ฝั่งสืออีเหนียงกำลังครื้นเครง ไท่ฮูหยินก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน
“เร็วเข้า ไปบอกอี๋เจินเร็ว” ไท่ฮูหยินสั่งเว่ยจื่อให้ไปบอกข่าว “บอกนางว่า คุณชายน้อยสอบผ่านระดับมณฑลแล้ว”
เว่ยจื่อย่อเข่าคำนับ จากนั้นก็ไปที่เรือนเสาหวาอย่างมีความสุข
ฮูหยินสองกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะ ได้ยินข่าวว่าสวีซื่ออวี้สอบผ่านระดับมณฑลแล้วนางก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มจางๆ จากนั้นก็บอกให้เจี๋ยเซียงเก็บข้าวของ “…เราไปที่เรือนไท่ฮูหยินกันเถิด”
เจี๋ยเซียงยิ้มแล้วตอบรับว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับฮูหยินสอง
เดินเข้าประตูมาก็เห็นหู่พั่ว สาวใช้คนสนิทของสืออีเหนียงยืนอยู่ใต้ชายคา
“ฮูหยินสี่มาตั้งนานแล้ว?” เจี๋ยเซียงพูดพึมพำเบาๆ ก็เห็นหู่พั่วเดินเข้ามาย่อเข่าคำนับฮูหยินสองด้วยความเคารพ “ฮูหยินสองเจ้าคะ!”
ฮูหยินสองพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องโถง
มีเสียงหัวเราะของไท่ฮูหยินดังออกมาจากห้องปีกทางทิศตะวันตก “…ทำตามที่เจ้าบอก ทำตามที่เจ้าบอก”
ไม่รู้ว่าคราวนี้สืออีเหนียงเสนอความคิดเห็นอะไรอีก ทำเอาไท่ฮูหยินมีความสุขขนาดนี้
ฮูหยินสองเลิกคิ้ว
สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าม่านก็เปิดม่านขึ้นพร้อมกับรายงานว่า “ฮูหยินสองมาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองเดินเข้ามา
ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงนั่งอยู่ข้างกันบนเตียงเตาอย่างสนิทสนม เมื่อเห็นฮูหยินสองเข้ามา ไท่ฮูหยินก็รีบกวักมือเรียกนาง “อวี้เกอของเราอยู่อันดับเก้า สอบได้อันดับเก้า” นางพูดด้วยท่าทีที่มีความสุข
ฮูหยินสองยิ้มแล้วเดินเข้าไปคำนับ “อวี้เกอได้ไปเจอกับอาจารย์ที่มีความสามารถจริงๆ เสียแล้ว เขาไปเล่ออานแค่สี่ห้าเดือนเองเจ้าค่ะ!”
“ใช่แล้ว” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า “โชคดีที่มีอาจารย์เจียง” จากนั้นก็พูดว่า “สืออีเหนียงบอกว่า ถึงแม้ว่าจะสอบผ่านแค่ระดับมณฑล แต่มันคือก้าวแรกของการเดินทาง เป็นเรื่องที่ควรจะเฉลิมฉลอง แต่หากจัดงานใหญ่เกินไป ต่อไปอวี้เกอยังต้องสอบจู่เหรินและบัณฑิตชั้นสูง กลัวว่าเขาจะกดดันและกังวลมากเกินไป อีกไม่กี่วันก็ถึงวันที่สามเดือนสามแล้ว ไม่สู้เชิญญาติสนิทมิตรสหายมาที่จวน ไม่ต้องบอกว่าเรื่องอะไร คนที่รู้ก็คงจะรู้อยู่แล้ว คนที่ไม่รู้ก็ไม่ต้องบอก เจ้าคิดเช่นไรบ้าง”
ตอนที่ฮูหยินสองเดินเข้ามาที่ประตูนางได้ยินไท่ฮูหยินพูดว่า “ทำตามที่เจ้าบอก” นางจะไม่รู้เจตนาของไท่ฮูหยินได้อย่างไร จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ความคิดของน้องสะใภ้สี่ข้าก็คิดว่าดีเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินเห็นว่าพวกนางสองคนพูดเหมือนกัน ก็ดีใจ จากนั้นก็ไล่รายชื่อคนที่จะเชิญมาร่วมงานเลี้ยงให้ฮูหยินสองและสืออีเหนียงฟัง
