อวิ๋นปี้ลั่วเห็นนางเช่นกัน สายตาของนางจับจ้องไปยังรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป ถ้านางจำไม่ผิด รถม้าคันนั้นน่าจะเป็นรถม้าของตระกูลเฮย
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าแม่นางเวยเวยกับคุณชายเฮยสนิทสนมกันมาก วันนี้ข้าได้เห็นแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง” อวิ๋นปี้ลั่วพูดพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนและงดงาม…
เมื่ออีกสองคนได้ยินคำพูดนั้น ริมฝีปากของเขาก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม พวกเขาหันมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาดูหมิ่นเหยียดหยาม ราวกับเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นแค่ผู้หญิงใจง่ายคนหนึ่งเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจพวกเขา นางอ้าปากหาวพลางเดินต่อไป
คุณชายคนหนึ่งที่ได้รับการแนะนำมาจากสี่ตระกูลใหญ่เยาะขึ้นจากด้านหลังของนาง ”ทั้งที่เจ้าควรจะทำภารกิจของตนให้ดี แต่ใครเลยจะรู้ว่าจู่ๆ เจ้าจะหายตัวไปกลางคันจนทำให้พวกข้าต้องหาตัวไปทั่วทั้งงานประมูลเช่นนั้น”
อีกคนตบบ่าเขา ”พูดไปก็พาลจะหงุดหงิดขึ้นมาเองเสียเปล่าๆ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก หน่วยพิฆาตวิญญาณไม่เหมือนกับที่อื่น เรื่องพวกนี้ย่อมถูกรายงานให้เบื้องบนทราบอยู่แล้ว บรรดาคณาจารย์จะเป็นผู้จัดการเรื่องนั้นตามที่พวกเขาเห็นสมควรเอง ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องรู้แน่ว่าใครที่ทำผลงานเอาไว้ และใครที่ไม่ทำอะไรเลยสักอย่างเดียว สุดท้ายคนที่จะผ่านการทดสอบนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพวกเราเองอย่างไม่ต้องสงสัย”
“เจ้าพูดถูก” ชายคนนั้นเยาะยิ้ม แล้วมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าดูถูก
ตอนแรกที่พวกเขาหาตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เจอนั้น อวิ๋นปี้ลั่วคิดว่านางคงกลับมาก่อนเพราะนางได้ข้อมูลอะไรบางอย่างมา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่านางเองก็เพิ่งจะมาถึงสำนักเหมือนกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อวิ๋นปี้ลั่วจึงพยักหน้าให้กับคนทั้งสองเบาๆ รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนโยนและน่ามองของนาง ”ใกล้จะเช้าแล้ว ไปกันเถอะ”
ทันทีที่พูดจบ นางก็มองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วกล่าวว่า ”เวยเวยได้รับมอบหมายให้ดูลาดเลาภายนอกเป็นหลัก ต่อให้นางกลับไปกลางคัน แต่นางก็ได้ทุ่มเทความพยายามของตนให้กับงานนั้นแล้ว แต่การจะให้พวกเราบอกข้อมูลที่ได้มาร่วมกับเจ้านั้นย่อมเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
ใบหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วฉาบไปด้วยรอยยิ้มระหว่างที่นางกล่าวเช่นนั้น นางดูเหมือนกับเทพธิดาที่โบยบินอยู่ในลำแสงศักดิ์สิทธิ์อันอ่อนโยน บริสุทธิ์ผ่องใส และไร้ซึ่งจุดด่างพร้อย ไม่มีใครกล้าทำร้ายนางแม้แต่คนเดียว
รอยยิ้มเย็นชาถูกจุดขึ้นที่มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวย สายตาที่แน่วแน่ของนางแสดงให้เห็นว่านางไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด น้ำเสียงของนางฟังดูเยือกเย็น ”แน่นอนว่าข้าย่อมเข้าใจดีอยู่แล้ว ก็พวกเจ้าทำทุกอย่างเพื่อจะสลับให้ข้าไปดูลาดเลาข้างนอกนี่นา”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของคุณชายทั้งสองคนนั้นก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แต่อวิ๋นปี้ลั่วกลับกัดริมฝีปากบาง ความเสียใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า ”เป็นเพราะเรื่องขององค์ชายหรือ เวยเวย เจ้าถึงได้เข้าใจข้าผิด”
