยางเข้ามา “หลานทำตอนอยู่เล่ออานขอรับ”
ป้าตู้รีบไปถือมาให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินถือไม้เท้ามาดู นางยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็บอกให้เว่ยจื่อจัดอาหาร
สวีซื่ออวี้เอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็ถามถึงสุขภาพของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินหัวเราะแล้วพูดคุยกับเขา เมื่อสาวใช้เข้ามารายงานว่าจัดอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวีซื่ออวี้ก็เดินไปประคองไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกทิศตะวันตก
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ
เพียงแค่ไม่กี่เดือน รอยยิ้มของสวีซื่ออวี้ก็สุขุมมากขึ้น ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างรู้ความมากขึ้น ทั้งๆ ที่เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายอายุสิบสอง แต่กลับมีความเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ ราวกับแขกที่มาเยี่ยมเยียนจากแดนไกล แต่ไม่ใช่บุตรชายที่กลับมาบ้าน
แต่สวีลิ่งอี๋นั้นพอใจกับท่าทีของสวีซื่ออวี้เป็นอย่างมาก “ออกไปแค่ครั้งเดียว แต่กลับรู้ความขึ้นไม่น้อย ดูเหมือนว่า การส่งเขาออกไปเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
บุรุษและสตรีมองเรื่องราวไม่เหมือนกัน
สืออีเหนียงไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
สวีลิ่งอี๋ถามถึงสวีซื่ออวี้ “ไปหาฉินอี๋เหนียงแล้วหรือยัง”
“ไปแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “หลังจากดื่มชาพูดคุยกันเสร็จ ก็ไปหาฮูหยินสองทันที”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ วันต่อมาสวีซื่ออวี้มาคารวะ สวีลิ่งอี๋จึงบอกเขาว่า “อาจารย์เจียงบอกว่า เขาทิ้งการบ้านไว้ให้เจ้า ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสอบของเจ้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะใกล้ขึ้นปีใหม่แล้ว แต่ก็อย่าทิ้งการเรียน อย่าทำให้อาจารย์เจียงต้องผิดหวัง!”
สวีซื่ออวี้ตอบรับด้วยความเคารพ กลับถึงเรือนก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ ช่วงเทศกาลตรุษจีนนอกจากไปคารวะไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง เขาก็ไม่เดินออกจากเรือนเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เพราะว่าสืออีเหนียงยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ช่วงเทศกาลตรุษจีนนางจึงสอนหนังสือสวีซื่อเจี้ย เล่นกระโดดเชือกและพันด้ายกับเขาอยู่ที่เรือน บางครั้งก็ทำขนมให้สวีซื่อเจี้ยทาน ทำเอาสวีซื่อเจี้ยมีความสุข กระโดดโลดเต้นทั้งวัน
แต่สวีซื่อจุนกลับถูกสวีลิ่งอี๋พาไปต้อนรับแขกกับตัวเอง ตอนแรกเขาดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อเขามาคารวะสืออีเหนียงในยามเย็นก็มักจะเล่าให้นางฟังว่าเขาเจอกับใครบ้าง พูดอะไรบ้าง มีอะไรน่าสนใจบ้างอย่างมีความสุข แต่ผ่านไปไม่กี่วันเขาก็รู้สึกเหนื่อย เมื่อถึงเดือนหนึ่ง เขาก็มาทานข้าวกลางวัน นอนกลางวันที่เรือนของสืออีเหนียง จากนั้นก็ไม่ยอมออกไป บอกว่าจะอยู่สอนหนังสือสวีซื่อเจี้ยที่นี่
เดิมทีสืออีเหนียงก็คิดว่าสวีซื่อจุนยังเด็ก ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องของผู้ใหญ่ นางจึงออกหน้ารั้งสวีซื่อจุนไว้สองสามครั้ง แต่สวีลิ่งอี๋เห็นว่าพอสวีซื่อจุนมาที่เรือนของสืออีเหนียงเขาก็ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก แต่ออกไปกับตัวเองกลับห่อเหี่ยวดูไร้เรี่ยวแรงราวกับมะเขือม่วง เขาจะดูไม่ออกได้เช่นไร จึงบ่นว่าสืออีเหนียงตามใจลูกมากเกินไป แต่ตัวเองก็ตามใจลูกเหมือนกัน สวีซื่อจุนเล่นสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ มาที่นี่แต่เช้าและกลับไปตอนเย็นทุกวัน หากไม่เล่นกระโดดเชือกกับสวีซื่อเจี้ย ก็ไปจุดดอกไม้ไฟที่หลังลานกับสวีซื่อเจี้ย แล้วยังขอร้องให้สืออีเหนียงทำหอยเป๋าฮื้อให้ทาน เล่นอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็นอนพักผ่อนที่เรือนของสวีซื่อเจี้ย
ไท่ฮูหยินเห็นว่าทุกครั้งที่เขากลับมาจากเรือนของสืออีเหนียงมักจะหน้าแดง ยิ้มหน้าบาน นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ฉินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็พูดกับสืออีเหนียงเบาๆ “ขึ้นปีใหม่เช่นนี้ คุณชายน้อยสองเอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องทั้งวัน ควรพักผ่อนหรือออกไปเยี่ยมญาติๆ บ้างนะเจ้าคะ!”
