หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1060 ชาติที่สี่!

บทที่ 1060 ชาติที่สี่!

เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าล่าถอยนั้น ในสถานที่ห่างออกไป พลังหมอกสายหนึ่งม้วนตัวรุนแรงแผ่กระจายออกทั่วจตุรทิศด้วยความเร็วและผิดปกติราวกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง ขุมพลังหนึ่งที่เจือด้วยจิตสังหารอันเย็นเยียบสุดประมาณระเบิดออกท่ามกลางหมอกนี้

ในจังหวะที่ระเบิดพลังนั้น มีเงาร่างหนึ่งอาบจิตสังหารพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วเหนือชั้น แม้มองไม่เห็นรูปร่างที่แท้จริงชัดเจน แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังโหดเหี้ยมที่ราวจะบดขยี้ทุกสิ่งได้ พลังที่เหมือนจะคว่ำภูผาพลิกมหาสมุทรได้นั้นเคลื่อนเข้าใกล้นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า จนสุดท้ายกลายเป็นมือข้างหนึ่ง ปรากฏอยู่เบื้องหน้านายน้อยลำดับเก้า มือข้างนี้เล็งไปยังหว่างคิ้วของเขา จากนั้นกระแทกพลังลงไปรุนแรง!

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าดวงตาหดลีบ สีหน้าของเขาตกตะลึงสุดขีด เขาคิดอยากเห็นคนผู้นี้แต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรก็มองเห็นเงาร่างของอีกฝ่ายไม่ชัด เมื่อคิดจะหลบหลีก หากแต่ความคิดและร่างกายนั้นในพริบตากลับเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกัน ไม่ว่าเขาจะพยายามควบคุมอย่างไร ร่างกายกลับช้าเช่นเดิม ไม่อาจหลบฝ่ามือที่พุ่งเข้ามานี้ได้เลย!

ในพริบตา เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤติแห่งชีวิตอย่างรุนแรงภายในใจของตน ดรรชนีของฝ่ามือนั้นแตะเข้าที่กลางคิ้วของเขา ในพริบตาที่สัมผัสกันนั้น เสียงกัมปนาทซึ่งทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนผัน หมอกทั้งแปดทิศหมุนคว้าง ก็พลันระเบิดรุนแรงกว่าเก่าไปทั่วด้าน

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้านั้นแผดร้องโหยหวนสุดเสียง ในพริบตานั้น หว่างคิ้วของเขาบังเกิดรอยแยกแตกออก ส่วนดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงเบื้องหลังเขานั้นแม้จะปรากฏร่างกลางอากาศ แต่ก็ไม่อาจต้านพลังแห่งดรรชนีได้สักนิด ดังนั้นรอยร้าวจึงปรากฏบนร่างของพวกมันในพริบตา!

ว่ากันตามจริงแล้ว…ดรรชนีนี้ไม่เพียงแต่แฝงซึ่งพลังปราณโลหิตที่ซึ่งมีพลังรุนแรงระดับสูงสุด ในเวลาเดียวกันยังแฝงด้วยแรงแค้นอันหนักแน่น และพลังแห่งแสงอันไร้ขีดจำกัด พลังที่ว่าคล้ายจะสามารถชำระล้างทุกสิ่งได้ เมื่อมารวมกันจะพบว่าพลังที่ขัดกันทั้งสองประเภทกลับเข้ากันได้อย่างเร้นลับ และสิ่งสำคัญที่ทำให้พลังเหล่านี้ประสานกันได้นั้น กลับเป็นพลังจากเจตจำนงแห่งการกลืนกินและจิตสังหารอันดุดันขุมหนึ่ง

ราวกับว่าดาบเล่มนี้ได้หลอมรวมพลังทุกสิ่งเอาไว้ อีกทั้งประกายความเฉียบคมของดาบก็เพียงพอที่จะฟันระดับดาวพระเคราะห์ได้…หากว่าในเวลานี้ผู้ที่ประจันหน้ากับหวังเป่าเล่ออยู่นั้นมิใช่ผู้สืบทอดของราชันเทวะไกก้าแต่เป็นศัตรูอื่นละก็… เกรงว่าทั้งกายและร่างวิญญาณของศัตรูผู้นั้นคงจะแหลกลาญไปแล้ว!