“เข้าใจผิดหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เห็นด้วย นางเหยียดยิ้ม ”ข้าจะเข้าใจเจ้าผิดในเรื่องใดหรือ แล้วก็อีกอย่าง แม่นางอวิ๋น ข้าต้องขอเตือนสติเจ้าว่า เจ้ากับข้าไม่ได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น ขอให้เจ้าเรียกข้าว่าพระชายาสามด้วย”
เมื่อได้ยินคำว่าพระชายาสาม อวิ๋นปี้ลั่วก็กำมือเข้าหากันแน่น พร้อมกับมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าเจ็บปวด ”ข้าเพียงแค่อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าเท่านั้น แต่ในเมื่อแม่นางเวยเวยคิดว่าข้าจะใช้ท่านเป็นบันได ก็ปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นไปก็แล้วกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเดิน แล้วจ้องมองสีหน้าของอวิ๋นปี้ลั่ว ทันใดนั้นนางก็โน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสูงกว่าความสูงโดยเฉลี่ยของผู้หญิงทั่วไป
นางสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ขาของนางเรียวยาว และมีสัดส่วนตั้งแต่ช่วงอกไปถึงเอวอย่างที่หลายคนวาดฝันเอาไว้ นางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และบรรยากาศแข็งแกร่งของผู้เป็นราชินี
ยิ่งเมื่ออยู่ในท่าที่นางก้มหน้าลงมองอวิ๋นปี้ลั่วที่ตัวเล็กกว่านางราวหนึ่งช่วงศีรษะเช่นนี้ก็ยิ่งดูดี นางลดเสียงลง และเผยกลิ่นอายแห่งความสง่างามออกมา ”อวิ๋นปี้ลั่ว ข้ารู้ดีทีเดียวว่าเจ้ามาที่สำนักไท่ไป๋ทำไม เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว สาเหตุที่ทำให้เฮยจูปฏิเสธข้านั้นแม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้ แต่เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้เหมือนกันหรือ เจ้ามอบข้อเสนออันใดให้นางหรือ ถึงทำให้นางวิ่งเต้นไปทั่วและพยายามจัดการข้า แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องฝ่าฝืนคำสั่งของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ตาม”
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกมา อวิ๋นปี้ลั่วก็ถึงกับหน้าถอดสีไปเล็กน้อย นางมองเข้าไปในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความสงสัยและไม่เชื่อ พร้อมกับพูดตะกุกตะกักว่า ”แม่นางเวยเวย เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรหรือ เกิดอะไรขึ้นกับเฮยจูหรือ”
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของอวิ๋นปี้ลั่ว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยัดกายขึ้นช้าๆ แล้วกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆ ”แม่นางอวิ๋น สิ่งเดียวที่ข้ารู้สึกชื่นชมเจ้าก็คือทักษะการแสดงอันสุดแสนจะมหัศจรรย์ของเจ้านี่ล่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วก็ยิ่งซีด หากรวมสีหน้าขมขื่นและรู้สึกผิดนั่นเข้ากับรูปโฉมอันงดงามของนาง แล้วเอามาเทียบกับใบหน้าที่ทั้งดำและเย็นชาของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วละก็ คนหนึ่งคงจะเป็นเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ส่วนอีกคนหนึ่งคงจะเป็นราชินีผู้ชั่วร้าย
สุดท้ายคุณชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าก็ทนดูไม่ได้อีกต่อไป ”คุณหนูอวิ๋น ทำไมเจ้าต้องพูดดีกับนางด้วย นางไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง ดังนั้นก็ยุติธรรมแล้วที่นางจะไม่ได้ข้อมูลอะไรไป”