ตั้งแต่สวีลิ่งอี๋ตำหนินางเรื่องที่นางเข้าไปยุ่งเรื่องของสวีซื่ออวี้ ฉินอี๋เหนียงก็ไม่กล้าพูดถึงเรื่องของสวีซื่ออวี้ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋อีกเลย แต่กลับมาพูดกับสืออีเหนียงแทน
สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ นางก็ทนไม่ได้ที่ฉินอี๋เหนียงพูดซ้ำซากอยู่ทุกวัน จึงพูดว่า “คุณชายน้อยสองตั้งใจอ่านหนังสือ ก็เพื่ออนาคตและความเจริญของเขา ฉินอี๋เหนียงไม่ให้กำลังใจคุณชายน้อยสองแล้วยังพูดเช่นนี้อีก หรือว่าเจ้าไม่อยากให้คุณชายน้อยสองได้ดี? ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือความต้องการของท่านโหว หรือว่าเจ้าอยากจะให้คุณชายน้อยสองไม่เชื่อฟังท่านพ่อของตัวเอง?”
ฉินอี๋เหนียงจะเถียงสืออีเหนียงได้เช่นไร นางรีบคุกเข่าแล้วก้มหัว “ข้าไม่เคยเรียนหนังสือเลยไม่เข้าใจหลักการพวกนี้ ฮูหยินโปรดยกโทษให้ความโง่เขลาของข้าด้วยเถิด”
ในเมื่อไม่เข้าใจหลักการพวกนี้ เช่นนั้นจะตกใจจนคุกเข่าขอร้องได้เช่นไร
สืออีเหนียงไม่อยากพูดอะไรกับนางไปมากกว่านี้ บอกให้ลี่ว์อวิ๋นประคองนางขึ้นมา จากนั้นก็พูดว่า “หลังจากเทศกาลโคมไฟ อากาศก็จะเริ่มอุ่นขึ้น ช่วงนี้ข้ายังต้องยุ่งอยู่กับเรื่องของปีใหม่ แล้วยังต้องยุ่งเรื่องของร้านมงคลสมรส คงจะไม่มีเวลาสนใจเสื้อผ้า รองเท้าและถุงเท้าของพวกเด็กๆ ข้าเห็นว่ารองเท้าที่ฉินอี๋เหนียงทำให้ข้าครั้งก่อนไม่เลวเลยทีเดียว เช่นนั้นเจ้าทำรองเท้าถุงเท้าให้เจี้ยเกอสักสิบกว่าคู่เถิด ถึงเดือนสอง เขาจะได้ใส่ออกไปเดินเล่นข้างนอก”
ในเมื่อบอกจำนวนรองเท้าถุงเท้าแล้ว อีกทั้งยังบอกกำหนดเวลา เช่นนี้ นางคงจะไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้แล้วกระมัง
ฉินอี๋เหนียงตกใจ นางรีบก้มหน้าแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมา
อี๋เหนียงทั้งสามคนก็พากันออกไป
ฉินอี๋เหนียงจับมือเหวินอี๋เหนียง “ถึงแม้ว่าจะเป็นของเด็ก แต่พื้นรองเท้าและลายปักรองเท้าไม่ต่างอะไรจากของผู้ใหญ่ เวลาแค่เดือนกว่า จะทำรองเท้าถุงเท้าสิบกว่าคู่เสร็จได้เช่นไร ข้ารู้ว่าอวี้เอ๋อร์ของเจ้าเย็บปักถักร้อยเป็น ไม่สู้ช่วยข้าทำสักสองสามคู่ดีหรือไม่” จากนั้นก็ย่อเข่าคำนับเอ่ยมัดมือชก “ข้าขอบคุณล่วงหน้าเป็นอย่างยิ่ง”
เหวินอี๋เหนียงจะเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ได้เช่นไร
