ไร้จักรพรรดิไร้บิดาเป็นโทษที่รุนแรงมาก เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่เกรี้ยวกราดมากนักเมื่อพูดประโยคนี้ออกมา น้ำเสียงและใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้า
ฉู่อวี๋หยงเงยหน้าขึ้น “เสด็จพ่อ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ไม่นานจะเพิ่งพบหน้ากันครั้งหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ยังไม่คุ้นชินกับใบหน้าอ่อนเยาว์นี้
อีกทั้งเขาก็ไม่คุ้นชินกับโอรสคนเล็กนี้เสมอมาจริงๆ
ความทรงจำแรกที่เขามีต่อโอรสคนนี้คือ ขันทีหลายคนมาทูลรายงานด้วยด้วยความตื่นตระหนกว่าองค์ชายหกหายตัวไป
องค์ชายหายตัวไปเป็นเรื่องที่เหลวไหลเพียงใด องค์ชายจะหายตัวไปได้อย่างไร พวกเขาต่างอยูในพระราชวัง ภายใต้สายตาของฮ่องเต้ ถึงแม้เขาจะมีงานยุ่งเพียงใด นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว องค์ชายคนอื่นไม่สามารถสั่งสอนได้ด้วยตนเองแล้ว แต่ไม่กี่วันเขาก็มักจะเสวยพระกระยาหารกับเหล่าองค์ชาย โอรสหายไป เขาจะไม่เห็นได้อย่างไร
ที่แท้เขาลืมโอรสอีกคน
เนื่องจากโอรสคนนั้นร่างกายไม่แข็งแรง จึงถูกส่งออกจากพระราชวังไปพักรักษาในจวนล่วงหน้า
ถึงแม้จะเป็นองค์ชายที่พักอยู่ด้านนอก แต่ก็ไม่มีทางหายตัวไป ฮ่องเต้โกรธมาก ส่งคนออกตามหา แต่หาจนทั่วเมืองหลวงก็ยังไม่พบ จนกระทั่งแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่เตรียมสงครามอยู่ด้านนอกส่งข่าวมาบอกว่าองค์ชายหกอยู่กับเขา
องค์ชายหกถูกส่งตัวกลับมา เขายืนอยู่ในตำหนัก เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้เห็นใบหน้าของโอรสคนเล็กอย่างชัดเจน
เวลานั้น ฉู่อวี๋หยงอายุสิบปี
เด็กอายุสิบปีคุกเข่าอยู่ภายในตำหนัก คำนับด้วยความเคารพ “เสด็จพ่อ กระหม่อมผิดไปแล้ว”
จากนั้นยังอธิบายสาเหตุที่ตนเองกระทำผิด
“กระหม่อมได้ยินว่าเหล่าท่านอ๋องไม่เคารพในราชสำนัก กระหม่อมอยากจะช่วยแบ่งปันความกังวล ของเสด็จพ่อ หากต้องการช่วยเสด็จพ่อต้องการแบ่งปันความกังวลย่อมต้องมีความสามารถที่แท้จริง ดังนั้นกระหม่อมจึงติดตามแม่ทัพหน้ากากเหล็กฝึกฝนความสามารถที่แท้จริงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้คิดเรื่องนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ โอรสที่ฉลาดเพียงนี้ ผู้เป็นบิดาจะไม่ภูมิใจได้อย่างไร อีกทั้งโอรสคนนี้ยังพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง อืม อีกทั้งยังมีไต้ฟูที่ขี่ม้าจนเหนื่อยแทบตายติดตาม เดินทางจากเมืองหลวงไปค่ายทหาร แม้จะเป็นเด็กสามัญชน แต่อายุน้อยเพียงนี้ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ
เวลานั้นเขาตกตะลึงอย่างมาก เดิมทียังคิดว่าเด็กที่เกิดมาคนนี้มีร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ไม่คิดว่าถึงแม้เขาจะดูตัวเล็ก แต่ใบหน้าสง่างามนั้นมีพลังมาก ไต้ฟูที่เกือบตายนั้นพึมพำบอกว่าตนเองรักษาอย่างไร มีความสามารถอย่างไร โดยรวมแล้วคือเขาสามารถรักษาองค์ชายหกได้
มีองค์ชายที่แข็งแรงย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี ฮ่องเต้ไม่ทันได้ตำหนิความใจกล้าของโอรสคนเล็กนี้ เพียงแค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ จากนั้นเลื่อนขั้น พระราชทานรางวัลให้แก่ไต้ฟูผู้นั้นในสำนักหมอหลวง องค์ชายหกยังคงต้องการรับเขากลับเข้ามาในวัง แต่ไต้ฟูผู้นั้นปฏิเสธ
อาการประชวรขององค์ชายหกดูเหมือนจะหายดี แต่ไม่ได้หายสนิท เขาจึงแนะนำไต้ฟูอีกคน ไต้ฟูคนนี้ดูเหมือนคนหลอกลวง หลังจากตรวจดูพร้อมทั้งทำนายแล้ว เขาให้ฮ่องเต้พระราชจวนอีกแห่งให้องค์ชายหก และรับรองว่าสามปีหลังจากนี้ เขาจะคืนองค์ชายที่แข็งแรงให้แก่ฮ่องเต้
ทุกสิ่งเพื่อความแข็งแรงของโอรส ในฐานะบิดาเขาจึงทำตาม ในเวลาเดียวกันเขาเป็นฮ่องเต้ สถานการณ์ของเหล่าท่านอ๋องวิกฤต เขาจึงไม่ทันได้สนใจโอรสคนนี้ โอรสคนนี้ก็ราวกับไม่มีตัวตนอีกครั้ง จนกระทั่งสามปีต่อมา แม่ทัพหน้ากากเหล็กเขียนจดหมาย ให้ฝ่าบาทวางใจ องค์ชายหกอยู่ในค่ายทหารมีเขาคอยดูแล
ฮ่องเต้ยื่นมือกุมขมับ ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า หยุดระลึกถึงเรื่องในอดีต
“เวลานั้นเจ้าบอกว่าเจ้ามีความผิด จากนั้นเจ้าทำอันใด” เขาพูด “ไม่ใช่ไม่กระทำผิดอีก หากแต่ใช้เวลาสามปีในการเกลี้ยกล่อมแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ให้เขารับเจ้าเป็นศิษย์! ฉู่อวี๋หยง เจ้าคิดว่าตนเองมีความผิดจริงหรือ”
ฉู่อวี๋หยงก้มหน้า “กระหม่อมทำให้เสด็จพ่อต้องกังวลเป็นทุกข์ ย่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ไม่ว่าข้าจะกังวลเป็นทุกข์อย่างไร” ฮ่องเต้พูด “เจ้าอยากทำอันใดก็จะทำใช่หรือไม่ เหมือนกับเฉินตันจู…”
เสียงของฮ่องเต้ชะงักลง เขากำลังสั่งสอนโอรส แต่พูดถึงเฉินตันจูออกมา ตนเองทั้งรู้สึกโกรธทั้งรู้สึกขบขัน
ไม่ใช่หรือ เฉินตันจูก็เป็นเช่นนี้ นางมักจะร้องบอกว่าข้ามีความผิดก่อน หลังจากร้องไห้เสร็จก็กระทำผิดต่อ
“ดูเช่นนี้ พวกเจ้าช่างเหมือนบิดากับบุตรสาวเสียจริง” ฮ่องเต้ยิ้มเยาะตนเอง “เจ้ากับข้าไม่เหมือนบิดากับบุตรแม้แต่น้อย”
คำพูดนี้ร้ายแรงกว่าไร้จักรพรรดิไร้บิดาก่อนหน้านี้เสียอีก ฉู่อวี๋หยงเงยหน้าขึ้น “เสด็จพ่อ อันที่จริงกระหม่อมเหมือนกับเสด็จพ่ออย่างมาก จัดการความโกลาหลของเหล่าท่านอ๋องเป็นเรื่องยากเพียงใด แต่เสด็จพ่อไม่เคยล้มเลิก ตั้งแต่อายุยังน้อยจนถึงบัดนี้ พระองค์ต้องพบเจอกับความเหยียดหยามจนกระทั่งสำเร็จในเวลานี้ สิ่งที่กระหม่อมต้องการคือเดินตามรอยเสด็จพ่อ ออกแรงเพื่อเสด็จพ่อเพื่อต้าเซี่ย แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แม้อายุจะน้อย แม้ต้องลำบากตรากตรำ แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตในสนามรบ แม้จะทำให้เสด็จพ่อโกรธ กระหม่อมก็ไม่กลัว”
คำพูดนี้ฮ่องเต้รู้สึกคุ้นเคย “ข้าจำได้ว่า ตอนที่ท่านแม่ทัพจากไป เจ้าก็เป็นเช่นนี้…”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ท่านแม่ทัพจากไป แม้จะผ่านไปเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังคงรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศก เขากับโจวชิงนั่งอยู่บนพื้น มองดวงดาวบนท้องฟ้า จินตนาการว่าจะกำราบเหล่าท่านอ๋องอย่างไร ทำให้ต้าเซี่ยเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง เมื่อพูดถึงเรื่องเสียใจ พวกเขาก็ร้องไห้ด้วยกัน เมื่อพูดถึงเรื่องดีใจ พวกเขาก็ดื่มสุราด้วยกัน ราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แค่ตรงหน้า
เพียงชั่วพริบตา ต้าเซี่ยเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง แต่เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้ว
ฮ่องเต้ก้มหน้ามองฉู่อวี๋หยงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“ข้าเดินทางมาค่ายทหารอย่างทุลักทุเล สิ่งแรกที่เห็นคือท่านแม่ทัพรอต้อนรับอยู่ด้านนอก เวลานั้นข้าดีใจจริงๆ ผู้ใดจะคิดว่า เมื่อเดินเข้าไปในกระโจม จะเห็นท่านแม่ทัพอวี๋ที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะเห็นเจ้าที่ถอดหน้ากากออก…”
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้า กุมหน้าอกเอาไว้ จนกระทั่งวันนี้ เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกระแทก
“เจ้าบอกว่าเจ้าทำเพื่อข้า ทำเพื่อต้าเซี่ย ใช่ เวลานั้นข้าและต้าเซี่ยล้วนไม่อาจขาดแม่ทัพหน้ากากเหล็กได้ สิ่งที่เจ้าทำข้าไม่อาจปฏิเสธได้ เป็นความต้องการอันร้อนรนของข้า”
“แต่ฉู่อวี๋หยง เจ้าอย่าบอกว่าทุกอย่างล้วนทำเพื่อข้า อันที่จริงเจ้าทำเพื่อตัวเจ้าเอง”
“ทุกเรื่องที่เจ้าทำไม่เคยหารือกับข้า เจ้าตัดสินใจเองเสมอมา สิ่งที่เจ้าซื่อสัตย์มีเพียงความปรารถนาของเจ้าเอง”
“ฉู่อวี๋หยง ปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเจ้ากระทำก่อนทูลรายงาน ไม่เป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเจ้าก็กระทำก่อนทูลรายงาน จากนั้นเจ้าวิ่งมาบอกข้าว่าเจ้าสำนึกผิด เจ้าคิดว่าตนเองผิดจริงหรือ”
“เจ้าไร้จักรพรรดิไร้บิดา ไร้กฎไร้เกณฑ์ รู้ความผิดแต่กระทำผิด รู้ว่าไม่ควรทำแต่ก็ทำ กำเริบเสิบสาน”
“ในสายตาของเจ้าไม่เคยมีข้า”
คำพูดที่ไม่เบาไม่หนักไม่รีบไม่ร้อนไม่โกรธเคืองหลุดออกมาทีละคำ กระทบเข้ากับลำคอเรียวยาวของชายหนุ่มจนหนักอึ้ง หัวของเขาก้มลงอย่างช้าๆ แต่สุดท้ายเขายังคงคุกเข่าหลังตรง เงยหน้าขึ้น
“เสด็จพ่อ พระองค์ตรัสได้ถูกต้อง” เขาพูด “กระหม่อมทำเพื่อตัวเอง กระหม่อมหนีออกจากจวนองค์ชาย ไม่ใช่เพื่อบรรเทาความกังวลแก่ต้าเซี่ย หากแต่ต้องการออกไปดูแผ่นดินด้านนอก กระหม่อมรับหน้ากากของแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็เพื่อนำทัพสยบแผ่นดิน ทำเรื่องที่องค์ชายทำไม่ได้”
ฮ่องเต้มองเขา “เจ้าคิดแค่สิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าต้องสูญเสียสิ่งใด ตอนนั้นต่อหน้าของร่างแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่”
ฉู่อวี๋หยงตอบรับ “เสด็จพ่อท่านเคยตรัสไว้ เมื่อสวมหน้ากากนี้แล้ว นับแต่นี้บนแผ่นดินไม่มีบุตร มีเพียงขุนนาง”
ฮ่องเต้มองชายหนุ่มผู้นี้จากที่สูง “ขุนนางกระทำผิด ควรทำอย่างไร”
ฉู่อวี๋หยงโน้มตัวคำนับ “กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เรียกให้คนเข้ามา
ภายในตำหนักที่เดิมทีไร้ซึ่งผู้คนมีองครักษ์เกราะดำปรากฏขึ้นสองข้างอย่างกะทันหัน
ฮ่องเต้พูด “โบยหนึ่งร้อยที ขังเข้าคุกหลวง”