อย่างไรก็ตาม…นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นี้ก็ยังมีไพ่สำรองอยู่ ในช่วงเวลาเป็นตายนี้เอง ผิวเนื้อของเขาพลันปรากฏผลึกอักขราจำนวนมากขึ้น ผนึกเหล่านี้มีพลังคลื่นอันแข็งกล้าแฝงอยู่ พลังนี้มิใช่ของของเขาแต่เป็นของอาจารย์ที่มอบให้ กำชับให้ใช้เพื่อรักษาชีวิตในยามคับขัน

เวลานี้เขากระตุ้นพลังแห่งอักขราทั้งหมดก่อเกิดขุมพลังกำลังป้องกัน ส่งผลให้พลังดรรชนีของหวังเป่าเล่อเกิดชะงัก นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าอาศัยช่วงหยุดชะงักนี้ล่าถอยอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าขาวซีด จนกระทั่งตัวเขาเองร่นถอยไปอยู่นอกระยะ 100 จั้ง ก็กระอักโลหิตออกมากองโต แม้ดวงตาจะแฝงความตกตะลึง ทว่าร่างกายกลับไม่หยุดเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย อีกทั้งจังหวะที่กระอักเลือดนี้ใช้วิชาเร้นลับหลบหนีรวดเร็วไปอีกส่วนด้วย

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าไม่แม้จะเสียดายพลังชีวิตที่มอดไหม้ไปส่วนนั้น เขาอาศัยจังหวะเวลาที่ระเบิดพลัง รีบเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ในชั่วพริบตาถัดมาก็หายจากจุดเก่าพุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของหมอกไปแล้ว

ในระหว่างที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนนั่นเอง ในใจของเขาพลันกระเพื่อมรุนแรง

“ทั้งที่ระลึกชาติได้เช่นกัน สมควรตายเอ้ย เหตุไฉนเขาถึงแข็งแกร่งเช่นนี้!!” นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้านั้น ยามนี้ในใจเหมือนมีคลื่นไร้ลักษณ์ขุมใหญ่บังเกิดขึ้น เขาเข้าใจดีว่าผนึกรักษาชีวิตที่อาจารย์มอบให้ตน เป็นพลังที่จะสำแดงต่อเมื่อปะทะกับขุมพลังระดับดารานิรันดร์เท่านั้น แต่เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จะสามารถสร้างกระแสคุกคามระดับเดียวกับดารานิรันดร์ได้!

เมื่อชั่วครู่นั้น ฝ่ามือที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของตนให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าไม่ใช่พลังระดับดาวพระเคราะห์ แต่เป็นระดับเดียวกับดารานิรันดร์แล้ว โดยเฉพาะกับกฎแห่งการกลืนกินและกฎแห่งแสงที่แฝงอยู่ในนั้น พลังของพวกมันน่ากลัวสุดขีด ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่านั้นกลับเป็นนิ้วมือที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับดาบของปีศาจร้ายชั้นสูงสุด ราวกับว่าดรรชนีนี้จะกลืนกินเขาลงไปทั้งตัวแบบนั้นแหละ

ตัวเขาเข้าใจกระจ่าง ตราประทับที่อาจารย์มอบให้เขานี้แม้มองผิวเผินจะแข็งแกร่ง แต่กลับเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของเขา ดังนั้นแล้วการใช้งานจึงมีข้อจำกัดอยู่บ้าง หากว่าถูกโจมตีหลายครั้งเข้าตนเองคงต้องตายอนาถอยู่ที่นี่แน่

ดังนั้นแล้วเขาจึงเลือกหนีแบบไม่คิดชีวิต ในเวลาเดียวกันตรงสถานที่ต่อสู้เมื่อครู่ หลังจากที่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าวิ่งหนีไป ด้านหลังฝ่ามือตรงที่ว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยว แขน ไหล่ ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา!

ร่างซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีม่วง เส้นผมยาวสีดำ.ไอรีนโนเวล. เรือนร่างตั้งตรงประดุจกระบี่เล่มหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อไม่แสดงอารมณ์ใด ทว่าดวงตากลับเย็นเยียบ ในเวลาเดียวกันบนร่างของเขา พลังแห่งกฎของแสงและการกลืนกินยังคงหมุนวนไม่หยุด ด้านหลังนั้นท่ามกลางดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวง จะสังเกตเห็นเงาร่างของดาบมารคล้ายปรากฏคล้ายซ่อนตัว

สีหน้าเรียกได้ว่านิ่งสงบเหมือนผีดิบ ร่างแข็งแกร่งประหนึ่งเหมือนเผ่าเทพ จิตวิญญาณเฉียบคมดุจดาบมาร!

