ตอนที่ 372 เจอกันในห้าง
เสียงไพเราะแบบนั้น ใครๆ ก็ชอบฟัง
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ผู้หญิงคนนั้นไม่เพียงแค่เสียงหวานเท่านั้น หน้าก็ยังสวยอีกด้วย
เธอกำลังจะหันกลับไป ได้ยินเสียงแฟนหนุ่มของหญิงสาวคนนั้นพูดอย่างโมโหว่า “ทำไมทุกครั้งที่เธอซื้อของต้องให้ฉันจ่ายเงินด้วย?”
หลินม่ายรีบหันกลับไปมอง หญิงสาวคนนั้นหน้าแดงด้วยความอาย
หลินม่ายเดาว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเลือกกระเป๋าใบที่แพงมากๆ มา แฟนของหล่อนก็เลยไม่พอใจ
ชีวิตที่แล้วเธอเห็นผู้หญิงแบบนี้มาไม่น้อย ตัวเองซื้อไม่ไหว และไม่อยากจ่ายเงินตัวเองเพื่อซื้อมัน
แต่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจในการใช้เงินแฟนจ่ายแม้แต่น้อย อะไรแพงก็ให้แฟนซื้อ
ผู้หญิงแบบนี้ไม่จริงใจต่อแฟนของตัวเอง คั้นน้ำหมดแล้วก็เปลี่ยนตัว
ถ้าเธอเจอผู้ชายที่อยากจะจริงใจกับเขาจริงๆ เธอจะทำให้เขาได้ทุกอย่าง
หลินม่ายและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนในชีวิตที่แล้วก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?
หลินม่ายเป็นเหมือนตู้เงินของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ช่วยให้เขาเอาเงินของหลินม่ายเข้ากระเป๋าตัวเอง
ในช่วงวันหยุด เธอจินตนาการว่าตนเองจะพลีกายให้เป็นของขวัญคนรักตามเทศกาล แต่ไม่เคยให้สิ่งเหล่านั้นกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเลยสักครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชายแมงดานั่นเรียกว่าเลี้ยงได้จริงๆ อีกทั้งยังต้องคุกเข่าเลียแข้งเลียขาและยั่วยวนเขาด้วย
ตอนนั้นหลินม่ายดูออกแล้วว่าความสัมพันธ์ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับหลินเพ่ยไม่ปกติ
น่าเสียดายที่จับไม่ได้คาหนังคาเขา อีกทั้งอู๋เสี่ยวเจี๋ยนยังไม่ยอมรับ เขายืนยันว่าความสัมพันธ์ของตนและหลินเพ่ยคือเพื่อนที่ดี ไม่มีอะไรสกปรกอย่างที่เธอคิด
แต่เธอรักเขามาก กลัวว่าเขาจะทิ้งเธอไป
จนต้องสวมบทนกกระจอกเทศ* แสร้งทำเป็นเชื่อทุกสิ่งที่เขาพูด
แต่ในใจมีหนามยอก เลี่ยงไม่ได้ที่บางครั้งจะทนไม่ไหว
มีวันชาติครั้งหนึ่ง หลินเพ่ยยอมพลีกายให้กับผู้ชายของหล่อน
ตอนที่หลินม่ายรู้ เธอก็เยาะเย้ยอู๋เสี่ยวเจี๋ยนว่า “ในวันชาติ เพื่อนผู้ชายทุกคนของหลินเพ่ยได้ของขวัญจากเธอทั้งนั้น มีแค่คุณเพื่อนชายคนดีคนเดียวที่ไม่ได้รับ คุณนับคนอื่นเป็นคนสนิท คนอื่นกลับเห็นคุณเป็นแค่ตู้เงิน”
บนหัวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนสวมหมวกเขียวอยู่หลายใบ เขาไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย แต่กลับด่าว่าหลินม่ายหมกมุ่น
สวะนั่นพูดอย่างใจกว้างราวแม่น้ำว่า “มิตรภาพไม่สามารถวัดได้ด้วยเงินหรอก!”
หลินม่ายได้ยินก็หัวเราะออกมา ถ้าคุณไม่ให้เงินหลินเพ่ยสักเฟิน ลองดูสิหล่อนยังจะชายตามองนายอยู่ไหม… มิตรภาพกับตูดน่ะสิ
แน่นอนว่า การเป็นตู้เงินให้หล่อน ระหว่างพวกเขาไม่มีซึ่งมิตรภาพหรอก มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้นแหละ
หลินม่ายคิดอยู่ในใจว่าสาวหวานคนนั้นเลวไม่ต่างจากหลินเพ่ย
แต่เมื่อมองไปยังกระเป๋าใบที่สาวสวยคนนั้นเลือกก็รีบเอ่ยขอโทษสาวหน้าหวานคนนั้นในใจรัวๆ
ผู้หญิงสวยคนนั้นเลือกกระเป๋าใบที่ถูกที่สุด
เธอรู้สึกเสียใจกับอีกฝ่ายขึ้นมา
แค่กระเป๋าใบที่ถูกที่สุดหนึ่งใบ แฟนหนุ่มของหล่อนยังซื้อให้ไม่ได้
การเงินเขาไม่ดีเหรอ?
ดูจากที่ผู้ชายคนนั้นแต่งองค์ทรงเครื่องตัวเองอย่างดี ดูไม่เหมือนคนไม่มีเงินสักนิด
เดาจากนิสัยของสาวสวยเมื่อกี้ หลินม่ายก็ไม่กล้าคิดไปเองว่าแฟนหนุ่มของหล่อนรักหล่อนไม่มากพอหรือเปล่า
แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะดุหญิงสาว แต่สุดท้ายเขาก็ซื้อกระเป๋าใบนั้นอย่างขุ่นเคืองและพาผู้หญิงคนนั้นกลับไป
ฟางจั๋วหรานเองก็จ่ายมาตลอด เขาส่งกระเป๋าหนังวัวที่เพิ่งซื้อให้หลินม่าย
ขณะนำของที่ซื้อให้คุณปู่ฟางและภรรยาใส่ลงในกระเป๋าก็พูดขึ้น “เมื่อกี้ผู้หญิงคนนั้นพอใจง่ายเกินไปแล้ว ผู้ชายแบบนั้นสมควรเลิก!”
มุมปากของหลินม่ายยกขึ้น
ถ้าไม่รู้ว่าฟางจั๋วหรานไม่รู้เรื่องชีวิตที่แล้วของเธอมาก่อน เธอคงสงสัยว่าเขาหมายถึงเธอ
ฟางจั๋วหรานดูถูกผู้หญิงคนนั้นที่ทำผิดต่อตัวเอง แต่ชีวิตที่แล้วของเธอแย่ยิ่งกว่าผู้หญิงคนนั้นเสียอีก
อย่างไรเสีย สุดท้ายแฟนหนุ่มของผู้หญิงคนนั้นก็ซื้อกระเป๋าให้อยู่ดี
แต่เธอเป็นเครื่องมือทำเงินของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ที่สำคัญก็คือเขาเอาเงินที่เธอหาได้ไปเลี้ยงดูแสงจันทร์ขาว*หลินเพ่ย!
เธอกลับคุกเข่าลงกับพื้น ไม่ยอมเลิกกับสวะนั่น
โชคดีที่ฟางจั๋วหรานไม่รู้ว่าในอดีตที่ผ่านมาเธอได้ผ่านอะไรมาบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะแสดงออกอย่างไร
กลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจ
แต่ในชีวิตนี้เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าชาติก่อนทำเรื่องไร้ค่าขนาดนั้นไปได้อย่างไร
เหมือนมีขี้ตาบัง*จริงๆ!
ฟางจั๋วหรานมือหนึ่งลากกระเป๋า อีกข้างหนึ่งจับมือโต้วโต้วเดิน
ส่วนหลินม่ายเดินคิดอะไรไปเรื่อยตามหลัง
เดินไปถึงชั้นหนึ่ง ตอนที่กำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์เครื่องสำอางก็บังเอิญชนเข้ากับคนคนหนึ่ง
ปฏิกิริยาแรกของหลินม่ายคือขอโทษอีกฝ่าย ใครใช้ให้เธอเดินใจลอยไม่ดูทางกันล่ะ
ทันทีที่เธอกล่าวขอโทษจบก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายด่าขึ้นมา “ตาบอดหรือไง! เดินชนคนเนี่ย!”
หลินม่ายไม่สนใจถ้าเธอจะโดนด่า ยังไงคนผิดก็คือเธอ โดนด่าสักครั้งสองครั้งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เธอไม่เคยคิดว่าถ้าทำอะไรผิดไป ถ้าขอโทษไปแล้วก็ไม่เป็นไร
ทำไมคนอื่นต้องยอมรับคำขอโทษของเธอ คนอื่นจะไม่รับมันก็ได้
และในเมื่อไม่ยอมรับ จะด่าเธอสักสองประโยคก็ไม่สมควรเหรอ?
แต่เมื่อหลินม่ายเงยหน้าขึ้น เห็นว่าคนที่ด่าเธอคือหวังหรง ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นรังเกียจทันที
ไม้ว่าเธอจะเดินชนใคร ใครจะไม่ให้อภัยเธอหรือด่าเธอสักสองครั้งก็ได้
แต่จะเป็นศัตรูที่เคยวางแผนทำร้ายเธอไม่ได้ และศัตรูที่ว่านี่ก็รวมถึงหวังหรงด้วย
มีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่จะไม่ให้อภัยศัตรูเหล่านี้ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะไม่ให้อภัยเธอ
เมื่อหวังหรงที่กำลังด่าทออยู่เห็นฝ่ายตรงข้ามชัดๆ ก็พลันตกใจจนหน้าซีด
ตอนนี้หลินม่ายคือฝันร้ายที่หล่อนไม่กล้ายุ่ง
หล่อนมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหญิงสกปรกคนนี้จะมาเดินซื้อของคนเดียว โดยที่เทพแห่งความตาย*คนนั้นไม่มากับเธอด้วย
ไม่เช่นนั้นหล่อนจะต้องทนทุกข์กับการเอาคืนจากนรกอีกครั้ง
แต่พระเจ้าไม่ยอมให้ความปรารถนาของหล่อนเป็นจริง
ฟางจั๋วหรานเดินอยู่ข้างหน้าได้ยินที่หลินม่ายยอมรับผิดและขอโทษจึงหันกลับมาเห็นหวังหรง สีหน้าเย็นชาของเขาแทบจะแช่แข็งหล่อนเป็นรูปปั้น
หล่อนรีบลากผู้ชายที่มากับหล่อนออกไปราวกับหลบหนี
สายตาของฟางจั๋วหรานจับจ้องที่หวังลงเพียงเสี้ยววิ จากนั้นจึงหยุดอยู่ที่ผู้ชายที่เหมือนจะเป็นแฟนของหล่อน
ไม่แปลกใจว่าตอนที่เห็นด้านหลังของผู้ชายคนนี้บนชั้นสองแล้วรู้สึกคุ้นตา
เขาเป็นพ่อของสาวน้อยที่ป่วยคนนั้นที่เจอกันที่ฮ่องกงนี่เอง
หวังหรง…เป็นบ้านเล็กของเขาเหรอ?
ตอนนี้เขามองเห็นจุดจบของหล่อนแล้ว
ความเป็นไปได้อย่างแรกคือ ได้สถานะสูงก็จริง แต่ต้องเตรียมพร้อมที่จะโดนหักหลัง
ภรรยาของผู้ชายฮ่องกงคนนั้นอาจจะรับมือไม่ง่าย ไม่รู้ว่าหวังหรงจะทนได้หรือไม่
ความเป็นไปได้อย่างที่สองคือ ผู้ชายฮ่องกงคนนั้นอาจจะแค่เล่นสนุกกับหล่อน เล่นเบื่อแล้วก็ทิ้ง
ยังมีความน่าจะเป็นอีกอย่าง ก็คือผู้ชายฮ่องกงคนนั้นเลี้ยงหล่อนเป็นภรรยาน้อย
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นคนดี ไปฮ่องกงครั้งหน้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกภรรยาของฝ่ายนั้น
อย่างไรเขาก็ไปฮ่องกงเพื่อการแลกเปลี่ยนทางวิชาการทุกปีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้พบภรรยาของชายฮ่องกงและเล่าให้เธอฟัง
กวนหย่งหัวจำฟางจั๋วหรานได้
ในใจของเขาปั่นป่วนไปหมด
ทั้งตื่นเต้นที่ได้พบกับคนที่ช่วยชีวิตลูกสาว และอับอายที่คนของเขาชนเข้ากับผู้หญิงอีกคนที่มากับเขา
หวังหรงลากเขาออกมา เขาไม่รู้จะต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นอย่างไรจึงออกมาพร้อมกับเธอ
เมื่อเดินออกมาจากห้างเจียงเฉิงแล้ว กวนหย่งหัวแสร้งทำเป็นถามหล่อนอย่างจริงจัง “คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นเหรอ คุณกับเขามีความสัมพันธ์กันยังไง?”
ในฐานะนักธุรกิจ เขามีทักษะการสังเกตที่เฉียบคม
แม้ว่าเมื่อกี้จะบังเอิญเจอกับฟางจั๋วหรานไม่กี่วินาที แต่เขาก็เห็นตอนที่หวังหรงมองฟางจั๋วหรานอย่างชัดเจน ในสายตาของหล่อนแสดงออกถึงความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งเกลียดและกลัว
หวังหรงตอบอย่างใจเย็น “ฉันจะไปรู้จักผู้ชายแบบนั้นได้ยังไง นับประสาอะไรกับการมีความสัมพันธ์กับเขา”
กวนหย่งหัวแค่นหัวเราะ “ผมแนะนำให้คุณพูดความจริงนะ อย่ารอให้ผมไปหาความจริงเองดีกว่า”
……………………………………………
สารจากผู้แปล
โลกกลมอะไรอย่างนี้ เจอกันนานกว่านี้ก็บันเทิงล่ะ
ไหหม่า(海馬)