ยังไม่ถึงยามบ่าย ทุกคนในจวนต่างก็รู้กันหมดแล้ว
ฉินอี๋เหนียงเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ล้างหน้าล้างตา จุดธูปให้พระโพธิสัตว์สามดอกด้วยความเคารพ เอาแต่สวดมนต์อยู่ตั้งนาน ชุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแค่คำว่า “ขอให้ทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดี” “ขอให้ทุกอย่างกลับมาดีเหมือนเดิม” นางรู้ว่าฉินอี๋เหนียงกำลังขอให้พระโพธิสัตว์ปกป้องคุณชายน้อยสอง นึกถึงสองสามคืนมานี้ฉินอี๋เหนียงนอนไม่ค่อยหลับ นางก็อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ออกไปชงชาเข้ามา ฉินอี๋เหนียงกำลังไหว้พระโพธิสัตว์เสร็จแล้วลุกขึ้นยืนพอดี
ชุ่ยเอ๋อร์รีบวางถ้วยชาลงบนโต๊ะบนเตียงเตา แล้วเดินเข้าไปประคองฉินอี๋เหนียง
“อี๋เหนียงเจ้าคะ ได้ยินมาว่าฮูหยินบอกให้โรงครัวเพิ่มอาหาร แล้วยังส่งคนไปนำเหรียญออกมาให้เป็นรางวัลเจ้าค่ะ!”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ แต่ใบหน้ากลับไม่ได้มีความสุขมากนัก
ชุ่ยเอ๋อร์ตกใจ จากนั้นนางก็เอ่ยเรียก “อี๋เหนียงเจ้าคะ”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินก็ถอนหายใจ “กลัวว่าเขาจะสอบไม่ผ่านแล้วทำให้ท่านโหวไม่พอใจ แต่ก็กลัวว่าเขาจะสอบผ่าน….แล้วต้องกลับไปเล่ออาน!” พูดพร้อมกับเดินไปนั่งที่เตียงเตา
ชุ่ยเอ๋อร์รีบย่อตัวลงถอดรองเท้าให้ฉินอี๋เหนียง นึกถึงเรื่องที่เหวินจู๋บอกว่าไม่ว่าจะสอบผ่านหรือไม่ก็จะกลับไปเล่ออานอยู่ดี นางลังเลแล้วพูดเบาๆ “ใกล้จะถึงวันที่สามเดือนสามแล้ว คุณชายน้อยสองต้องรอให้ถึงวันที่สามเดือนสามก่อนแล้วค่อยกลับเจ้าค่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจ
“ล้วนขึ้นอยู่กับท่านโหว” ฉินอี๋เหนียงขมวดคิ้ว ทำท่าเป็นกังวล “ต้องหาวิธีให้คุณชายน้อยสองอยู่ที่จวนนานสักหน่อย!”
ชุ่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า
ไม่ว่าเล่ออานจะดีแค่ไหน แต่มันก็เป็นพื้นที่ชนบท จะเทียบกับจวนหย่งผิงโหวใจเยี่ยนจิงได้อย่างไร…
“ต้องคิดหาวิธีให้คุณชายน้อยสองอยู่ที่จวนนานสักหน่อยเจ้าค่ะ” นางช่วยคิดหาวิธี “หลังจากวันที่สามเดือนสาม…ก็คือเทศกาลเช็งเม้ง” พูดจบสายตาของชุ่ยเอ๋อร์ก็เป็นประกายขึ้นมา “คุณชายน้อยสองสอบผ่านระดับมณฑล เป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องไปรายงานบรรพบุรุษไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“ใช่สิ” ฉินอี๋เหนียงได้ยินดังนั้นก็ได้สติกลับมา “ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงกัน หลังจากวันที่สามเดือนสามคือเทศกาลเช็งเม้ง หลังจากเทศกาลเช็งเม้งก็เป็นวันเกิดของไท่ฮูหยิน ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องแสดงความกตัญญู!”