อวิ๋นปี้ลั่วพยายามฝืนหายใจเข้าลึกราวกับพยายามข่มความเสียใจอย่างสุดซึ้งของตนลง จากนั้นใบหน้าอันงดงามของนางก็เงยขึ้นมาอีกครั้ง และใช้น้ำเสียงอ่อนโยนแต่สั่นเครือนั้นกล่าวว่า ”เป็นข้าเองที่คิดจะใช้นางเป็นบันไดยกฐานะของตัวเองขึ้น พวกเราไปกันเถอะ ท่านเจ้าสำนักยังคงรอข้อมูลของพวกเราอยู่”
ทั้งสองคนพยักหน้า และมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเย็นชา ”หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะไม่มีคนขี้แพ้ชวนตีโผล่มาก็แล้วกัน”
ขี้แพ้ชวนตีหรือ นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยลูบตั๋วเงินรางวัลที่ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าสำนักยืนกรานที่จะให้นางเก็บไว้ มุมปากของนางกระตุกขึ้นเล็กน้อยอย่างชั่วร้าย
ตรงกันข้ามกับหยวนหมิงที่เหยียดยิ้มกว้าง ”ข้าสงสัยนักว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ชนะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบกลับไป นางเดินตามหลังพวกเขาไปอย่างสบายๆ เสื้อคลุมสีเขียวสลับขาวของนางปลิวเบาๆ อากาศเย็นๆ ลอยอยู่รอบตัว ความเฉื่อยชาที่อยู่ในร่างกายของนางไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว
ในไม่ช้าพวกอวิ๋นปี้ลั่วก็มาถึงพระราชวังใต้ดิน
ตู๋ซูเฟิงนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับถือถ้วยชาร้อนในมือ กลิ่นอายอันทรงเสน่ห์ที่เขาเผยออกมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้นช่างเหมาะสมกับชายหนุ่มในวัยนี้เป็นที่สุด เขาดูสง่างามและสมเป็นสุภาพบุรุษยิ่งนัก
“ทุกคนนั่งลงสิ”
เขาสั่งให้คนรินน้ำชาให้กับบรรดาลูกศิษย์เหมือนปกติ
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง เขาก็ยิ้มออกมา จากนั้นจึงเคลื่อนสายตาไปมองยังพวกอวิ๋นปี้ลั่ว
อวิ๋นปี้ลั่วนั่งลง น้ำเสียงของนางไม่ช้าไม่เร็วและฟังดูรื่นหูเป็นอย่างยิ่งในตอนที่นางรายงานผลของภารกิจตามที่พวกนางตกลงกันไว้ที่งานประมูลให้ตู๋ซูเฟิงฟัง
ตู๋ซูเฟิงจิบช้า รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ”แค่นั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ” อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มอย่างนุ่มนวล ”การแทรกแซงขององค์ชายสามทำให้พวกเราไม่สามารถสืบต่อได้ก็จริง แต่หากดูจากข้อมูลที่มีในตอนนี้ ตัวปัญหาที่แท้จริงย่อมต้องเป็นมู่หรงหงตู๋อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ตู๋ซูเฟิงส่งเสียงตอบรับในลำคอ เขาวางมือลงบนโต๊ะ ”เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าคนที่มู่หรงหงตู๋ไปพบนั้นทุกคนล้วนแต่เป็นพ่อค้าที่มีฐานะร่ำรวยใช่หรือเปล่า แล้วเขามีจุดประสงค์อันใดหรือที่ต้องไปพบกับคนพวกนั้น”
อวิ๋นปี้ลั่วเงียบไป แล้วตอบว่า ”เรื่องนี้พวกข้ายังไม่มั่นใจเท่าใดนัก แต่ในเมื่อทุกคนที่เขาหามานั้นล้วนแต่เป็นคนร่ำรวย เช่นนั้นก็คงจะเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงกระมังเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว!” อีกสองคนส่งเสียงเป็นลูกคู่ พร้อมกับมองอวิ๋นปี้ลั่วด้วยสายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม อย่างไรเสียคนคนนี้ก็คือแม่นางอวิ๋น แน่นอนว่าไหวพริบปฏิภาณของนางย่อมรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
แต่ตู๋ซูเฟิงกลับทำเพียงมองอวิ๋นปี้ลั่วด้วยสายตาเฉยเมย อีกทั้งยังไม่ได้พูดอะไรต่ออีกด้วย
ในตอนแรกนั้นอวิ๋นปี้ลั่วยังไม่ทันได้รู้สึกตัว แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ตระหนักได้ว่าตู๋ซูเฟิงเงียบนานเกินไปแล้ว ดังนั้นนางจึงเรียกเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า ”ท่านเจ้าสำนักเจ้าคะ”