นางทำสีหน้าลำบากใจ “พี่หญิงคงจะไม่รู้ ฮูหยินบอกให้ข้าทำรองเท้า ถุงเท้า และเสื้อผ้าฤดูไม้ผลิให้คุณหนูใหญ่ ข้าเย็บปักถักร้อยไม่ค่อยเป็น กำลังกังวลว่าจะส่งงานไม่ทัน อยากจะขอให้ชุ่ยเอ๋อร์ของพี่หญิงมาช่วยอยู่พอดี แต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินจะบอกให้ท่านทำรองเท้าถุงเท้าให้คุณชายน้อยห้า…”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ผิดหวัง นางอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเฉียวเหลียนฝัง
แต่เฉียวเหลียนฝังกลับพาสาวใช้เดินไปบนทางเดินห้องปีกแล้ว
เหวินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็หันไปมอง ลากฉินอี๋เหนียงออกมาพูดเบาๆ ข้างๆ “หรือว่าเราจะจ้างคนมาช่วยทำดี”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย นางพูดเบาๆ “แบบนี้ คงไม่ดีหรือไม่ หากฮูหยินรู้เข้า นางจะคิดว่าเราไม่เคารพนาง!”
“ก็จริง” เหวินอี๋เหนียงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าคิดว่า พี่หญิงทำไปด้วย หาคนช่วยไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลไปก่อน”
ฉินอี๋เหนียงก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ นางพยักหน้าด้วยความหดหู่ จากนั้นก็พาสาวใช้กลับเรือนของตัวเอง
ทันทีที่นั่งลง ชุ่ยเอ๋อร์ก็กลับมาพอดี
ในมือยังถือกล่องอาหารสีแดงกล่องใหญ่
ฉินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็ได้สติกลับมา “เป็นเช่นไรบ้าง”
สายตาของชุ่ยเอ๋อร์มีความเอือมระอา แต่นางกลับยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยสองบอกว่าขนมที่ฉินอี๋เหนียงทำอร่อยมากเจ้าค่ะ แต่ว่าตอนนี้เขาต้องตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่มีเวลาทานขนมพวกนี้ บอกว่าต่อไปไม่ต้องส่งขนมไปให้เขาแล้ว รอให้เขาสอบเสร็จแล้วค่อยว่ากันเจ้าค่ะ”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ นางยิ้มหน้าบานแล้วพูดว่า “เจ้าไปบอกเขาว่าข้าฟังเขาทุกอย่าง บอกเขาว่าไม่ต้องกังวล หากสอบไม่ผ่าน ถึงตอนนั้นค่อยบอกท่านโหว ใช้ความดีความชอบของท่านโหวก็ได้”
ชุ่ยเอ๋อร์ตอบรับแล้วส่งกล่องอาหารให้สาวใช้ข้างๆ
ฉินอี๋เหนียงเปิดกล่อง หยิบกุญแจหีบออกมาแล้วกวักมือเรียกนาง “เจ้าไปเปิดหีบของข้า หาผ้าหยกสีขาวออกมา ฮูหยินบอกให้ข้าทำรองเท้าถุงเท้าให้คุณชายน้อยห้า”
ชุ่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “นั่นคือสินสมรสนะเจ้าคะ ท่านโหวเป็นคนมอบให้ท่าน ท่านไม่เคยใช้มันเลย ปีนี้คุณชายน้อยห้าพึ่งจะห้าขวบ มันฟุ่มเฟือยเกินไปหรือไม่เจ้าคะ…ไม่สู้เก็บไว้ทำถุงเท้าให้คุณชายน้อยสองดีกว่า!”
“ในเมื่อเป็นคำสั่งของฮูหยิน” ใบหน้าที่อวบอิ่มของฉินอี๋เหนียงพลันปรากฏสีหน้าที่สุขุม “แบบนั้นก็ต้องใช้ของที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คุณชายน้อยห้าอยู่กับฮูหยิน ท่านโหวเห็นเช่นนี้ เขาจะต้องชอบแน่นอน!”
ถึงแม้ว่าจะทำเช่นนี้ แต่คุณชายน้อยห้าก็เป็นบุตรในนามถงอี๋เหนียง แม้แต่แม่แท้ๆ เป็นใครก็ยังไม่รู้ ยกย่องเขาเช่นนี้ หากฮูหยินมีบุตรเป็นของตัวเอง คุณชายน้อยห้าก็คงจะเหมือนกับคุณชายน้อยสอง ขึ้นก็ไม่ขึ้น ลงก็ไม่ลง…แต่ชุ่ยเอ๋อร์เห็นฮูหยินสองที่ก้มหน้าหากระดาษออกมาวาดลายพื้นรองเท้า นางก็ไม่กล้าพูดอะไร จึงตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วหยิบกุญแจไปเปิดหีบ
ใช้เวลาสองวันในการทำรองเท้าถุงเท้าหนึ่งคู่ สวีซื่อเจี้ยสวมมันได้อย่างพอดิบพอดี
“งานปักของฉินอี๋เหนียงไม่เลวเลยทีเดียว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองดูสวีซื่อเจี้ยที่สวมรองเท้าเดินไปมาอยู่บนเตียงเตา นางเอ่ยชมฉินอี๋เหนียงต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ “ต่อไปรองเท้าของสวีซื่อเจี้ยคงต้องรบกวนฉินอี๋เหนียงแล้ว”
“ไม่กล้ารับคำชมของฮูหยินเจ้าค่ะ” ฉินอี๋เหนียงก้มหน้าก้มตา แต่กลับเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ “คุณชายน้อยห้าสวมได้พอดีข้าก็ดีใจ!”
สวีลิ่งอี๋มองดูสวีซื่อเจี้ยที่สวมรองเท้าใหม่ของตัวเองโอ้อวดสวีซื่อจุนอย่างภาคภูมิใจ เขาก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา
ฉินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ
นางจำได้ว่าตอนสวีซื่ออวี้ยังเด็ก นางใช้สินสมรสทำถุงเท้าให้สวีซื่ออวี้คู่หนึ่ง ท่านโหวเห็นก็แค่ขมวดคิ้ว แล้วยังบอกนางว่าต่อไปอย่าทำเช่นนี้…แต่ทำไมเมื่อนางทำให้สวีซื่อเจี้ย เขากลับไม่พูดอะไรสักคำ
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ฉินอี๋เหนียงก็ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของสืออีเหนียง “แต่ว่าเด็กสวมถุงเท้าผ้าไหมเช่นนี้มันลื่น ต่อไปฉินอี๋เหนียงใช้ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดทำถุงเท้าให้เจี้ยเกอแทนเถิด!”
นางได้สติกลับมา กำลังจะตอบว่า “เจ้าค่ะ” แต่กลับเห็นสวีลิ่งอี๋เรียกสาวใช้ไปบอกหลินปัว “…บอกให้เขาไปบอกพ่อบ้านไป๋ ข้าจำได้ว่าปีก่อนพระราชวังมอบผ้าฝ้ายทอลายทแยงให้สองสามผืน ทอเป็นลายคลื่นน้ำ ไม่เลวเลยทีเดียว นำมาทำถุงเท้าให้เจี้ยเกอเถิด!”