ทั้งหมดนี้ก็คือตัวหวังเป่าเล่อหลังจากดูดกลืนพลังซึ่งตนได้จากการระลึกชาติทั้งสามครั้งก่อนหน้า เขาได้ให้กำเนิดเงาร่างที่เป็นเอกลักษณ์ของตน ยามนี้เขายืนอยู่ตรงที่เก่านั้น มวลอากาศรอบด้านบิดเบี้ยวไม่หยุดค่อยๆ กรุยทางสร้างอาณาเขตกว้างขวางทั้งแปดทิศ

“คงทำลายเกราะป้องกันของมันไปได้หลายรอบอยู่…” หวังเป่าเล่อมองไปยังทิศทางที่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าวิ่งหนีไป เขาแค่นเสียงเย็นแต่ไม่ได้ตามไล่จับ ด้านหนึ่งเนื่องด้วยเวลาจำกัด ส่วนอีกด้านหากคิดจะไล่ตามอีกฝ่ายไปจริง ในที่นี้ก็คงไม่เหมาะนักกับการสังหารใครสักคน

ดังนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อจึงเห็นว่าการเสียเวลาอยู่ตรงนี้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่สู้เอาเวลาในจังหวะนี้มารวบรวมลำแสงชี้นำให้มากขึ้นดีกว่า หลังจากหวังเป่าเล่อเหม่ออยู่ชั่วครู่ เขาจึงละสายตาแล้วยืนอยู่ตรงจุดเดิมพลางให้ร่างแยกทั้งหลายที่ส่งออกไปนั้นรวบรวมลำแสงต่อ

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้ สถานที่ที่เขายืนอยู่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเขตต้องห้าม เหล่าผู้ฝึกตนที่ผ่านทางมานั้น ย่อมไม่อาจเข้าใกล้ พวกเขาทยอยกันตกตะลึงก่อนจะพากันหนีไปเสียไกล

ส่วนร่างแยกที่ส่งออกไปข้างนอกนั้น ก็ยังคงควานหาไม่ลดละ ส่งผลให้ลำแสงชี้ทางของหวังเป่าเล่อตรงนี้ทวีความสว่างมากขึ้น กระทั่งว่าช่วงจังหวะที่เวลาเคลื่อนเข้าใกล้ หวังเป่าเล่อก็จัดการเชื่อมกระแสจิตแล้วดึงร่างแยกพวกนี้กลับมาทั้งหมด และในยามนี้เมื่อมาถึงวันที่สี่ซึ่งหวังเป่าเล่ออยู่ที่นี่แล้ว น้ำเสียงชราแหบแห้งก็ลอยมาจากโลกนอกอันห่างไกล เสียงนั้นดังกังวานขึ้นภายในหมอกอีกครั้ง ก้องอยู่ในใจของเหล่าผู้เข้าทดสอบ

“วันที่สี่ ชาติที่สี่!”

“บางทีในชาตินี้ ข้าอาจจะได้คำตอบที่ข้าต้องการ!” ลำแสงชี้นำพลันส่องสว่างขึ้น จากนั้นก็หลอมเงาร่างของเขาทั้งหมดเอาไว้ เขาสัมผัสได้ว่ารอบด้านมีพลังหมุนวนไม่หยุด ตัวหวังเป่าเล่อที่ยังคงอยู่ในภวังค์เนิ่นนานนั้นพยายามรั้งเอาสัมปชัญญะเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ พึมพำเสียงเบา

หลังจากเสียงนั้น สติของหวังเป่าเล่อ…ก็สูญสิ้น

“สำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้า เป็นท่านเซียนผู้บุกเบิกท่านที่หกสร้างขึ้นหลังจากที่หกเซียนเบิกฟ้าผ่าแผ่นดิน เป็นผู้ถือสิทธิ์ปกครองทั้งจักรวาลนี้ร่วมกับสำนักแห่งเซียนผู้บุกเบิกทั้งห้าร่วมกัน!”

“พวกเจ้าทั้งห้าคนนั้นโชคดีที่ได้กราบเข้าสำนักข้า นี่คือโชคดีครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเจ้าแล้ว!”