ชุ่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มตาเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
ภายในห้องหนังสือที่เรือนเสาหวา สวีซื่ออวี้ที่ฉินอี๋เหนียงกำลังคิดถึงกลับยืนอยู่ต่อหน้าฮูหยินสองด้วยความเคารพ
“ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่เป็นได้แค่บัณฑิตรุ่นเยาว์ตลอดชีวิต” ฮูหยินสองจิบชา “เส้นทางของเจ้ายังอีกยาวไกล อย่าเย่อหยิ่งเพียงเพราะก้าวเล็กๆ ก้าวนี้ เวลาทุกนาทีมีค่า เจ้าต้องอย่าทำผิดต่อช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ ข้าคิดว่า หลังจากวันที่สามเดือนสามเจ้าก็เดินทางกลับเล่ออานเถิด อาจารย์เจียงเป็นคนมีความสามารถ เจ้าต้องรู้จักรักษาโอกาสนี้เอาไว้”
สวีซื่ออวี้โค้งคำนับแล้วตอบรับ “ขอรับ” แต่กลับมีสีหน้าแปลกใจ “เดิมทีข้าคิดว่าประกาศรายชื่อแล้วก็จะกลับเล่ออานทันที… “
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ชื่นชม นางอธิบายว่า “นี่คือเจตนาของท่านแม่ของเจ้า บอกว่าเจ้าสอบผ่านแล้ว อยากจะฉลองให้กับเจ้า แต่ก็กลัวว่าเจ้าจะกังวล จึงอยากถือโอกาสวันที่สามเดือนสามคึกคักกันสักหน่อย” ถึงแม้ว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แต่นางก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้
เมื่อสวีซื่ออวี้ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าดีใจ “เช่นนั้นหลังจากวันที่สามเดือนสามข้าค่อยกลับไปขอรับ”
ฮูหยินสองพูด “อืม” เบาๆ หยิบกล่องสีดำเล็กๆ บนโต๊ะยื่นให้สวีซื่ออวี้ “จานรองหมึกนี้ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้านำไปใช้เถิด!” จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมา
สวีซื่ออวี้รับจานรองหมึกมาด้วยสองมือ แล้วลุกขึ้นขอตัวลา
เมื่อกลับมาที่เรือนก็เห็นกระดาษเติงซินและจากฝนหมึกสี่เหลี่ยมวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ
เหวินจู๋ยิ้มแล้วพูดว่า “กระดาษเฉิงซินคือของฮูหยิน ส่วจากฝนหมึกคือของเหวินอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้พยักหน้า นำจานรองหมึกที่ฮูหยินสองมอบให้วางไว้ข้างๆ “เก็บไว้เถิด เราจะออกเดินทางหลังจากวันที่สามเดือนสาม”
เหวินจู๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
สวีซื่ออวี้นั่งลงบนโต๊ะหนังสือ “ท่านแม่อยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ข้าในวันที่สามเดือนสาม!”
*****
“ก็แค่สอบผ่านระดับมณฑล!” สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่เห็นด้วย “ข้าคิดว่าช่างมันเถิด! ให้เขากลับไปเล่ออานเร็วหน่อย จะได้เริ่มเรียนเร็วหน่อย”
“เรื่องเรียนไม่ใช่เรื่องที่ทำสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน” สืออีเหนียงยิ้ม “ก็แค่ช้าไปเพียงไม่กี่วันเองเจ้าค่ะ”
ขณะที่นางกำลังพูด ก็มีเสียงขลุ่ยไม้ไผ่ดังออกมาจากห้องปีกทางทิศตะวันออก
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว “เขาจะเป่าอีกนานแค่ไหน”
สวีซื่อเจี้ยกำลังฝึกเป่าขลุ่ยไม้ไผ่อยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองดูนาฬิกาไขลาน “ยังจะเป่าอีกหนึ่งเค่อเจ้าค่ะ!”
ในขณะที่นางพูด ก็มีเสียง ปี่ ปี่ ดังออกมาจากห้องปีกทางทิศตะวันออกอีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋พูดไม่ออก
สืออีเหนียงก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น จากนั้นก็พูดถึงเรื่องงานเลี้ยงกับเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฝั่งของเจียงฮูหยิน เกรงว่าคงต้องเชิญ!”
มีเสียง ปี่ ปี่ ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“แน่นอนอยู่แล้ว” สวีลิ่งอี๋พยายามไม่สนใจเสียงนั้นให้มากที่สุด “อวี้เกอสอบผ่านครั้งนี้ อาจารย์เจียงก็มีความดีความชอบ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องแสดงความขอบคุณพวกเขา”
ทันทีที่เขาพูดจบ สวีซื่อเจี้ยก็ก้มหน้าเดินเข้ามา
เขาคำนับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“เป็นอะไรไป” สืออีเหนียงลุกขึ้นเดินไปหาเขา นางนั่งยองๆ แล้วลูบหัวเขาเบาๆ
“เป่าไม่เป็นขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยก้มหน้าลงแล้วพูดเบาๆ “เป่าไม่มีเสียงขอรับ!”
“ดีมากแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วอุ้มเขา “ตอนที่ท่านแม่อายุเท่าเจ้า ยังเป่าไม่ออกเลยแม้แต่เสียงเดียว จนถึงตอนนี้ก็ยังเป่าขลุ่ยไม่เป็นเลย!”
“จริงหรือ!” สวีซื่อเจี้ยเงยหน้าขึ้น ดวงตาสดใสราวกับดวงดาว
“จริงสิ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า
สวีซื่อเจี้ยครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เช่นนั้นหากข้าเป่าเป็นแล้วข้าจะสอนท่านแม่เองขอรับ”
“ได้เลย!” สืออีเหนียงพูดด้วยความดีใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอให้เจี้ยเกอสอนเป่าขลุ่ย!”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้าอย่างจริงจัง
สืออีเหนียงอุ้มเขาส่งให้สะใภ้หนานหย่ง “ไปล้างมือล้างหน้า ประเดี๋ยวเราไปทานข้าวเย็นที่เรือนของท่านย่ากัน”
สวีซื่อเจี้ยออกไปกับสะใภ้หนานหย่งอย่างรู้ความ
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าจะโกหกลูกไม่ได้ เขาคิดจริง”
หมายถึงเรื่องที่จะเรียนเป่าขลุ่ยไม้ไผ่กับสวีซื่อเจี้ยใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้โกหกเขา หากมีวันนั้นจริงๆ ข้าจะให้เขาสอนจริงๆ เจ้าค่ะ!”
เช่นนั้นศักดิ์ศรีของความเป็นท่านแม่อยู่ที่ไหน
สวีลิ่งอี๋เห็นสืออีเหนียงยิ้มแย้มแจ่มใส เขาทำท่าทีไม่เห็นด้วยแล้วครุ่นคิด คิดว่าเจี้ยเกอยังเด็ก บางทีถึงตอนนั้นแล้วเขาอาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วก็ได้ จึงไม่พูดอะไร
หลินปัวมาขอพบ
“ท่านโหว เฮ่อกงกงมาขอรับ”
เฮ่อกงกงคือขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ แล้วยังเป็นหัวหน้าขันทีในพระตำหนักเฉียนชิง มาที่นี่ตอนนี้ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใด!
สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋อย่างไม่สบายใจ
แต่สีหน้าของสวีลิ่งอี๋กลับเรียบเฉย “สวมชุดเครื่องแบบหรือชุดลำลอง?”
“ชุดเครื่องแบบขอรับ” หลินปัวพูดด้วยสายตาที่สับสน “แต่ท่าทีดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดแล้วบอกสืออีเหนียงว่า “ข้าออกไปดูประเดี๋ยวเดียว” จากนั้นก็ลุกขึ้นออกไปยังห้องหนังสือลานข้างนอก
สืออีเหนียงอุ้มสวีซื่อเจี้ยแล้วเล่านิทานในหนังสือ ‘คัมภีร์สามอักษร’ ให้เขาฟังสองสามเรื่อง สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
“เปลี่ยนชุดราชสำนักให้ข้า ข้าจะเข้าไปพระราชวัง”
สืออีเหนียงบอกให้สะใภ้หนานหย่งพาสวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน จากนั้นก็บอกสาวใช้ไปหยิบชุดราชสำนักของสวีลิ่งอี๋มาสวมให้เขา
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม “เจ้าช่างใจเย็น!”
สืออีเหนียงกำลังผูกผ้าตรงเอวให้เขา ได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้น “ท่านโหวยังไม่ใจร้อน ข้ามีอะไรต้องใจร้อนเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
สืออีเหนียงจัดเสื้อผ้าให้เขา รับหมวกเหลียงกวนจากสาวใช้มาสวมให้
“ไทเฮาร้องไห้อยู่ที่พระตำหนักเฟิ่งเซียน” สวีลิ่งอี๋ก้มหัวลงให้นางสวมหมวกเหลียงกวนให้ตัวเอง “ฮ่องเต้เรียกข้าเข้าวังไปเกลี้ยกล่อมไทเฮา”
สืออีเหนียงเบิกตากว้าง “เรียกท่านไป ไม่สู้เรียกเจี้ยนหนิงโหวหรือโซ่วชังปั๋วไปเสียยังจะดีกว่า พวกเขาเป็นพี่น้องกัน!”
“ฮ่องเต้ก็เรียกเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วเข้าไปในวังด้วย” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเรียบเฉย “ดังนั้นข้าจึงส่งคนไปรายงานองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง เรื่องส่วนตัวของฮ่องเต้ ก็ต้องให้วงศ์สกุลของฮ่องเต้เป็นคนจัดการ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ท่านโหวช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง ตัวเองไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็กลัวว่าฮ่องเต้จะคัดค้านสกุลหยางไม่ได้ จึงผลักองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงออกไปเป็นโล่กันธนู ระวังนางจะกลับมาคิดบัญชีกับท่านนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ต้องให้พวกเขามีเวลามาคิดบัญชีกับข้าเสียก่อน!” สวีลิ่งอี๋จับแก้มนางอย่างสนิทสนม จากนั้นก็หัวเราะแล้วหันหลังเดินออกไป