“ทั้งจักรพิภพนี้ มีดวงดาวมากมาย สำนักเต๋านับไม่ถ้วน สามัญ ธุลี วิญญาณ ดารา ผู้ฝึกตน ในระดับทั้งห้านี้ มีเพียงวิชาของสำนักเต๋าที่หกของเราเท่านั้นที่เหยียบย่างสวรรค์ได้ มีเพียงสำนักเต๋าที่หกเท่านั้นที่สามารถไปได้ไกลที่สุดและกลายเป็นผู้ฝึกตนได้…”

น้ำเสียงแหบแห้งแต่ก็แฝงความน่าเกรงขามนั้นดังกังวานสะท้อนไปมาทั่วลาน ในยามนี้กลางลานนั้นมีหนุ่มสาวประมาณ 100,000 คนยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าล้วนตื่นเต้นและอิจฉา มองไปทางชายหญิงเยาว์วัยทั้ง 5 คนที่อยู่หน้าสุด

ห้าคนนี้ ชายสามหญิงหนึ่ง อายุประมาณสิบกว่าปีเห็นจะได้ ยามนี้พวกเขาล้วนฟังเสียงที่ไม่รู้ที่มานี้ด้วยความเคารพยิ่ง

เฉินหยาง คือหนึ่งในนั้น วันนี้คือวันที่เขากราบเข้าสำนักอย่างเป็นทางการ

ในฐานะที่เป็นผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลเฉินรุ่นนี้ เขาถูกตั้งความหวังไว้สูงตลอดมา และเพราะตระกูลเฉินเป็นหนึ่งในตระกูลเต๋ามากมาย เป็นหนึ่งแห่งพรรคสาขาจำนวน 197,081 พรรค ทั้งยังได้รับจัดอันดับอยู่ใน 500 พรรคแรก ตระกูลเขาจึงมีทรัพยากรมากล้น และนับแต่เวลานั้นที่เฉินหยางถูกวัดคุณสมบัติออกมาได้อย่างน่าตกใจ ทั้งตระกูลก็ทุ่มทรัพยากรมาหล่อหลอมเขาตั้งแต่เด็กจนโต

ในวันนี้แม้เฉินหยางอายุเพียงสิบสามปี แต่พลังฝึกตนของเขานั้นก็อยู่ระดับสูงชั้นที่เก้าของระดับสามัญแล้ว ครั้นเมื่อเขาฝ่าระดับกลายเป็นระดับธุลีเมื่อใด ก็จะสามารถเลือกกราบอาจารย์ระดับวิญญาณเข้าสำนักได้

ทว่าเรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อาวุโสประจำตระกูล อาศัยพลังพื้นฐานของเฉินหยางแล้วบวกกับความช่วยเหลือของตระกูล อนาคตของเขาย่อมไม่หยุดอยู่ที่ระดับวิญญาณแน่ บางทีอาจมีความน่าจะเป็นไม่น้อยที่เขาจะกลายเป็นระดับ…ดารา!

ต้องทราบว่าสำหรับจักรพิภพนี้แล้ว ระดับดาราถือเป็นตัวตนสูงสุด ระดับเดียวที่ยังคงสูงกว่าก็คือระดับเซียน แต่ว่าระดับเซียนนั้น…ตั้งแต่ปัจจุบันมา มีเพียงแค่หกคนเท่านั้น!

ดังนั้นแล้ว ผู้ที่มีทรัพยากรพร้อมสรรพอย่างเฉินหยางย่อมถูกคัดสรรออกมาจากบรรดาคนนับแสนตั้งแต่แรก และได้รับโอกาสกราบเข้าเป็นศิษย์ทางการในวันนี้!

ถึงแม้ว่า พรรคที่เขากราบเข้านี้ เป็นเพียงแค่หนึ่งในบรรดาสาขานับไม่ถ้วนของสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม

ในเมื่อสำนักศักดิ์สิทธิ์นั้นมีขนาดใหญ่มาก ต่อให้สำนักที่กราบเข้าไปนั้นเป็นเพียงแค่สำนักสาขา สำหรับเฉินหยางแล้ว เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง!

แม้เขาจะตื่นเต้นมากก็ตาม ทว่าในใจก็ยังฟูฟ่อง เต็มไปด้วยความวาดหวังต่ออนาคต ความรู้สึกนี้ยังแฝงความแน่วแน่ที่จะทำให้วงศ์ตระกูลยิ่งใหญ่ และนำพาบรรดาญาติให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกระดับด้วย แล้วก็ยังมีความวาดหวังว่า…ศิษย์น้องหญิงข้างกายตนนี้จะได้กลายเป็นคู่เต๋าบำเพ็ญของตน

นอกจากนี้แล้ว…เฉินหยางก็ยังมีสิ่งที่ผู้เยาว์ส่วนใหญ่นั้นมี นั่นคือปณิธานอันสวยงามที่จะพิทักษ์ความถูกต้องเป็นธรรม!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท